เย่เชียนไม่ได้สนิทสนมกับหวังเต๋อเซินมากนัก พวกเขาเคยพบกันเพียงแค่สองครั้งเท่านั้น เย่เชียนคิดว่าบางทีหวังเต๋อเซินอาจต้องการทำสิ่งนี้เพื่อให้ได้มาซึ่งประโยชน์บางอย่างสำหรับตัวเอง แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นจริง ๆ การเป็นพันธมิตรกับหวังเต๋อเซินก็ไม่ได้มีผลเสียใด ๆ กับกลุ่มเขี้ยวหมาป่าเลย ในทางกลับกัน มันอาจจะก่อให้เกิดผลกำไรอันมากมายมหาศาลในอนาคต
สุดท้ายเย่เชียนก็จะเป็นฝ่ายได้รับประโยชน์มากกว่าหวังเต๋อเซินอยู่ดี
เมื่อคิดได้ดังนั้น เย่เชียนจึงฉีกยิ้มออกมาและตอบไปว่า “ผมคงไม่อาจรับมันไว้ได้หรอกครับ”
“เอาหน่าน้องเย่ นายอย่าไปสนใจเรื่องเล็กน้อยนั่นนักเลย มา… เรามาดื่มและเป็นพวกพ้องกันเถอะ” หวังเต๋อเซินยกถ้วยน้ำชาในมือขึ้นขณะที่เขาพูด
“เอ้า… งั้นดื่ม!” เย่เชียนยกถ้วยน้ำชาขึ้นเช่นกัน
หลังจากที่เย่เชียนวางถ้วยน้ำชาลง เขาก็หยุดคิดอะไรบางอย่างอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “ท่านนายพลหวัง… คุณไม่อยากกลับไปจีนบ้างเลยเหรอ ?”
“ถ้าบอกว่าไม่อยากมันก็คงจะเป็นการโกหกไปหน่อย… แต่จะพูดยังไงดีล่ะ ? ถ้าฉันกลับไปที่นั่นแล้ว ฉันอาจจะกลายเป็นคนเฝ้าประตูให้คนอื่นก็เป็นได้” หวังเต๋อเซินบ่นและพูดเสริม “แต่อย่างน้อยมันก็คงทำให้ฉันได้เป็นอิสระมากขึ้นล่ะนะ ว่าแต่น้องเย่ นายเคยคิดที่จะมาสร้างอาณาจักรของนายที่นี่บ้างมั้ย ? คนรวย ๆ ส่วนใหญ่เขาชอบทำกันแบบนั้น”
“โอ้! เอ่อ… น่าสนใจทีเดียวครับ” เย่เชียนมีท่าทีตื่นเต้นเล็กน้อย เขาชักจะสนใจสิ่งที่หวังเต๋อเซินพูดขึ้นมา
“รู้มั้ยว่ามันเทียบเท่ากับฟาร์มเลี้ยงสัตว์ในยุโรปเชียวนะ แต่ผลประโยชน์ที่ใหญ่ที่สุดมันไม่ใช่สิ่งนั้นหรอก เป็นเพราะมันสามารถช่วยต่อต้านการรุกรานได้ต่างหาก ตามกฎหมายของเมียนมาร์ หากใครซื้อที่ดินก็จะมีสิทธิ์ก่อตั้งกองกำลังติดอาวุธเป็นของตนเองอย่างถูกกฎหมาย แถมยังมีพวกอาสาสมัครประมาณยี่สิบถึงสามสิบคนเข้ามาร่วมด้วยอีก ถึงมันจะไม่มาก แต่มันก็เป็นโอกาสที่ดีเลยล่ะ เพราะยังมีพวกทหารรับจ้างจากใต้ดินจำนวนมากในประเทศต่าง ๆ ให้เราจ้าง ด้วยวิธีนี้เราก็จะมีดินแดนเป็นของตัวเองโดยแบ่งเขตได้อย่างชอบธรรมยังไงล่ะ”
สักพักหนึ่งหวังเต๋อเซินก็พูดเสริมอีกว่า “น้องเย่… นายรู้ไหมว่าทำไมผู้มีอำนาจเหล่านั้นถึงหันมาให้ความสนใจเมียนมาร์ ?”
เย่เชียนส่ายหัว “เอ… ถ้าให้ผมเดา มันก็คงน่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับผลกำไรจำนวนมากมายมหาศาลใช่มั้ยครับ ? ที่พวกเขาทำแบบนี้ อาจจะเพื่ออำนวยความสะดวกในธุรกิจใต้ดินหรืออาจจะเพื่อสร้างสถานีขนส่งอะไรประมาณนั้น”
“ที่น้องเย่พูดมามันก็ไม่ผิด แต่นั่นมันก็เป็นเพียงแค่เหตุผลหนึ่งเท่านั้น” หวังเต๋อเซินเว้นช่วงเงียบไป จากนั้นก็พูดต่ออีกว่า “แล้วนายรู้ไหมว่าเมียนมาร์อุดมไปด้วยทรัพยากรอะไรบ้าง ?”
“อืม… ที่ผมรู้ก็มีหยกกับทับทิม” เย่เชียนตอบ
“ถูกต้อง!” หวังเต๋อเซินพูดพลางฉีกยิ้ม “ดูเหมือนว่าน้องเย่จะเข้าใจมาถูกทางแล้ว หยกและทับทิมสามารถทำกำไรได้มากมายมหาศาล ในระบบเศรษฐกิจนั้น มันไม่เพียงมุ่งเน้นแต่เรื่องการตลาดหรือธุรกิจใต้ดินที่ผิดกฎหมาย แต่เรายังพยายามค้นหาวิธีการทำธุรกิจที่ใสสะอาดและสามารถตรวจสอบได้อีกด้วย เช่นเดียวกับกลุ่มเขี้ยวหมาป่าที่มีเหมืองเพชรในทวีปแอฟริกานั่นแหละ ที่มันไม่ได้เป็นแค่วิธีการหาเงินง่าย ๆ เพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นวิธีที่ทำให้พวกเขามีความสัมพันธ์อันเป็นประโยชน์ร่วมกันกับหน่วยงานของรัฐบาลในท้องถิ่น และวิธีการพวกนี้มันจะง่ายขึ้นไปอีกในอนาคต”
เย่เชียนฉีกยิ้ม “อืม ถ้าผมมีเวลา… ผมจะต้องศึกษามันอย่างจริง ๆ จัง ๆ แน่นอน เพราะพอผมวางมือแล้ว ผมจะได้มาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ได้อย่างสบายใจไง… ฮ่า ๆ ๆ”
หวังเต๋อเซินเองก็ฉีกยิ้ม “นายก็อย่าพูดไป… ฉันน่ะมีเหมืองแร่อยู่ที่นี่ตั้งสองแห่งแล้ว ถึงแม้ว่าผลผลิตต่อปีมันจะยังไม่มาก แต่มันก็สามารถใช้เป็นทุนค่าใช้จ่ายพื้นฐานของพวกเราได้… ถ้าหากน้องเย่สนใจล่ะก็… ฉันยินดีช่วยเต็มที่”
เย่เชียนรู้ดีว่าหวังเต๋อเซินเพียงแค่พูดถ่อมตัว เพราะเขามีเหมืองแร่สองแห่งที่รองรับค่าใช้จ่ายของกองทัพได้เพียงแค่ทหารหนึ่งพันคน ต่อให้เอาปืนมาจ่อหัวเขาตอนนี้ ยังไงเขาก็ไม่เชื่อ
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง หวังเต๋อเซินก็ถามว่า “น้องเย่… ฉันเกรงว่าการที่นายเดินทางมาถึงที่นี่คงไม่ได้มาเพราะจะมาหาฉันอย่างเดียวหรอกใช่ไหม ? มีอะไรหรือเปล่า ? ”
เย่เชียนพยักหน้า “ก็ทำนองนั้นครับ ผมมาตามหาพี่ชายคนนึง… เขาหายไปจากที่นี่แหละ”
“หืม…? แล้วเขาหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ?” หวังเต๋อเซินถาม
“ไม่กี่วันก่อนพี่ชายคนนั้นเขามาที่เมืองล่าเสี้ยวเพื่อทำภารกิจบางอย่าง แต่จู่ ๆ เขาก็ขาดการติดต่อกับเราไป ผมคิดว่าเครือข่ายและเส้นสายของท่านนายพลหวังคงจะช่วยเราได้มาก ผมจึงคิดว่าจะต้องมาและถามท่านนายพลเกี่ยวกับข่าวกรอง…” เย่เชียนพูดอย่างคาดหวัง
หวังเต๋อเซินขมวดคิ้วเล็กน้อยและตบหน้าอกของตัวเองอย่างผึ่งผาย จากนั้นก็พูดว่า “นายไม่ต้องกังวลเลย เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉันเอง… ในเมื่อเขาเป็นพี่ชายของกลุ่มเขี้ยวหมาป่า เขาก็เป็นเหมือนน้องชายของฉันด้วยเหมือนกัน ไม่มีสิ่งใดที่เกิดขึ้นในดินแดนแห่งนี้ที่ฉันจะไม่สามารถหาคำตอบได้ เดี๋ยวพวกนายอยู่พักผ่อนที่นี่กันไปก่อนสักวันสองวัน ฉันรับรองว่าฉันจะหาคนของนายให้เจอ”
“ขอบคุณท่านนายพลหวังมากครับ” เย่เชียนซาบซึ้งใจ “ในเมื่อท่านนายพลหวังช่วยผมตั้งมากมายขนาดนี้… น้องชายคนนี้ก็ขอมอบของขวัญบางอย่างให้ท่านนายพลด้วยเช่นกัน”
“นายพูดแบบนั้นเลยหนุ่มน้อย… พี่น้องอย่างพวกเราไม่ต้องการสิ่งเหล่านั้นหรอก” หวังเต๋อเซินก้มหน้าลง น้ำเสียงของเขาดูไม่พอใจเล็กน้อย
“เอาหน่า… ท่านนายพลหวัง ในเมื่อมิตรภาพมันต้องแลกมาด้วยมิตรภาพ ผลประโยชน์มันก็ย่อมแลกด้วยผลประโยชน์ครับ แม้แต่พี่น้องร่วมสายเลือดก็ต้องตอบแทนกันบ้างเป็นธรรมดา” เย่เชียนตอบก่อนจะพูดต่ออีกว่า “ว่าแต่… ปกติท่านนายพลขายแร่อัญมณีพวกนั้นให้ใคร และราคาเท่าไหร่บ้างเหรอครับ ?”
หวังเต๋อเซินงุนงงเล็กน้อย เขาไม่เข้าใจว่าเย่เชียนถามทำไมแต่ก็ตอบคำถามนั้น
“ล็อตหนึ่งขายให้กับโรงงานแปรรูปอัญมณีในท้องถิ่น ส่วนราคา… เอ่อ… ราคามันไม่ค่อยคงที่เท่าไหร่นักหรอก ส่วนมากล็อตหนึ่งจะขึ้นอยู่กับความบริสุทธิ์ของแร่ ถ้ามีคุณภาพดีโดยธรรมชาติก็จะมีราคาแพงกว่า แต่อย่างน้อย ๆ กิโลกรัมนึง ราคาที่สามารถยอมรับได้ก็อยู่ที่ประมาณ 200 เหรียญสหรัฐ และที่ดีที่สุดก็น่าจะอยู่ที่ประมาณ 200,000 เหรียญสหรัฐ หรือบางทีอาจจะมากกว่านั้นอีก…”
เย่เชียนส่ายหัวไปมาพลางคิดในใจว่า ‘ท่านนายพลช่างไม่รู้ราคาตลาดเอาซะเลย’ ตอนนี้ตลาดหยกได้รับความนิยมมาก ดังนั้นหยกธรรมดา ๆ จึงมีราคาเริ่มต้นที่มากถึง 400 เหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นผลให้เครื่องประดับที่ไม่มีหยกรวมอยู่ด้วยมีราคาถูกลงมาก
“ถ้าเป็นเช่นนั้น… ในอนาคตผมจะขอซื้อหยกและแร่ทั้งหมดของท่านนายพลด้วยราคาที่มากกว่าของรายเดิม 3% เป็นไง ?” เย่เชียนพูดอย่างจริงจัง
สามเปอร์เซ็นต์!
หวังเต๋อเซินอดไม่ได้ที่จะกระเดาะลิ้นในปากของเขาพลางคิดในใจว่านี่มันเป็นความคิดแบบไหนกัน ในทุก ๆ ปีเหมืองของเขานั้นสามารถขุดเจาะได้น้ำหนักมากกว่าหนึ่งพันกิโลกรัม ซึ่ง 3% ของจำนวนนั้นมันเป็นจำนวนที่น่าตกใจอย่างยิ่ง
หวังเต๋อเซินหัวเราะเบา ๆ “หึ ๆ ๆ ในเมื่อน้องเย่พูดมาแบบนี้ ฉันก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องหน้าซื่อใจคดกับน้องชาย… เอาเป็นว่าตกลงตามนี้แล้วกัน”
“ตกลงครับ” เย่เชียนตอบอย่างกระตือรือร้น
ตัวเขานั้นแน่นอนว่าจะไม่ยอมเสนอทำธุรกิจใด ๆ ที่ทำให้ตนต้องขาดทุนอยู่แล้ว รอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาแต่เขารีบเก็บรอยยิ้มนั้นไว้ จากนั้นเขาก็พูดต่ออีกว่า “ท่านนายพลหวัง… ผมเห็นว่าอาวุธของคุณที่นี่มันช่างล้าสมัยมาก รถถัง T-34 ของคุณมันขึ้นสนิมแล้วนะ”
หวังเต๋อเซินถอนหายใจ “เฮ้อ… ช่วยไม่ได้ ก็ฉันไม่คุ้นเคยกับผู้ลักลอบขนอาวุธขั้นสูงนี่ ฉันทำได้แค่ลักลอบอาวุธที่ล้าสมัยพวกนี้ได้เพียงครั้งละเล็กน้อยเท่านั้น แถมบางครั้งฉันก็กังวลว่าถ้าหากกองทัพของรัฐบาลคิดจะโจมตีเราขึ้นมา ฉันก็ไม่รู้ว่าเราจะต้านทานพวกเขาได้หรือเปล่าน่ะสิ…”