ตอนที่ 92 การร่วมมือ
เย่เชียนพูดง่าย ๆ แต่หวังปิงไม่คิดว่ามันจะง่ายขนาดนั้น จากมุมมองของเขา ดูเหมือนว่าเย่เชียนกำลังจงใจซ่อนความลับบางอย่าง ส่วนความลับนั้นจะเป็นไปในรูปแบบไหน ตัวเขาก็ไม่อาจทราบได้
เย่เชียนหัวเราะเบา ๆ จากนั้นก็พูดต่อไปว่า “หึ ๆ ๆ ว่าแต่ว่า… ท่านเลขาหวังพอใจกับของขวัญที่ผมให้ไปครั้งที่แล้วหรือเปล่าครับ ?”
หวังปิงเงียบไปชั่วขณะ ของขวัญงั้นเหรอ ? ทันใดนั้นเขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ว่าคนที่แอบเข้าไปในบ้านของเขาแล้ววางแฟ้มเอกสารอาชญากรรมของอู่หยางเฉิงไว้บนโต๊ะข้างเตียงนั้นคือเย่เชียนเองอย่างงั้นเองหรอกเหรอ ? แต่ในช่วงเวลานั้นเขาควรอยู่ที่ห้องคุมขังของสถานีตำรวจไม่ใช่หรืออย่างไร ?
ดูเหมือนว่าเย่เชียนจะไม่ได้พูดโกหกเลย เพราะถ้าไม่ใช่เขาที่ทำมันแล้วล่ะก็ เขาจะรู้เรื่องนี้ได้อย่างไรกัน ? หวังปิงยิ่งคิดเข้าไปใหญ่ว่าเย่เชียนจะต้องไม่ใช่คนธรรมดา ๆ เขานิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งและเขาก็คิดแผนการบางอย่างขึ้นมาได้
“คุณเย่ ถ้าคุณไม่รังเกียจ… ฉันขอเรียกคุณว่าเสี่ยวเย่จะได้มั้ย ?” หวังปิงพูดอย่างเป็นกันเอง
“ได้แน่นอนครับ” เย่เชียนตอบ
“งั้นเรากลับมาเข้าเรื่องกันดีกว่าเสี่ยวเย่… คุณเป็นพี่ชายคนที่สองของเสี่ยวหลี่งั้นใช่ไหม เพราะฉะนั้นคุณก็จะไม่ใช่คนนอกสำหรับฉันอีกต่อไปแล้วล่ะนะ ที่คุณนัดฉันมาพบในวันนี้น่ะ คุณมีเรื่องอะไรอยากจะปรึกษาพูดคุยกับฉันก็ว่ามาได้เลย ตราบใดที่มันไม่ใช่เรื่องละเมิดหรือผิดกฎหมาย และมันอยู่ในความสามารถของฉันคนนี้ ฉันก็ไม่มีปัญหา” หวังปิงพูดอย่างแน่วแน่
“ที่จริง… มันก็ไม่มีอะไรหรอกครับ ถึงแม้ว่าผมเพิ่งจะกลับมาได้ไม่นานแต่ผมก็ได้ยินข่าวมาว่าท่านเลขาหวังเป็นข้าราชการที่ดีมีเกียรติและซื่อสัตย์ อีกทั้งน้องสามของผมก็ได้รับการเลื่อนตำแหน่งจากท่านเลขาหวังอีกด้วย อาจพูดได้ว่าถ้าไม่ใช่เพราะท่านเลขาหวังแล้วล่ะก็ น้องสามของผมก็คงจะไม่ได้ดิบได้ดีเหมือนทุกวันนี้ ดังนั้นก่อนอื่นเลย ผมอยากจะขอบคุณท่านเลขาหวังที่ช่วยดูแลน้องสามของผมตลอดเวลาที่ผ่านมา และอีกอย่าง… ผมหวังว่าเราจะมีสัมพันธไมตรีที่ดีต่อกันมากขึ้นในอนาคตนะครับ” เย่เชียนพูดอย่างนอบน้อมจากใจจริง
หวังปิงเข้าใจได้อย่างเป็นธรรมชาติว่าเนื้อหาสำคัญของทุกสิ่งทุกอย่างที่เย่เชียนพูดมาทั้งหมด ประโยคสุดท้ายที่เขาพูดสำคัญที่สุด “เอาหน่า ๆ มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เราต้องช่วยเหลือกัน… ถึงยังไงเราก็คนกันเองอยู่แล้ว” หวังปิงพูดพลางหัวเราะเบา ๆ
จากนั้นเย่เชียนก็ยื่นภาพวาดที่อยู่ในมือของเขาให้หวังปิงและพูดว่า “ผมได้ยินมาว่าท่านเลขาหวังชอบศึกษาเกี่ยวกับภาพวาดและประดิษฐ์อักษร ผมเคยซื้อภาพวาดโบราณของถังป๋อหูแท้ ๆ มาจากพ่อค้าของโบราณคนหนึ่ง แต่คนอย่างผมจะเข้าใจถึงการประดิษฐ์ตัวอักษรหรือภาพวาดได้ยังไงกัน ดาบสองคมนั้นยังถูกมอบให้แก่วีรบุรุษ และผมก็หวังว่าท่านเลขาหวังจะยอมรับของสิ่งนี้จากผม”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘ถังป๋อหู’ หวังปิงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา เพราะคนที่ชื่นชอบการประดิษฐ์อักษรและภาพวาดโบราณจะรู้ดีว่าการได้ครอบครองของแท้มันมีค่าเสียยิ่งกว่าเงินหลายล้านหยวนเสียอีก
หวังปิงเข้าใจดีว่าการยอมรับสิ่งของจากใครสักคน มันอาจหมายถึงการที่จะต้องช่วยให้คนคนนั้นแคล้วคลาดจากหายนะ วินาทีใดที่เขายื่นมือไปรับของขวัญชิ้นนี้จากเย่เชียน นั่นก็หมายความว่าตัวเขาและเย่เชียนนั่งอยู่บนเรือลำเดียวกันไม่ว่ามันจะดีหรือร้าย แต่ถ้าเขาเลือกที่จะไม่ยอมรับมัน นั่นก็หมายความว่าคำพูดที่เขาพูดก่อนหน้านี้ไม่ใช่อะไรที่น่ายินดีเลยแม้แต่น้อย และมันก็บ่งบอกด้วยว่าเขาวางตัวเองอยู่ฝั่งตรงข้ามของเย่เชียนในฐานะศัตรู
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง หวังปิงก็หัวเราะเบา ๆ จากนั้นก็หยิบภาพวาดที่เย่เชียนมอบให้และพูดว่า “ถ้างั้น… ฉันก็ขอรับมันไว้ด้วยความเคารพน้ำใจก็แล้วกัน ฮ่า ๆ ๆ”
เย่เชียนไม่ได้คิดอะไรมาก เขารู้สึกชื่นชมในรสนิยมของหวังปิงเล็กน้อย เขาพยักหน้าและยิ้มให้หวังปิง
“มา… งั้นเรามาดื่มชากันต่อเถอะ” หวังปิงพูดพลางหัวเราะเบา ๆ
หวังปิงไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาเดิมพันในครั้งนี้นั้นมันถูกหรือผิด แต่ในเมื่อชีวิตมันคือการเดิมพัน และเขาก็ใช้อาชีพทางการเมืองของตัวเองทั้งหมดในการเสี่ยงโชคเพื่อเดิมพันในครั้งนี้ ถ้าหากสิ่งที่เขาเดิมพันมันถูกต้องล่ะก็… ในภายภาคหน้าอาชีพของเขาก็จะรุ่งเรืองและรุ่งโรจน์ เขาจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้สูงยิ่งขึ้นไปอีก แต่ถ้าหากเขาเดิมพันผิด เขาก็จะหวนคืนสู่สามัญ ทั้งนี้ทั้งนั้นเขารู้ตัวดีว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ อะไรที่ทำได้และอะไรที่ไม่ควรก้าวข้าม…
……
เย่เชียนพึงพอใจกับการมาพบหวังปิงในครั้งนี้มาก ถึงแม้ว่าจะไม่มีอะไรคืบหน้ามากนัก แต่สิ่งที่เขาหว่านเมล็ดเอาไว้ก็ไม่ได้น้อย อย่างน้อยที่สุดหวังปิงก็บอกใบ้ถึงการให้ความร่วมมือของเขาด้วยวาจาจากเจ้าตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
หลังจากที่เย่เชียนส่งหวังปิงออกไปจากสโมสรด้วยความเคารพแล้ว เขาก็กลับเข้าไปในห้องส่วนตัวอีกครั้งพลางเรียกพนักงานชงชามาชงชาให้เขาดื่มต่อ จากนั้นก็เอนกายพิงโซฟาพร้อมกับสูบบุหรี่อย่างผ่อนคลาย
ปัญหาหลัก ๆ ได้รับการแก้ไขเฉพาะหน้าไปแล้ว เย่เชียนควรจะเริ่มพิจารณาแผนขั้นต่อไปเสียที เพราะถึงอย่างไรตัวเขาเองก็ยังคงเป็นผู้นำสูงสุดของกลุ่มเขี้ยวหมาป่า อีกทั้งยังเป็นหัวหน้าใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังของเครือบริษัทน่านฟ้ากรุ๊ป
เย่เชียนไม่ต้องการปล่อยให้ลูกน้องของเขาจัดการกับทุกสิ่งทุกอย่างทั้งหมดกันเอง เพราะเขายังคงต้องการเป็นแกนนำทิศทางของการพัฒนาส่วนใหญ่ให้กับทุกสิ่ง
“คุณทำงานที่นี่มานานแค่ไหนแล้วเหรอ ?” เย่เชียนถามพลางเหลือบมองหญิงสาวที่กำลังชงชาให้เขา
ถึงแม้ว่าเย่เชียนจะเพิ่งกลับมาได้ไม่นาน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ทำอะไรเลย กลุ่มเขี้ยวหมาป่าต้องการใช้เมืองเซี่ยงไฮ้เป็นรากฐานของการพัฒนาแห่งใหม่ของพวกเขาในประเทศจีน ดังนั้นการทำความเข้าใจกับพลังและอิทธิพลที่ยิ่งใหญ่ของเมืองเซี่ยงไฮ้จึงเป็นสิ่งสำคัญ
เย่เชียนรู้มาว่าประธานสโมสรเจิดจรัสมีอำนาจที่ยิ่งใหญ่กว้างขวางมากในประเทศจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองเซี่ยงไฮ้แห่งนี้ เขารู้สึกได้ว่าบอสคนล่าสุดที่ซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ดูค่อนข้างจะคล้ายกับตัวของเขาเองที่เป็นคนลึกลับและยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง นั่นเป็นเหตุผลที่เย่เชียนต้องการลองดูว่า… มันจะเป็นไปได้หรือไม่ที่เขาจะได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากพนักงานในสโมสรแห่งนี้
“ห้าปีค่ะ” พนักงานตอบ
“ห้าปีนี่ไม่เลวเลย… สวัสดิการหรือเงินเดือนของที่นี่คงจะดีเลยทีเดียวสิ ?” เย่เชียนยิ้ม เขาใช้น้ำเสียงที่เรียบง่ายเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับชีวิตของเธอ
หญิงสาวผู้นี้ทำงานในสโมสรมาสักระยะหนึ่งแล้ว ซึ่งเธอเองก็มีโอกาสได้พบเห็นผู้มีอิทธิพลมามากมาย แต่ทว่าไม่มีใครวางตัวเรียบง่ายและเป็นกันเองเหมือนกับเย่เชียนเลย
ในสายตาของเธอนั้น การที่มีแขกมาทำตัวเรียบง่ายสบาย ๆ และเป็นกันเองกับพนักงานธรรมดา ๆ อย่างเธอ เธอคิดว่าเย่เชียนจะต้องเป็นคนที่มีภูมิหลังแข็งแกร่งอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะบรรดาแขกซึ่งเป็นคนที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเย่เชียนที่เธอเคยพบเจอมา พวกเขาหลายคนล้วนชอบโอ้อวด หยิ่งผยอง และต่างก็ใช้บุญบารมีของพ่อแม่ข่มคนอื่นกันทั้งนั้น
แต่เย่เชียน… เขากลับเป็นคนที่สงบเสงี่ยม สุขุม และเรียบง่าย เธอจึงสามารถพูดถึงชีวิตและความเป็นมาของตัวเองได้อย่างเป็นธรรมชาติ เธอรู้สึกดีจริง ๆ ที่ได้พบเจอคนอย่างเย่เชียน
“ใช่แล้ว… แต่คุณก็คงจะทราบดีว่านิสัยใจคอของผู้มีอิทธิพลนั้นค่อนข้างคาดเดาได้ยากเลยทีเดียว มันจึงลำบากใจในการรับใช้พวกเขาในบางครั้งน่ะ” หญิงสาวพูด หัวใจของเธอรู้สึกผ่อนคลายได้มากจึงทำให้ลักษณะการพูดดูสนุกสนานและสบายใจมากขึ้น
เย่เชียนหัวเราะเบา ๆ และพูดว่า “ฮ่า ๆ ๆ ผมไม่ใช่คนที่มีอิทธิพลอะไรเลย… คุณทำงานที่นี่มาตั้งห้าปีแล้ว ถ้างั้นคุณก็ต้องรู้จักที่นี่ดีใช่มั้ยล่ะ ? ผมไม่รู้ว่าประธานของคุณเขาเป็นคนแบบไหนถึงสามารถเปิดสถานที่พักผ่อนหย่อนใจที่ใหญ่โตขนาดนี้ได้ คุณเคยเห็นเขามั้ย ?”
“ไม่เคยเลยค่ะ… อย่าว่าแต่ฉันที่ไม่เคยเลย แม้แต่ผู้จัดการของเราก็ยังไม่เคยเห็นว่าประธานมีรูปร่างหน้าตาเป็นยังไง พวกเราไม่รู้เลยด้วยซ้ำค่ะว่าประธานเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง” พนักงานเสิร์ฟตอบอย่างตรงไปตรงมา
เป็นเรื่องธรรมดาที่ยิ่งลึกลับมากเท่าไหร่ เย่เชียนก็จะยิ่งสนใจมันมากขึ้นเท่านั้น ถ้าหากเขาต้องการที่จะพบกับคนที่อยู่เบื้องหลังแห่งความยิ่งใหญ่อันโชติช่วงนี้ล่ะก็ เขาเกรงว่าอาจจะต้องใช้กลยุทธ์และวิธีการบางอย่างเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
แต่อย่างไรก็ตาม เย่เชียนยังไม่สามารถใช้กลยุทธ์และวิธีการเหล่านั้นได้ในตอนนี้ ยิ่งไปกว่านั้น เย่เชียนเองก็แทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคนคนนี้เลย เขาจึงไม่ต้องการปลุกปั่นความโกรธของคนคนนี้เพียงเพราะความผิดพลาดของเขาเอง