หวงฟู่ชิงเตี๋ยนหัวเราะได้ไม่นานก็ต้องกลับมาขมวดคิ้วแน่นอีกครั้ง เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วพูดว่า “โชคร้ายที่ภารกิจคราวนี้มันดันล้มเหลวไม่เป็นท่า แถมฉันไม่ได้พระบรมสารีริกธาตุกลับคืนมาอีก ส่วนไอ้หมาป่าผีไป๋ฮวย… ฉันคิดว่าป่านนี้เขาคงหลบหนีออกจากประเทศจีนไปแล้วมั้ง ไม่ต้องพูดถึงแรงกดดันจากซีไอเอของสหรัฐเลย พวกเขาคงกำลังโกรธกันมากยิ่งไปกว่านั้นตัวแทนของพวกเราหลายคนก็ยังคงถูกควบคุมตัวอยู่อีกต่างหาก”
ทว่าเย่เชียนนั้นกลับไม่คิดว่าไป๋ฮวยจะหลบหนีออกจากประเทศจีนไปแล้วเหมือนที่หวงฟู่ชิงเตี๋ยนคาดเดา เพราะไป๋ฮวยนั้นยังคงทำงานให้กับเฝิงเฝิงอยู่ ซึ่งถ้าเขาเลือกที่จะหนีออกนอกประเทศไปจริง ๆ นั่นก็แสดงว่าเขาอาจจะมีเหตุผลบางอย่างที่จะต้องทำอย่างนั้นแน่ ๆ อีกทั้งเย่เชียนเองก็รู้จักกับไป๋ฮวยเป็นอย่างดี เขาเชื่อว่าคนอย่างไป๋ฮวยต้องยังคงหลบซ่อนตัวอยู่ในประเทศจีนพร้อมกับพรรคพวกของเขา
แต่เย่เชียนกลับไม่แน่ใจว่าเขานั้นควรจะบอกเรื่องนี้ให้หวงฟู่ชิงเตี๋ยนรู้ดีหรือไม่ ?
หลังจากเงียบกันไปสักพัก เย่เชียนก็พูดขึ้น “ปู่… ผมว่าผมคิดอะไรออกแล้วล่ะ! ผมมีวิธีที่อย่างน้อยเราจะสามารถยุติข้อพิพาทกับทางซีไอเอได้แล้ว”
ตาทั้งสองข้างของหวงฟู่ชิงเตี๋ยนเบิกกว้างขึ้นด้วยความสนใจใคร่รู้ทันที จากนั้นเขาก็ถามด้วยความกระตือรือร้นว่า “ไหนเอ็งว่ามาซิ ?”
“คืออย่างงี้ปู่… ตอนที่ลูกน้องของไป๋ฮวยกำลังทำธุกรรมซื้อขายแลกเปลี่ยนกับพวกสายลับซีไอเอของสหรัฐน่ะ จู่ ๆ ก็มีพวกญี่ปุ่นหลายคนโผล่มาแจมด้วย ถ้าเป็นแบบนั้นทำไมปู่ไม่…” เย่เชียนไม่ยอมพูดจนจบประโยค เขาเพียงยักคิ้วหลิ่วตาให้หวงฟู่ชิงเตี๋ยนเท่านั้น
“นี่เอ็งอย่าบอกนะว่า… จะให้มุ่งเป้าความรับผิดชอบไปที่ประเทศญี่ปุ่น ?” หวงฟู่ชิงเตี๋ยนเลิกคิ้วถาม
เย่เชียนยิ้มแล้วพูดว่า “เรื่องนี้มันไม่น่ายากสำหรับปู่หรอกใช่มั้ย ? เพราะเท่าที่ผมรู้มา พวกซีไอเอของสหรัฐไม่สามารถดำเนินการเรื่องพวกนี้กับประเทศญี่ปุ่นได้น่ะ”
“โอ้… มันเยี่ยมมาก” หวงฟู่ชิงเตี๋ยนครุ่นคิดอยู่สักพักและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไอ้หนู! ถ้างั้นพวกเอ็งมาทำงานกับฉันเลยมั้ยล่ะ ? เดี๋ยวฉันจะแต่งตั้งให้เอ็งเป็นผู้บัญชาการโดยตรงเอง”
หัวของเย่เชียนส่ายไปส่ายมาและเขาก็พูดอย่างหนักแน่นว่า “ไม่ดีกว่าปู่… พวกผมไม่สามารถทนต่อข้อจำกัดหลาย ๆ อย่างได้หรอก เพราะพวกผมชอบความอิสระน่ะ ยิ่งไปกว่านั้นถ้ากัปตันที่ล่วงลับไปแล้วของพวกเรารู้เรื่องนี้เข้าล่ะก็ เขาคงจะคลานออกมาจากหลุมศพเพื่อมาฆ่าพวกผมอย่างแน่นอน”
“เฮ้อ…” หวงฟู่ชิงเตี๋ยนถอนหายใจออกมาอีกเฮือกใหญ่ ก่อนที่จะพูดต่อไปว่า “เอ็งรู้มั้ยว่าเรื่องนี้มันไม่ได้แค่ผิดกฎหมายอย่างเดียวนะ แต่มันกระทบถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอีกด้วย”
เย่เชียนหัวเราะอย่างเย้ยหยันและพูดว่า “เหอะ ๆ ๆ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเหรอ ? ผมว่าไม่หรอก เพราะแบบนั้นมันจะทำให้ต่างประเทศนั้นดูถูกและเหยียดหยามประเทศจีนของเรา และถ้าเป็นแบบนั้นพวกต่างชาติก็จะคอยกดดันและแข็งข้อกับเราไปตลอด!”
“เอาจริงแนวทางของยุทธศาสตร์ของประเทศจีนมันก็ยังรอบคอบและเตรียมพร้อมอยู่พอสมควรแหละนะ เพราะกองทัพของจีนยังคงรักษามาตรฐานทางทหารและมาตรฐานการฝึกซ้อมต่าง ๆ เหมือนยุคของเทียนเฟิงสมัยที่เขายังอยู่ในกองทัพ ถึงยังไงแล้วเขาก็ยังคงเป็นทหารที่ดีที่สุดของประเทศจีนเรา” หวงฟู่ชิงเตี๋ยนพูด
“หึ!” เย่เชียนทำเสียงไม่สบอารมณ์อย่างมากและพูดต่อ “ถ้างั้นพวกเบื้องบนก็ไม่ควรที่จะประกาศปลดเขาออกจากกองทัพและส่งเขาขึ้นศาลทหารสิ ปู่ก็รู้หนิว่าสำหรับทหารแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดคืออะไร ? มันไม่ใช่ชีวิตหรอก แต่เป็นเกียรติและศักดิ์ศรีมากกว่า มันน่าตลกสิ้นดี ทั้ง ๆ ที่เขาทำเพื่อประเทศขนาดนี้ แต่เบื้องบนกลับผลักไสความรับผิดชอบไปให้เขาแต่เพียงผู้เดียวแบบนั้น”
……
สิบปีก่อน…
กัปตันเทียนเฟิงได้รับคำสั่งให้อารักขานายกรัฐมนตรีของประเทศญี่ปุ่นพร้อมทั้งภรรยาและลูกสาวของเขาที่มาเยือนประเทศจีนตลอดเวลาที่มาพำนักอยู่ในประเทศ
ทุกอย่างดำเนินไปได้ด้วยดี จนกระทั่งวันสุดท้ายของการปฏิบัติหน้าที่!
วันนั้นกับตันเทียนเฟิงได้ติดตามท่านนายกและครอบครัวเพื่อไปส่งยังสนามบิน ทว่าเมื่อถึงที่สนามบินแล้ว จู่ ๆ ลูกสาวของท่านนายกกลับพูดขึ้นมาว่า “ไอ้พวกหมูจีนนี่ไม่ฉลาดเอาเสียเลย! พวกเขาคิดกันจริง ๆ เหรอว่าพวกเรากำลังช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกันอยู่จริง ๆ น่ะ ? เพราะไม่ช้าก็เร็วเดี๋ยวพวกเราชาวญี่ปุ่นก็เข้ามาครอบงำประเทศจีนแห่งนี้ได้แล้ว ใคร ๆ ก็รู้หนิว่าพวกหมูจีนเป็นชนชาติที่ต้อยต่ำที่สุดในโลก แล้วแบบนี้จะมาสู้พวกเราชาวญี่ปุ่นชนชาติที่สูงส่งที่สุดได้ยังไง ?”
ทว่าไม่มีใครคิดเลยว่ากับตันเทียนเฟิงจะเข้าใจภาษาญี่ปุ่น! เขาได้ยินทุกคำพูดอย่างชัดเจนเต็มสองหู ซึ่งแน่นอนว่ามันก็ทำให้เขานั้นรู้สึกโกรธจนตัวสั่น ความรู้สึกเกลียดชังค่อย ๆ แผ่ซ่านลึกลงไปถึงกระดูกดำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับชายชาติทหารอย่างเขาแล้ว การเหยียบย่ำดูถูกบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองไม่ว่าจะทางใดก็ตาม มันทำให้พวกเขารู้สึกโกรธยิ่งกว่าการที่ตัวเองนั้นถูกพูดจาดูถูกเองเสียอีก
เมื่อได้ยินดังนั้นมันก็ทำให้กัปตันเทียนเฟิงไม่สามารถที่จะระงับความโกรธเอาไว้ได้ เขาชี้นิ้วไปที่ลูกสาวของท่านนายกแล้วตะคอกเธอกลับไปด้วยภาษาญี่ปุ่นว่า “ไอ้พวกลูกหมาบนเกาะในทะเล! พวกแกคิดว่าพวกแกน่ะสูงส่งกว่าคนอื่นนักอย่างงั้นหรือไงวะถึงได้มาพูดจาดูถูกกันแบบนี้ !? หน้าไม่อายเลยจริง ๆ ”
ทั้งท่านนายกและคนอื่น ๆ ที่อยู่ในบริเวณนั้นต่างก็ผงะไปตาม ๆ กัน พวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าทหารธรรมดา ๆ คนหนึ่งจะสามารถเข้าใจภาษาญี่ปุ่นได้ดีถึงเพียงนี้ แต่ตอนนี้มันก็ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว เพราะการชี้หน้าด่ากันแบบนี้มันก็เป็นสิ่งที่รับไม่ได้เช่นกัน ท่านนายกและคนอื่น ๆ ต่างก็รู้สึกโกรธเกรี้ยวขึ้นมาทันทีและเริ่มก่นด่าสาปแช่งเขา หลังจากนั้นไม่นานพวกบอดี้การ์ดก็เริ่มเข้ามารุมทำร้ายร่างกาย ทว่าด้วยฝีมืออันเก่งกาจของกัปตันเทียนเฟิงทำให้เขาค่อย ๆ ทยอยจัดการพวกบอดี้การ์ดเหล่านั้นให้ลงไปนอนกองอยู่ที่พื้นทีละคน ๆ ซึ่งถึงแม้ว่าเทียนเฟิงจะได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยก็ตาม แต่เขาก็จัดการบอดี้การ์ดทั้งหมดนั่นได้ภายในเวลาไม่นานนัก
ทว่าผลลัพธ์หลังจากนั้นมันช่างน่าเศร้า…
เพื่อเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อประเทศญี่ปุ่น ประเทศจีนจึงได้เพิกถอนสถานะทางทหารทั้งหมดของกัปตันเทียนเฟิงและปลดเขาออกจากราชการ จากนั้นก็ส่งตัวเขาไปยังศาลทหาร ซึ่งเหตุการณ์นี้ทำให้เหล่าทหารผู้ทรงเกียรติจำนวนนับไม่ถ้วนที่ถือเกียรติและศักดิ์ศรีของชาติต่างก็ส่ายหัวให้กับรัฐบาลจีนและเคียดแค้นประเทศญี่ปุ่นมาจนถึงทุกวันนี้
ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีโทษถึงชีวิตก็ตาม แต่ทว่าชีวิตของกัปตันเทียนเฟิงนั้นก็พังพินาศไปอย่างสิ้นเชิง เกียรติยศและศักดิ์ศรีที่เขาสร้างมาทั้งหมดและแลกมาด้วยชีวิตของเขานั้น มันก็แหลกสลายหายไปในทันที
แต่หลังจากที่กัปตันเทียนเฟิงออกจากประเทศจีนไปได้ไม่นาน เขาก็ได้ก่อตั้งกองกำลังทหารรับจ้างเขี้ยวหมาป่าขึ้นมา เพราะเขานั้นยังคงมีความรักอย่างลึกซึ้งต่อประเทศจีนและยังคงมีความผูกพันกับกองทัพของเขาอย่างหาที่เปรียบมิได้ ซึ่งเขาก็ไม่เคยลืมว่าตัวเองนั้นเคยเป็นทหารที่ทรงเกียรติและคอยปกป้องประชาชนและประเทศชาติด้วยชีวิต ซึ่งถ้าหากว่าเขาได้รับโอกาสให้กลับไปอีกล่ะก็ แน่นอนว่าเขานั้นจะไม่ปฏิเสธเลย เพราะมันคือเลือดของชายชาติทหารและความภาคภูมิใจของลูกผู้ชายอย่างแท้จริง
หลังจากที่กัปตันเทียนเฟิงก่อตั้งกองกำลังทหารรับจ้างเขี้ยวหมาป่าขึ้นมาแล้ว เมื่อใดก็ตามที่ประเทศจีนต้องการความช่วยเหลือจากเขา เขาก็ไม่เคยถามและไม่เคยสนใจเกี่ยวกับผลกำไรหรือความสูญเสียใด ๆ ทั้งสิ้น เขายังคงตอบรับด้วยความภักดีเช่นเคยเหมือนที่เป็นมา
ทุกคนในเขี้ยวหมาป่ารู้ดีว่ากัปตันเทียนเฟิงไม่เคยเล่าเรื่องพวกนี้ให้พวกเขาฟังเลย พวกเขาแค่บังเอิญได้ยินมาเพียงเท่านั้น แต่เมื่อใดที่พวกเขามาเยือนประเทศจีนเพื่อปฏิบัติภารกิจล่ะก็ ทุก ๆ คนในเขี้ยวหมาป่าก็จะเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวต่อรัฐบาลอย่างยิ่ง
ตั้งแต่เย่เชียนได้เข้ามารับตำแหน่งผู้บัญชาการเขี้ยวหมาป่าอย่างเป็นทางการแล้วแม้ว่าเขาจะยังคงให้ความช่วยเหลือกับประเทศจีนเท่าที่จะทำได้ก็ตาม และค่าตอบแทนมันก็ไม่ใช่น้อย ๆ ก็จริง แต่ทว่าพวกเขานั้นไม่ได้ทำเพื่อเงินเลย พวกเขาแค่ต้องการทำเพื่อเรียกจิตใต้สำนึกและความยุติธรรมของเหล่ารัฐบาลจีนให้กัปตันเทียนเฟิงเพียงเท่านั้น และเย่เชียนก็สาบานเอาไว้ว่าไม่ช้าก็เร็วเขาจะฝังขี้เถ้าของเทียนเฟิงไว้ในสุสานของผู้กล้าที่เสียสละ
……
หวงฟู่ชิงเตี๋ยนได้แต่ถอนหายใจออกมาเท่านั้น เพราะเขาเองก็รู้ดีเช่นกันว่าสำหรับเรื่องนี้ประเทศจันได้ทำผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง แต่เพื่อผลประโยชน์ของประเทศแล้ว มันก็จำเป็นที่จะต้องเสียสละเทียนเฟิงไป ทว่าหวงฟู่ชิงเตี๋ยนนั้นไม่ได้อยากที่จะถกเถียงกับเย่เชียนในเรื่องนี้อีกต่อไป เพราะถึงยังไงแล้วพวกเขาต่างก็ไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าสิ่งต่าง ๆ ทั้งหมดนั้นมันถูกหรือผิดกันแน่
หลังจากนั้นไม่นาน หวงฟู่เส้าเจี๋ยก็วิ่งเข้ามาด้วยท่าทางเหนื่อยหอบมาก ในมือของเขาถือถุงเต้าหู้เหม็นที่เพิ่งซื้อมาด้วย เขาวิ่งไปข้าง ๆ เย่เชียนอย่างมีความสุขและพูดว่า “อาจารย์ผมซื้อกลับมาแล้ว… ดูสิ!”
เย่เชียนหยิบเต้าหู้เหม็นที่หวงฟู่เส้าเจี๋ยซื้อมาดูแล้วพูดเบา ๆ ว่า “อ้าว… ? มันเย็นหมดแล้วหนิ”
หวงฟู่เส้าเจี๋ยถึงกับผงะและขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น เขาอดคิดไม่ได้ว่าต่อให้เขาขับรถไปก็ตาม แต่ด้วยระยะทางที่ไกลขนาดนั้นมันก็ต้องเย็นชืดแบบนี้อยู่ดี
เย่เชียนมองไปที่หวงฟู่เส้าเจี๋ยและพูดว่า “นายจะให้ฉันกินแบบนี้จริง ๆ เหรอ ? จะให้ฉันกินของที่ไม่ดีแบบนี้ได้ยังไง ? ไปซื้อมาใหม่!”
“ห๊ะ!?!” หวงฟู่เส้าเจี๋ยร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ
“ทำไม ? นายไปไม่ได้เหรอ ? งั้นเดี๋ยวฉันไปซื้อเองก็ได้” เย่เชียนพูดขณะที่เขากำลังจะลุกขึ้นยืน
“ไม่ ๆ อาจารย์นั่งลงเถอะ… เดี๋ยวผมจะรีบไปซื้อมาให้ใหม่เดี๋ยวนี้แหละ” หวงฟู่เส้าเจี๋ยกัดฟันพูด เขารู้ว่านี่เป็นบททดสอบของเย่เชียนและเพื่อให้เย่เชียนยอมรับตัวเขา เขาก็ต้องอดทนอย่างถึงที่สุด เมื่อเขานึกถึงวันที่ตัวเขาจะยิ่งใหญ่เหมือนกับเย่เชียนในอนาคตแล้ว เขาก็คิดว่าเขาจะได้ทำแบบนี้กับคนอื่นบ้างและมันคงจะยอดเยี่ยมมากเลย
เมื่อคิดได้เช่นนั้นแล้ว หวงเส้าเจี๋ยก็รีบวิ่งลงไปชั้นล่างอีกครั้งทันที
หวงฟู่ชิงเตี๋ยนเห็นอย่างนั้นก็ยิ้มด้วยความพึงพอใจและโล่งใจราวกับว่าเขาได้เห็นหวงฟู่เส้าเจี๋ยกลายเป็นเสาหลักของตระกูลหวงฟู่ไปแล้วภายใต้การอบรมของเย่เชียน
หลังจากเวลาผ่านไปสักพัก หวงฟู่เส้าเจี๋ยก็วิ่งกลับมาอีกครั้ง คราวนี้เขาเหนื่อยหอบอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งถ้าหากว่าเขาไม่ได้นั่งพักแล้วล่ะก็ เขาอาจจะต้องเป็นลมสลบไปก็เป็นได้
“แฮ่ก ๆ อาจารย์! อาจารย์ดูสิผมโอบมันมาตลอดทางเลย ผมไม่ให้มันโดนลมแม้แต่นิดเดียวเลยนะ ผมว่ามันคงยังไม่เย็นชืดหรอก… อาจารย์ลองดูสิ” หวงฟู่เส้าเจี๋ยพูดอย่างหอบเหนื่อย
เย่เชียนหยิบเต้าหู้เหม็นขึ้นมาดมที่จมูก แต่แล้วเขาก็ทำหน้ามุ่ยพลางพูดว่า “แต่มันมีกลิ่นเหงื่อตลบอบอวลไปหมด! แล้วแบบนี้ฉันจะกินมันได้ยังไงล่ะ ?”
หวงฟู่เส้าเจี๋ยรู้สึกประหลาดใจมากขึ้นไปอีก เขาจ้องมองไปที่เย่เชียนอย่างว่างเปล่าและถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นก็พูดว่า “โอ้… อาจารย์! ได้โปรดรอผมอีกสักครั้ง เดี๋ยวผมจะรีบวิ่งไปซื้อให้ใหม่”
หลังจากนั้นเขาก็วิ่งลงบันไดไปอีกครั้งโดยไม่หันกลับมามอง…
“เป็นไงบอส… เขาไหวมั้ย ?” อู๋หวนเฟิงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมาขณะที่เขาเห็นหวงฟู่เส้าเจี๋ยวิ่งออกไป
เย่เชียนมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นได้ชัดเลยว่าจังหวะการวิ่งของหวงฟู่เส้าเจี๋ยนั้นเริ่มที่จะสะดุดเล็กน้อยขณะวิ่งไป แต่พยายามของเขาก็ยังคงทำให้ขาทั้งสองข้างยังคงวิ่งไปข้างหน้าต่อ
“จริง ๆ แล้วมันก็ไม่สำคัญว่าเขาจะทนได้หรือไม่ได้ เพราะสิ่งที่สำคัญก็คือความเพียรพยายามของเขา” เย่เชียนพูด “หวนเฟิง… นายคอยตามเขาไปอย่างเงียบ ๆ นะ ถ้าเขาล้มกลางทางก็พาเขาไปส่งที่โรงพยาบาลซะ”
อู๋หวนเฟิงพยักหน้าและจากนั้นก็เดินออกไป
ทางด้านของหวงฟู่ชิงเตี๋ยนนั้นดูพอใจมาก เขาเหลือบมองไปที่เย่เชียนด้วยความขอบคุณและพูดว่า “เย่เชียน… ฉันมั่นใจว่าเส้าเจี๋ยจะไม่สร้างปัญหาให้กับพวกเอ็งอีก แต่ถ้าเขาทำ เอ็งก็ลงโทษเขาได้เลย ถ้าเอ็งมีปัญหาอะไรล่ะก็ โทรมาหาฉันได้ตลอด ตราบใดที่มันไม่ได้ละเมิดต่อกฎหมายหรือวินัยล่ะก็… ฉันก็จะไม่ปฏิเสธเลย”
เย่เชียนหัวเราะเบา ๆ และพูดว่า “ฮ่า ๆ ๆ ปู่เป็นคนเจ้าเล่ห์แบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย ?”
หวงฟู่ชิงเตี๋ยนจ้องเขม็งไปที่เย่เชียนและพูดหยอกล้อว่า “ไอ้เด็กบ้านี่! ถ้าเอ็งไม่พูดจาถากถางหรือแซวฉัน เอ็งจะนอนไม่หลับหรือยังไง ?”
เย่เชียนยิ้มและพูดว่า “ฮ่า ๆ ๆ มาดื่มชาต่อกันเถอะปู่!”
“ไม่ล่ะ… ฉันยังมีเรื่องด่วนที่ต้องกลับไปจัดการอยู่ ฉันจะไปละ” หวงฟู่ชิงเตี๋ยนพูดพลางลุกขึ้นยืน “เอ็งก็ควรกลับไปทำงานได้แล้ว… ดูเหมือนว่าจู้ซานกับซูเจี้ยนจุนจะเกรี้ยวกราดมากนะช่วงนี้”
มุมปากของเย่เชียนก็ฉีกขึ้นรอยยิ้มและพูดว่า “พวกนั้นน่ะมันเป็นแค่ตัวตลกที่กระโดดขึ้นไปบนคานเท่านั้นแหละปู่ ถ้าผมไม่สามารถรับมือกับพวกนั้นได้ แล้วผมจะไปทำอะไรอีกได้ ?”
“ถ้างั้นก็ตามนั้น!” หวงฟู่ชิงเตี๋ยนพูด จากนั้นทั้งสองก็ยิ้มให้กัน