ตอนที่ 312 ศึกใหญ่กำลังจะมา
ในขณะนี้บริกรก็เดินเข้ามาอีกครั้งพร้อมกับเหล้าสาเกและอาหารและโค้งคำนับจากนั้นก็พูดว่า “ขออภัยที่มารบกวนคุณลูกค้าค่ะ..คือวันนี้ทางร้านเรามีงานอีเว้นท์พิเศษ..ดังนั้นดิฉันจึงอยากจะมอบเหล้าสาเกคุณภาพดีและอาหารสองสามอย่างให้กับคุณลูกค้าเป็นกรณีพิเศษค่ะ”
เย่เชียนก็พยักหน้าและหลังจากที่บริกรวางอาหารและเครื่องดื่มลงแล้วเย่เชียนก็ถามว่า “ใครอยู่ห้องข้างๆ? ..พวกเขาเสียงดังกันขนาดนี้คุณจะเพิกเฉยอย่างงั้นหรือ?”
บริกรก็รีบตอบว่า “ขอโทษค่ะ! ..เดี๋ยวฉันจะเปลี่ยนห้องให้คุณทั้งสามนะคะ..ทางเราต้องขอโทษที่ทำให้คุณขุ่นเคืองและมีปัญหากับมื้ออาหารของคุณค่ะ!”
เย่เชียนก็โบกมือและพูดว่า “ไม่เป็นไรๆ ..ออกไปเถอะ!”
“ขอบคุณค่ะ..ขออภัยในความไม่สะดวกด้วยค่ะ” บริกรพูดด้วยความเคารพและก้าวถอยหลังออกไป
หวงฟู่เส้าเจี๋ยก็ลุกขึ้นยืนและพูดว่า “อาจารย์! ..เดี๋ยวผมจะไปสั่งสอนไอ้พวกนั้นเอง!”
“เฮ้ยๆ ..เดี๋ยวก่อน! ..ฉันยังไม่ได้กินอาหารที่สั่งมาเลย..มันน่าเสียดายฉันจ่ายเงินไปแล้วด้วย..เพราะงั้นฉันไม่อยากเสียเงินไปฟรีๆ!” เย่เชียนพูดต่อ “กินก่อนเถอะ..เดี๋ยวค่อยว่ากันทีหลัง”
หลังจากกินและดื่มกันพอประมาณแล้วเย่เชียนก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนและบิดขี้เกียจไปมา ซึ่งห้องถัดไปนั้นก็ยังคงมีเสียงดังอยู่นเคย ซึ่งในขณะนี้หวงฟู่เส้าเจี๋ยก็เดินไปที่ด้านข้างของห้องและก่อนที่เย่เชียนจะได้พูดอะไรใดๆ หวงฟู่เส้าเจี๋ยก็กระโดดเตะกำแพงห้องไปเสียแล้ว ซึ่งกำแพงไม้เหล่านี้จะทนต่อลูกเตะของหวงฟู่เส้าเจี๋ยที่รุนแรงได้อย่างไรเพราะมันได้ล้มลงไปในทันทีที่หวงฟู่เส้าเจี๋ยเตะ
“เฮ้ยไอ้บ้านี่..นายต้องไปจ่ายค่าเสียหายทีหลังด้วยนะเว้ย” เย่เชียนตกตะลึงไปชั่วขณะและพูดอย่างหมดหนทาง แต่เดิมนั้นเย่เชียนก็คิดว่าหวงฟู่เส้าเจี๋ยจะเข้าทางประตูแต่ทว่าใครจะรู้ล่ะว่าหวงฟู่เส้าเจี๋ยจะบุ่มบ่ามและบ้าบิ่นถึงขนาดนี้
หวงฟู่เส้าเจี๋ยก็ฉีกยิ้มและพูดว่า “ไม่เป็นไรๆ ..เดี๋ยวผมค่อยไปจ่ายทีหลัง”
มีคนอยู่ประมาณสิบคนที่นั่งอยู่ในห้องส่วนตัวข้างๆ โดยสวมชุดกิโมโนและรองเท้าเกี๊ยะจากไม้ ซึ่งการที่กำแพงไม้ถูกเตะเข้ามาอย่างกะทันหันเช่นนี้พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะตกใจและพวกเขาก็หันหน้าไปมอง และเมื่อพวกเขาได้ยินบทสนทนาของเย่เชียนกับหวงฟู่เส้าเจี๋ยแล้วจู่ๆ ผู้ชายหนึ่งในนั้นก็วิ่งตรงไปด้านหน้าของเย่เชียนและตะโกนว่า “ไอ้พวกลูกหมู..อยากตายเหรอวะ!”
“อาจารย์เขาพูดว่าอะไร?” หวงฟู่เส้าเจี๋ยหันหน้าไปถามเย่เชียน
“ไม่ต้องไปสนใจหรอก..เล่นมันให้ยับก็พอแล้ว” เย่เชียนก็เตะสวนชายคนนั้นไปทันทีที่เขาพูดจบและชายคนนั้นก็กระเด็นกลับไปในทันที ส่วนชิงเฟิงและหวงฟู่เส้าเจี๋ยนั้นก็ไม่รีรอใดๆ ในฐานะสองสหายแห่งหายนะที่โหยหาความโกลาหลวุ่นวายของโลกและพร้อมที่จะแสดงความแข็งแกร่งของพวกเขาให้โลกได้ประจักษ์พวกเขาจึงรีบวิ่งเข้าไปหากลุ่มคนในห้องถัดไปในทันที
พวกเขาเหล่านั้นเป็นเพียงสมาชิกธรรมดาๆ ของกลุ่มยากูซ่ายามากุจิ และพวกเขาก็มักจะหยิ่งผยองและเกรี้ยวกราดเสมอเมื่อพวกเขาอยู่ภายใต้ชื่อแก๊งยามากุจิและในเมืองนี้ก็ไม่มีใครที่กล้าท้าทายพวกเขาเลย ซึ่งครั้งนี้ก็เหมือนกับการต่อสู้กับพวกนักเลงที่ชิงเฟิงและหวงฟู่เส้าเจี๋ยจะต้องเผชิญ
ภายในเวลาไม่นานชายหนุ่มของแก๊งยากูซ่ายามากุจิหลายสิบคนทั้งหมดก็นอนกองกันอยู่บนพื้น ซึ่งในขณะนี้เถ้าแก่ของร้านอาหารก็รีบวิ่งเข้ามาและถึงกับตกใจอย่างมากเมื่อเห็นฉากนี้เขาจึงรีบวิ่งไปหาเย่เชียนและพูดด้วยความเคารพว่า “ฉันขอโทษ..ฉันขอโทษจริงๆ ..ฉันไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้คุณลูกค้าต้องขุ่นเคืองถึงกับทำรุนแรงกันขนาดนี้?”
“มันไม่ใช่ธุระของคุณ..เพราะงั้นคุณไม่จำเป็นต้องสนใจ..แล้วถ้าหากว่าพวกยามากุจิมาที่นี่คุณก็พูดไปเลยว่าแก๊งฝูชิงของเราทำเรื่องพวกนี้เอง” เย่เชียนพูดอย่างง่ายๆ สบายๆ และถึงแม้ว่าชื่อเสียงของเขี้ยวหมาป่าจะโด่งดังอย่างมากก็ตาม แต่ก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าแก๊งเจ้าพ่อมาเฟียฝูชิงในประเทศญี่ปุ่นนั้นมีรากเหง้าที่ดีและเป็นที่ชื่นชอบของผู้คนอีกด้วยและมันก็ไม่เหมาะสมนักที่จะใช้ชื่อของเขี้ยวหมาป่า ดังนั้นเย่เชียนจึงถือวิสาสะเรียกตัวเองว่าคนของแก๊งฝูชิง เพราะถึงยังไงความขัดแย้งระหว่างแก๊งยามากุจิกับแก๊งฝูชิงก็ไม่ได้เพิ่งจะเกิดขึ้นในวันหรือสองวัน และยิ่งไปกว่านั้นเหล่าเด็กๆ ทั้งหลายภายใต้ทั้งสองแก๊งก็มักจะทะเลาะกันบ่อยๆ จึงเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว
เถ้าแก่ของร้านอาหารก็ไม่กล้าพูดและไม่กล้าโทรหาตำรวจแต่อย่างใดเพราะเขารู้ดีว่าแก๊งฝูชิงนั้นเป็นอย่างไร และก็รู้ดีด้วยว่าความบาดหมางระหว่างแก๊งฝูงชิงกับแก๊งยามากุจินั้นเดือดดาลเช่นไร ดังนั้นเถ้าแก่จึงทำได้เพียงแค่อยู่เฉยๆ และสิ่งที่เขาทำได้ตอนนี้ก็คือการหวังว่าเย่เชียนและคนอื่นๆ จะหยุดสร้างปัญหาไปมากกว่านี้และหยุดทำให้ร้านอาหารของเขาเสียหายไปมากกว่านี้
เย่เชียนก็เหลือบมองสมาชิกของแก๊งยามากุจิที่กำลังโอดครวญอยู่ที่พื้นและถามอย่างเดือดดาลว่า “ไหนพูดซิว่าเมื่อกี้ใครดูถูกคนจีน?”
ทุกคนถึงกับตัวสั่นไปหมดแต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรใดๆ เย่เชียนจึงยิ้มอย่างเยือกเย็นและพูดว่า “ถ้างั้นต่อไปนี้ก็ไม่ต้องพูดเลยก็แล้วกัน..เส้าเจี๋ย! ..ตัดลิ้นของพวกมันซ่ะ..พวกมันจะได้ไม่พล่ามอะไรอีกในอนาคต”
คนหลายสิบคนก็ตัวสั่นเทาอยู่พักหนึ่งจากนั้นก็รีบชี้ไปที่หนึ่งในนั้นและเริ่มพูดอย่างกระวนกระวาย หลังจากนั้นรอยยิ้มที่ชั่วร้ายก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเย่เชียนจากนั้นเย่เชียนก็มองไปที่ชายหนุ่มที่กำลังตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวและเขาก็แทบจะรอไม่ไหวแล้วที่จะส่งพวกนี้ไปทักทายบรรพบุรุษของพวกเขา ซึ่งท้ายที่สุดแล้วสถานที่แห่งนี้ก็ยังคงเป็นเขตแดนของแก๊งยามากุจิดังนั้นเย่เชียนจึงไม่ต้องการที่จะเสียเวลามากเกินไปเพราะมิฉะนั้นถ้าแก๊งยามากุจิกรูกันมาล่ะก็สิ่งต่างๆ ก็จะเป็นปัญหาใหญ่ขึ้นเพราะโลกใต้ดินของประเทศญี่ปุ่นนั้นบ้าคลั่งและแหลกเหลวยิ่งกว่าในประเทศจีนเสียอีกเพราะพวกเขาล้วนเป็นองค์กรที่ได้รับการยอมรับและสนับสนุนจากรัฐบาลและแทบจะเป็นเรื่องปกติที่จะก่ออาชญากรรมบนท้องถนนเลย แต่โชคดีที่รัฐบาลญี่ปุ่นชุดล่าสุดดูเหมือนจะปราบปรามแก๊งยามากุจิดังนั้นตอนนี้แก๊งยามากุจิจึงไม่ค่อยเคลื่อนไหวอะไรกันมากนัก
“เอาฟันของมันออกมาจากปากให้หมดและให้ความเจ็บปวดมันลึกไปถึงสมองซะบ้าง..มันจะได้ไม่กล้าไปพูดที่ไหนอีก!” เย่เชียนพูดอย่างเยือกเย็น
หวงฟู่เส้าเจี๋ยก็ฉีกยิ้มและเดินไปต่อยปากชายหนุ่มคนนั้นอย่างไร้ความปรานี ส่วนชิงเฟิงก็กวาดสายตาจ้องไปที่คนอื่นๆ อย่างเย็นชาเพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาต่อต้านใดๆ ซึ่งภายใต้การจับตามองของชิงเฟิงนั้นคนเหล่านั้นจะกล้าเคลื่อนไหวได้อย่างไร? ชายหนุ่มคนนั้นก็เต็มไปด้วยน้ำตาและจมูกก็เต็มไปด้วยน้ำมูกซึ่งหลังจากการต่อยและตบจำนวนหลายๆ ครั้งปากของเขาก็เต็มไปด้วยเลือดและฟันของเขาก็หลุดออกมาทีละซี่และในชั่วอึดใจใบหน้าของเขาก็บวมเหมือนหัวหมูอย่างไงอย่างงั้น
เย่เชียนที่มองดูอยู่ก็เห็นว่าฟันมันหมดปากแล้วเขาจึงเรียกหวงฟู่เส้าเจี๋ย หลังจากนั้นพวกเขาก็เดินกันออกไปอย่างสบายใจเฉิบ แต่ก่อนที่พวกเขาจะออกไปพวกเขาก็ถอดเสื้อผ้าของคนเหล่านั้นออกทั้งหมดและเงินทั้งหมดในตัวของพวกเขาก็ถูกยึดมาทั้งหมดและก่อนที่จะออกจากร้านอาหารเย่เชียนก็ยื่นเงินให้เถ้าแก่โดยตรงและพูดว่า “นี่คือค่าเสียหายของร้านอาหารของคุณ” หลังจากพูดจบเขาก็พาชิงเฟิงและหวงฟู่เส้าเจี๋ยออกไปเรียกรถแท็กซี่และนั่งตรงไปที่โรงแรม
เมื่อผ่านมาได้ครึ่งทางหวงฟู่เส้าเจี๋ยก็รู้สึกตื่นเต้นที่จะพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้แต่ทว่าเย่เชียนก็รีบหยุดเขาเอาไว้ด้วยท่าทางที่รีบร้อนเพราะที่แห่งนี้คือประเทศญี่ปุ่นแล้วใครจะรู้ได้ว่าคนขับแท็กซี่คนนี้จะเป็นสมาชิกของแก๊งยามากุจิด้วยหรือไม่หรืออาจจะเป็นคนขายข่าวอะไรทำนองนั้น
เมื่อกลับมาถึงที่โรงแรมแล้วก็เห็นว่าม่อหลงก็กลับมาแล้วเช่นกันดังนั้นชิงเฟิงจึงรีบเอนตัวเข้าไปแกล้งหยอกล้อม่อหลงถึงเรื่องที่เกิดขึ้นตอนช่วงบ่ายซึ่งชิงเฟิงนั้นก็หยาบคายและหน้าไม่อายเลยแม้แต่น้อย ส่วนเย่เชียนก็รีบโทรหาเซี่ยตงไป่และเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นและขอโทษเซี่ยตงไป่เกี่ยวกับเรื่องที่เขาอ้างชื่อแก๊งฝูชิงเมื่อครู่นี้ ส่วนเซี่ยตงไป่นั้นก็หัวเราะเสียงดังลั่นและพูดกับเย่เชียนว่าเย่เชียนนั้นช่างเป็นคนมีเมตตาเสียจริงเพราะถ้าเป็นเขาแล้วล่ะก็เขาจะฆ่าคนเหล่านั้นทิ้งทันทีเลย ซึ่งเมื่อได้ยินเช่นนั้นเย่เชียนก็ถึงกับตัวสั่นเล็กน้อยเพราะปรากฏว่าเซี่ยตงไป่โหดเหี้ยมยิ่งกว่าเขาเป็นไหนๆ และหลังจากทักทายกันสองสามครั้งแล้วเขาก็วางสายโทรศัพท์ไป
…..
สองวันต่อมาในวันประชุมใหญ่ขององค์กรดาร์คลิลลี่ ซึ่งในตอนนี้ก็มีบอดี้การ์ดที่เก่งที่สุดยี่สิบคนจากบริษัทรักษาความปลอดภัยไอร่อนบลัดที่แจ็คคัดเลือกมาอย่างดีบินตรงมาที่เมืองโตเกียวประเทศญี่ปุ่นในนามของกลุ่มทัวร์นักท่องเที่ยว เนื่องจากตัวตนของพวกเขาเป็นเรื่องธรรมดาพวกเขาจึงไม่ได้ดึงดูดความสนใจจากหน่วยงานความมั่นคงของประเทศญี่ปุ่นเลยแม้แต่น้อย
ซึ่งในตอนเย็นเย่เชียนก็พาม่อหลงและชิงเฟิงไปที่สวนศาลเจ้าพร้อมกับเหล่าบอดี้การ์ดทั้งยี่สิบคนจากบริษัทรักษาความปลอดภัยไอร่อนบลัดที่สแตนด์บายอยู่รอบๆ ของสวนศาลเจ้าแห่งนี้ด้วยชุดนอกเครื่องแบบในฐานะนักท่องเที่ยวที่กำลังพูดคุยและหัวเราะราวกับว่าพวกเขาเป็นนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชมสถานที่จริงๆ และเมื่อพวกเขาเห็นเย่เชียนเข้ามาบอดี้การ์ดในละแวกใกล้ๆ ก็แสร้งทำเป็นสบายๆ อย่างเฉยเมยเป็นธรรมชาติและก็ค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้ๆ เย่เชียนทีละนิดอย่างเป็นธรรมชาติ
เมื่อพวกเขาทั้งหมดเข้ามาใกล้เย่เชียนแล้วเย่เชียนก็พูดเบาๆ ให้บอดี้การ์ดทุกคนในละแวกได้ยินว่า “มีรถจอดรออยู่ที่ทางออกของประตูหลัง..หลังจากจบเรื่องแล้วจะมีคนมารับพวกคุณและจำเอาไว้ว่าพวกคุณมากันยี่สิบคนก็ต้องกลับไปพร้อมกันยี่สิบคน..แต่มันก็พูดยากเพราะศัตรูล้วนเป็นนักฆ่าระดับโลกและชีวิตของพวกคุณก็อยู่บนเส้นด้ายทุกเมื่อและอาจจะออกไปจากที่นี่ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ..ถ้ามีใครอยากถอนตัวก็ออกไปได้เลยและผมก็สัญญาว่ามันจะไม่มีผลกระทบอะไรต่องานการรักษาความปลอดภัยของไอร่อนบลัด..แต่ถ้าหากคุณเสียชีวิตในสนามรบล่ะก็บริษัทไอร่อนบลัดจะช่วยสนับสนุนและพ่อแม่และญาติๆ ของคุณตลอดไป”
บอดี้การ์ดเหล่านี้ล้วนเป็นทหารผ่านศึกซึ่งผู้ชายทุกคนในที่แห่งนี้ต่างก็มีความฮึกเหิมและทุกคนก็พูดพร้อมเพรียงกันว่า “เรามีเลือดมังกรของชนชาติจีนอยู่ในตัว..เราจะสู้!”
เย่เชียนก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจและพูดว่า “เอาล่ะ..พวกเราแยกกันออกไปตามจุดกันเถอะ..การโจมตีเริ่มตรงเวลาตอนหกโมงเย็น..จำเอาไว้นะว่านักฆ่าเหล่านี้ฆ่าคนได้โดยไม่กะพริบตาใดๆ ..คุณต้องไม่เมตตาเมื่อคุณเริ่มคุณต้องจบมันด้วยตัวเอง..อย่าฝืนจนเกินไป..โชคดี!”
ทุกคนตอบรับและแยกย้ายกันไป
“พี่ม่อหลง! ..หาสถานที่จากฝั่งตรงข้ามเพื่อซุ่มยิงและคอยสนับสนุนทุกคน..ชิงเฟิง! ..นายมีหน้าที่ไปรับนากาจิมะชินนะ..และถ้าหากมีอะไรผิดปกติหรือเกิดอะไรขึ้นกับเธอล่ะก็..นายคงรู้นะว่าต้องทำยังไง” เย่เชียนพูดอย่างจริงจัง
“บอส! ..มั่นใจได้เลย..ต่อให้ผมต้องตายล่ะก็ถึงยังไงผมก็จะพานากาจิมะชินนะที่รักของผมกลับมาอย่างปลอดภัยแน่นอน” ชิงเฟิงพูดอย่างหนักแน่น บางครั้งอิทธิพลความงดงามของผู้หญิงนั้นก็สามารถเปลี่ยนชีวิตของคนๆ หนึ่งได้เลยและยังทำให้คนๆ เป็นผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบชั่วดีได้อีกด้วย
หลังจากมอบหมายภารกิจและหน้าที่เรียบร้อยแล้วทั้งสามคนก็เริ่มแยกทางและแยกย้ายกันไปตามหน้าที่ของตัวเอง ภารกิจของม่อหลงนั้นดูเหมือนจะเรียบง่ายแต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่เลยเพราะเขาต้องคอยสนับสนุนทุกคนให้แคล้วคลาดจากนั้นจึงค่อยใช้เครื่องยิงจรวดและเครื่องยิงระเบิดเพื่อระเบิดจุดศูนย์กลางของสถานที่ประชุม และยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเสียงปืนดังขึ้นกรมตำรวจและสถานีตำรวจทั้งเมืองก็จะรู้ในไม่ช้าและคนสุดท้ายที่สามารถถอนตัวได้นั่นก็คือม่อหลงเองซึ่งเป็นเรื่องที่อันตรายที่สุดสำหรับตำแหน่งพลซุ่มยิงเช่นกัน
เป็นเวลาหกโมงเย็นทุกคนก็ได้เริ่มการโจมตีอย่างเป็นทางการซึ่งการดำเนินการทั้งหมดจะต้องเสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุดเพราะถ้ายิ่งล่าช้ามากเท่าไรก็ยิ่งเสียเปรียบมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งเย่เชียนนั้นไปที่ด้านข้างของศาลาและกวาดสายตามองไปรอบๆ และปีนขึ้นไปอย่างรวดเร็ว
เสียงปืนดังกระหน่ำขึ้นในศาลาทันทีและเห็นได้ชัดว่านักฆ่าขององค์กรดาร์คลิลลี่ที่รวมตัวกันอยู่ต่างก็ผงะและตกตะลึงเพราะพวกเธอไม่เคยคาดคิดเลยว่าจะมีใครกล้ามาโจมตีพวกเธอ ซึ่งแน่นอนว่ามันต้องมีคนทรยศพวกเธอเพราะไม่เช่นนั้นอีกฝ่ายก็ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าพวกเธอนัดประชุมกันที่ไหน แต่ถึงยังไงพวกเธอก็เป็นถึงองค์กรนักฆ่าระดับแนวหน้าของโลกพวกเธอจึงเปิดฉากการตอบโต้กลับทันทีโดยไม่ลังเลใดๆ
เย่เชียนก็ใช้มืองัดกระเบื้องสีแดงที่ด้านบนของศาลาออกมาเพื่อส่องดูสถานการณ์ภายในและสายตาของเขาก็จับจ้องไปที่ผู้หญิงที่สวมหน้ากากมรณะอยู่ซึ่งเธอน่าจะเป็นผู้นำขององค์กรดาร์คลิลลี่ผู้ลึกลับคนนั้น
.
.
.
.
.
.
.
.