ทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องนี้ นอกจากม่อหลงแล้วก็มีเพียงฟูจุนเฉิงเท่านั้นที่เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับกองกำลังทหารรับจ้างเขี้ยวหมาป่า แต่เขาก็ไม่ได้รู้จักกับกองกำลังทหารรับจ้างเขี้ยวหมาป่ามากนัก เพราะระหว่างที่เขาอยู่ในหน่วยรบพิเศษเขี้ยวหมาป่าของกองทัพจีน เขาเคยได้ยินชื่อนี้มาบ้างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และเมื่อเขาได้พบกับเย่เชียนเป็นครั้งแรก เขาก็คิดว่าเย่เชียนจะต้องเป็นหนึ่งในสมาชิกหน่วยลับของกองกำลังพิเศษเขี้ยวหมาป่าของกองทัพ แต่กลับไม่คาดคิดเลยว่าเขาจะมาจากกองกำลังทหารรับจ้างเขี้ยวหมาป่า ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเป็นถึงผู้นำอีกด้วย เมื่อฟูจุนเฉิงได้ยินคำพูดของเย่เชียนแล้ว มันก็ยากนักที่เขาจะไม่ตกใจกับเรื่องนี้
ทว่าจ้าวไถ่จู้กลับไม่ได้ให้ความสนใจในเรื่องนี้เลย เขายังคงมุ่งความสนใจไปที่อาหารที่เขากำลังรับประทานอย่างเอร็ดอร่อย
แต่หวันชุนหัวนั้นกลับถามคำถามด้วยความตื่นเต้น “เฮ้ย… เย่เชียน! นี่นายเป็นทหารรับจ้างเหรอ ? ว่าแต่นายรับจ้างทำอะไรบ้างล่ะ ? มันเหมือนกับในหนังมั้ย ? ในนั้นมันเท่มากเลยนะ ฉันเคยเห็นในรายการทีวี…”
เย่เชียนอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาและพูดว่า “แต่ในรายการทีวีกับหนังพวกนั้นมันถูกสร้างขึ้นให้เกินจริงนะพี่… จริง ๆ แล้วมันก็แค่ คุณจ่ายเงินว่าจ้างเราและเราก็ช่วยจะชีวิตคุณแค่นั้นแหละ อีกอย่างเราก็ไม่ได้ขึ้นตรงกับรัฐบาลไหน แต่บางครั้งพวกเขาก็อาจจะมาพึ่งพาเรา เราจึงอยู่ร่วมกันในลักษณะนั้น… เหมือนตอนที่สหรัฐอเมริกาเข้าบุกโจมตีอัฟกานิสถาน บางส่วนมันเกิดจากฝีมือของเราเนี่ยแหละ แต่มันเป็นเพียงการทำสัญญาเพื่อผลประโยชน์เท่านั้นไม่ได้มีอะไรมาก… เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ ผมได้ก่อตั้งสำนักงานรักษาความปลอดภัยกองกำลังป้องกันตนเองพิเศษในเซี่ยงไฮ้แห่งนี้ ถ้าพวกพี่สนใจที่จะเข้าร่วมกองกำลังทหารรับจ้างเขี้ยวหมาป่า ผมก็ยินดีอย่างยิ่ง แต่ถ้าไม่… พวกพี่ก็ยังสามารถมาทำงานในบริษัทรักษาความปลอดภัยของเราได้ ผมรับรองว่าค่าจ้างดีกว่าบริษัทเทียนหยากรุ๊ปอย่างแน่นอน”
“งั้นนายช่วยบอกแผนของนายกับเราหน่อยได้มั้ยล่ะ ?” หลังจากเงียบไปชั่วครู่ฟูจุนเฉิงก็ถามขึ้น
ริมฝีปากของเย่เชียนโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มอย่างพึงพอใจแล้วเขาก็พูดว่า “ทหารรับจ้างน่ะไม่ได้รับการยอมรับจากรัฐบาลจีนหรอกพี่ พวกเราจึงจำเป็นต้องใช้ชื่อที่สามารถใช้ในที่สาธารณะได้เพื่อปกป้องตัวตนของเราเอาไว้… เซี่ยงไฮ้เป็นเมืองหลวงทางการเงินหรือเมืองแห่งธุรกิจของจีน อีกทั้งภูมิประเทศก็เต็มไปด้วยความยิ่งใหญ่และที่เป็นฝังศพของเหล่าวีรบุรุษทรงอิทธิพลมากมาย ด้วยเหตุนี้มันจึงมีโอกาสที่แผนการพัฒนาของเราจะถูกขัดขวางอย่างแน่นอน แต่ด้วยสถานการณ์เดียวกันนี่เอง มันก็จะทำให้เรามีโอกาสที่จะพัฒนาอย่างก้าวกระโดดไปในตัวอีกด้วย เท่าที่ผมรู้มา… สงครามครั้งใหญ่ระหว่างเครือชิงกรุ๊ปและหงเหมินกรุ๊ปมันอาจจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ผมก็วางแผนที่จะคว้าโอกาสนั้นไว้แล้วล่ะ แน่นอนว่าอิทธิพลของเครือชิงกรุ๊ปและหงเหมินกรุ๊ปในโลกใบนี้มันมีมากเกินไป เราคงไม่สามารถกำจัดคนพวกนั้นทั้งหมดได้ง่าย ๆ แต่ผมก็มั่นใจว่าเราสามารถลบการดำรงอยู่ของพวกนั้นในเซี่ยงไฮ้นี้ได้ ใจจริงผมอยากจะปราบศัตรูโดยที่เราไม่ต้องลงมือต่อสู้ ซึ่งมันจะทำให้เรามีพลังมากขึ้นในการพัฒนา แต่ตอนนี้ผมยังไม่ได้คิดหาวิธีที่จะทำให้มันเกิดขึ้นหรอก”
ตอนที่ฉินหยูพูดเรื่องนี้ขึ้นเมื่อคืน เย่เชียนได้แต่แสร้งทำเป็นสับสนและบอกว่าเขาจะไม่ช่วย แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันเป็นเพียงเพราะเขายังไม่ได้คิดวิธีที่จะบรรลุสิ่งที่ฉินหยูต้องการได้ เย่เชียนจึงไม่อยากให้คำมั่นสัญญาในสิ่งที่เขายังไม่สามารถรู้และควบคุมได้ แน่นอนว่าหากสงครามระหว่างเครือชิงกรุ๊ปและหงเหมินกรุ๊ปเกิดขึ้น เย่เชียนก็จะยืนอยู่เคียงข้างฉินหยูอย่างแน่นอน เพราะท้ายที่สุดแล้วเขานั้นก็มีความรู้สึกดี ๆ ต่อฉินหยูอย่างมาก
“เย่เชียน… ฉันขอกลับไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้สักสองสามวันแล้วกัน” หลังจากเงียบไปชั่วครู่ฟูจุนเฉิงก็ตอบกลับ
การแสดงออกของฟูจุนเฉิงนั้นจริงใจมาก ซึ่งเย่เชียนก็เข้าใจดี มันเป็นเพราะฟูจุนเฉิงนั้นมาจากกองกำลังพิเศษเขี้ยวหมาป่า เขาจึงมีความอุทิศตนต่อประเทศและสังคมมากกว่าคนธรรมดาทั่วไป และการเข้าร่วมการต่อสู้เช่นนี้ มันจะเป็นการรบกวนความสงบสุขของสังคมที่เขาไม่อาจยอมรับได้ เพราะมันขัดกับหลักการของเขาอย่างมาก นอกจากนี้เขาเองก็ยังมีภรรยาและลูกที่ต้องดูแลอีกด้วย ฟูจุนเฉิงไม่ต้องการทำให้พวกเขาเจ็บปวดอีก… แต่เมื่อกลับไปที่หัวข้อหลักของประเด็น เขาก็รู้ดีว่ารัฐบาลของประเทศนั้นมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับองค์กรใต้ดินอย่างมาก ซึ่งไม่มีใครกล้าพูดได้ว่า วิธีการของเย่เชียนนั้นผิด เพราะมันจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อรัฐบาลและสังคม หากเย่เชียนสามารถรวมอำนาจของเซี่ยงไฮ้ให้เป็นหนึ่งได้จริง มันก็จะส่งผลให้ความปลอดภัยของมวลประชาชนและชาติก็จะดีขึ้นอย่างแน่นอน
สำหรับหวันชุนหัวแล้ว การตัดสินใจเข้าร่วมกับเย่เชียนนั้นเป็นเรื่องที่ง่ายมาก หวันชุนหัวเป็นชายที่น่าสงสารอีกคนที่เกิดมาท่ามกลางความยากจน เขาต้องต่อสู้และดิ้นรนอย่างยากลำบากมานานหลายปี ชีวิตนี้เขาไม่ได้มาพบกับเย่เชียน เขาก็คงจะยังทำงานเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยธรรมดา ๆ คนหนึ่งอยู่เหมือนเดิม
“เย่เชียน… ฉันจะเข้าร่วมกับนาย” หวันชุนหัวพูดโดยไร้ซึ่งความลังเล
จ้าวไถ่จู้หัวเราะเบา ๆ แล้วพูดว่า “ฉันน่ะยังไงก็ได้”
เย่เชียนยิ้มเล็กยิ้มน้อยและพูดว่า “ผมอยากจะอธิบายให้ชัดเจนนะว่า พวกเราไม่ใช่อาชญากรใต้ดิน… เราจะไม่กดขี่ข่มเหงหรือรังแกผู้คนไม่ว่าจะหญิงหรือชาย ยิ่งไปกว่านั้น… คนที่เข้าร่วมกับกลุ่มเขี้ยวหมาป่าของเราจะต้องได้รับการฝึกฝนอย่างเข้มงวดและหนักหน่วงอย่างมาก!”
“การฝึกก็คือการฝึก” หวันชุนหัวพูด “ว่าแต่ว่า… เราจะได้เงินเดือนระหว่างการฝึกอบรมด้วยใช่มั้ย ? ฮ่า ๆ ๆ ” เขาถามในขณะที่หัวเราะไปด้วย
เย่เชียนมองเขาอย่างหมดหนทางและพูดว่า “ใช่… แต่ถ้าถึงเวลานั้นแล้วพี่ไม่ไหว พี่ก็อย่ามาโทษผมนะ”
เย่เชียนไม่ได้เป็นกังวลเกี่ยวกับความภักดีของพวกเขาเลย เพราะหลังจากที่พวกเขาเข้าร่วมกับกลุ่มเขี้ยวหมาป่าแล้ว นี่คือการ ‘ล้างสมอง’ ในแบบของพวกเขา เมื่อทุกคนเข้ามาในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ สิ่งหนึ่งที่จะได้รับอิทธิพลอย่างง่ายดายมากก็คือมุมมองและวิสัยทัศน์อันเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งองค์กร
ฟูจุนเฉิงหายใจเข้าลึก ๆ และพูดว่า “เย่เชียน! ฉันอยากถามอะไรนายสักหน่อย”
“ถามมาได้เลย” เย่เชียนพูด
“นายคิดว่าจะใช้เวลานานแค่ไหนในการรวมพลังอันยิ่งใหญ่ของเซี่ยงไฮ้เข้าด้วยกัน ?” ฟูจุนเฉิงถาม
“หนึ่งปี!” เย่เชียนตอบกลับอย่างเด็ดเดี่ยวและแน่วแน่ จากนั้นก็พูดต่อ “ในหนึ่งปีนี้… ผมสามารถสร้างสีสันให้กับเซี่ยงไฮ้นี้ได้อย่างแน่นอน และมันจะต้องไม่มีข้อผิดพลาดใด ๆ!”
ฟูจุนเฉิงพยักหน้าตอบรับและพูดว่า “ฉันขอเวลาอีกสักสองวัน… แล้วฉันจะให้คำตอบ”
เย่เชียนยิ้มเล็กยิ้มน้อยแล้วพูดว่า “ได้เลยพี่… ไม่มีปัญหา!” แต่มันชัดเจนมากสำหรับเย่เชียนว่าฟูจุนเฉิงนั้นได้ตอบตกลงเรียบร้อยแล้ว
“แล้วฉันจะมีโอกาสได้พูดคุยบ้างไหมเนี่ย ?” ม่อหลงหันไปพูดกับฟูจุนเฉิง
ฟูจุนเฉิงหันไปมองเขาและยิ้มเจื่อน ๆ จากนั้นก็พูดว่า “ได้พูดสิ… แหะ ๆ ๆ ”
เย่เชียนตบไหล่ของม่อหลงเบา ๆ แล้วพูดว่า “อ้อ! ผมลืมแนะนำพวกคุณไป… พี่ชายคนนี้ชื่อม่อหลง เป็นพลซุ่มยิงอันดับหนึ่งของกลุ่มเขี้ยวหมาป่าและเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการพรางตัวอีกด้วย”
“พลซุ่มยิง ? ให้ตายเถอะ! ฉันชอบพลซุ่มยิงที่สุดเลย” หวันชุนหัวพูดอย่างตื่นเต้น “พี่ใหญ่ม่อหลง… ผมขอฝากเนื้อฝากตัวเอาไว้กับพี่เลยก็แล้วกัน”
ม่อหลงเหลือบมองหวันชุนหัวแล้วพูดว่า “คุณไม่เหมาะที่จะเป็นพลซุ่มยิงหรอก… แต่เขาคนนั้นน่ะเหมาะ” ขณะที่ม่อหลงพูด เขาก็ชี้ไปที่จ้าวไถ่จู้ที่กำลังยัดอาหารเข้าปากตัวเองอย่างไม่หยุดยั้งไปด้วย
เมื่อหวันชุนหัวมองไปที่จ้าวไถ่จู้ เขาก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แต่เขารู้ดีว่าจ้าวไถ่จู้นั้นแข็งแกร่งมาก
หลังจากเงียบกันไปครู่หนึ่ง เย่เชียนก็พูดขึ้นมาว่า “คืนนี้ทุกคนว่างมั้ย ? ไปบาร์มนต์เสน่ห์กัน เดี๋ยวผมเลี้ยงเอง”
“แน่นอนว่าฉันว่าง… ถ้าฉันไม่ไปกินอาหารฟรีก็บ้าแล้ว ฮ่า ๆ ๆ ” หวันชุนหัวตะโกนตอบ
ฟูจุนเฉิงส่ายหัวเบา ๆ แล้วพูดว่า “วันนี้เป็นวันเกิดภรรยาของฉัน… ฉันจะกลับบ้านไปฉลองกับเธอ”