ปฏิญญาค่าแค้น – ตอนที่ 35 ร่วมห้องเดียวกัน

ตอนที่ 35 ร่วมห้องเดียวกัน

เมื่อหลินหลันเดินไปดูอาการ เยี่ยซินเอ๋อร์กำลังนอนคว่ำพาดอยู่บนขอบรถและอาเจียนน้ำสีเหลืองออกมา ฟังจากเสียงดูแล้วคงทรมานอยู่ไม่ใช่น้อย โดยแม่ติงคอยลูบแผ่นหลังให้นางเพื่อช่วยให้หายใจหายคอสะดวกขึ้น พลางเอ่ยด้วยความเป็นห่วงอย่างยิ่ง  นี่เพิ่งวันแรกแท้ๆ ก็อาเจียนจนเป็นสภาพเช่นนี้ แล้วจะไปต่อไหวได้อย่างไร… 

สองสาวรับใช้ที่ยืนอยู่ด้านข้างก็กำลังขมวดคิ้วด้วยความเป็นห่วงและมีสีหน้าเป็นกังวลอย่างมาก

แม่โจวชี้ให้คนไปหยิบขิงหั่นแว่นมาให้เยี่ยซินเอ๋อร์อมเอาไว้ในปาก แต่เมื่อเยี่ยซินเออร์ได้กลิ่นของขิงสดกลับอาเจียนออกมาหนักขึ้นกว่าเดิม

 วิธีนี้ไม่ได้ผล…  แม่ติงร้อนรนใจ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแย่แทนเสี่ยวเจี่ยะ

หลินหลันซึ่งเห็นกลุ่มคนกำลังรายล้อมเยี่ยซินเอ๋อร์เพื่อคิดหาวิธีการช่วยเหลือ ตนจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากออกไป  ทุกคนถอยออกไปก่อนเถอะ! เสี่ยวเจี่ยะรองจะได้มีอากาศถ่ายเท 

กลุ่มคนพากันหันมามองยังหลินหลัน ทว่ากลับไม่มีใครขยับเขยื้อน

หลินหลันขมวดคิ้วขึ้น  การที่พวกเจ้าล้อมนางไว้เช่นนี้ นางจึงไม่มีอากาศสดชื่นให้ได้สูดหายใจเข้าไป มีแต่จะยิ่งรู้สึกแย่ขึ้นไปเรื่อยๆ 

แม่โจวรีบร้อนกล่าวขึ้น  ทุกคนถอยออกไปหน่อย เส้าฟูเหรินเคยเรียนรู้วิธีการรักษาอาการป่วยมาก่อน ทำตามที่เส้าฟูเหรินกล่าว  ขณะเอ่ย ก็ชักนำให้พากันถอยห่างออกไป

หลินหลันเดินตรงเข้าไป มองลงบนพื้นที่เต็มไปด้วยเศษซากของอาเจียน ในใจก็รับรู้ได้ทันที ก่อนจะกล่าวออกไปอย่างใจเย็น  ใครก็ได้ช่วยไปนำน้ำสะอาดมาให้หนึ่งชาม 

ประเดี๋ยวเดียวก็มีสาวรับใช้เอ่ยขึ้นขอเป็นอาสาสมัครในทันที  เดี๋ยวข้าน้อยไปเอามาให้เจ้าค่ะ 

 แม่ติง ท่านช่วยถอยออกไปก่อน  หลินหลันขึ้นไปบนรถม้าแล้วเอ่ยเรียกให้แม่ติงหลีกไป

แม่ติงส่งเยี่ยซินเอ๋อร์ซึ่งอาเจียนจนอยู่ในสภาพอ่อนปวกเปียกไร้เรี่ยวแรงให้แก่หลินหลันด้วยท่าทีเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

หลินหลันใช้หน้าตักของตนเองเป็นหมอนหนุนให้เยี่ยซินเอ๋อร์ และใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางแนบชิดกันกดลงไปที่จุดชีพจรศูนย์รวมเส้นประสาท พลางเอ่ยถามแม่ติง  เสี่ยวเจี่ยะรองก่อนหน้านี้ก็คงเคยนั่งรถม้าใช่ไหม 

 ใช่น่ะสิ! เมื่อก่อนก็เมารถ แต่ทว่าไม่ได้สาหัสสากรรณเฉกเช่นครั้งนี้  แม่ติงเอ่ยตอบ

 คราวหลังก่อนขึ้นรถ ให้เสี่ยวเจี่ยะกินของว่างรองท้องเสียหน่อย แต่ต้องไม่ใช่พวกอาหารประเภทหวานโดยเด็ดขาด 

เด็กสาวรับใช้คนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจ  เส้าฟูเหรินรู้ได้อย่างไรเจ้าคะว่าเสี่ยวเจี่ยะกินของหวานเข้าไป 

หลินหลันอมยิ้ม  มองดูเศษซากที่อาเจียนลงไปบนพื้นก็รู้แล้ว ซุปถั่วเขียวแม้ว่าจะสามารถช่วยคลายร้อน แต่ทว่ามันหวานเกินไป สรรพคุณที่ได้จึงตรงกันข้ามกับที่หวังไว้ อีกอย่างเมื่ออยู่บนรถก็ไม่ควรอ่านหนังสือด้วย 

สาวรับใช้ผู้นั้นตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง โดยมองไปที่หลินหลันด้วยความเลื่อมใสศรัทธาและเอ่ยขึ้นภายในใจ เส้าฟูเหรินท่านนี้ช่างเก่งกาจจริงๆ ไม่คาดคิดเลยว่าจะรู้ไปทั้งหมดเช่นนี้

บีบนวดกันไปได้ซักพักเยี่ยซินเอ๋อร์ก็ค่อยๆ อาการดีขึ้น ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง  พี่สะใภ้ ทำให้ท่านลำบากไปด้วยจนได้ 

หลินหลันยิ้มออกไปอย่างไม่ใส่ใจเท่าไหร่นัก  เรื่องแค่นี้สบายมาก คราวหลังหากนั่งรถแล้วรู้สึกมึนงง ก็บีบนวดบริเวณตำแหน่งที่มีเส้นประสาทพวกนี้ จะช่วยคลายอาการมึนงงได้ ทว่าวิธีที่ดีสุดก็คือหลับตาพักผ่อน ถ้าสามารถหลับได้ก็หลับไปเลยสักครู่หนึ่ง 

เด็กสาวรับใช้นำน้ำมาให้ในที่สุด หลินหลันให้เยี่ยซินเอ๋อร์ดื่มน้ำเข้าไป  เจ้าอดทนอีกสักหน่อย ข้างหน้าอีกไม่ไกลนักก็จะถึงหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งแล้ว เปี่ยวเกอของเจ้าบอกว่าค่ำคืนนี้พวกเราจะพักค้างแรมกันที่นั่น 

สีหน้าของเย๋ซินเอ๋อร์ราวกับผู้ป่วย ที่กำลังปั้นหน้าดั่งสาวงามผู้น่าสงสารซึ่งตกหลุมรักผู้ชายคนเดียวกัน และกล่าวขอโทษขึ้น  โทษข้าเองที่ไม่ได้เรื่อง จนทำให้การเดินทางของเปี่ยวเกอต้องล่าช้าลง 

 จะโทษเจ้าได้อย่างไรกันเล่า ไม่มีใครอยากเจ็บป่วยขึ้นมาหรอก  หลินหลันฉีกยิ้มให้ ก่อนจะกลับไปยังรถม้าของตนพร้อมด้วยหยินหลิ่ว

 เส้าฟูเหรินช่างมีความสามารถเสียจริง  เด็กสาวรับใช้ของเยี่ยซินเอ๋อร์เผยความรู้สึกออกมาด้วยเสียงบางเบา

เยี่ยซินเอ๋อร์ขมวดคิ้วขึ้นอย่างไม่รู้ตัว และมองไปที่แผ่นหลังของหลินหลัน นัยน์ตาลึกล้ำเย็นชายากเกินกว่าจะเข้าใจ

หลี่หมิงอวินซึ่งรออยู่ข้างรถม้าเมื่อเห็นนางเดินกลับมาจึงเอ่ยถามขึ้น  เปี่ยวเหม่ยดีขึ้นแล้วหรือ 

 ตอนนี้คงไม่น่าจะเป็นอะไรแล้ว  หลินหลันมองดูเขาซึ่งดูเป็นกังวลคล้ายมีอะไรบ้างอย่างซ่อนอยู่ในใจ ไม่รู้เช่นกันว่าที่เขากำลังเป็นกังวลอยู่นั้นคือสภาพร่างกายของเยี่ยซินเอ๋อร์ หรือเกรงว่าการที่เยี่ยซินเอ๋อร์เมารถระหว่างทางจะทำให้การเดินทางล่าช้าอย่างเลี่ยงไม่ได้ นางจึงกล่าวขึ้น  เมื่อถึงหมู่บ้านเล็กๆ ข้างหน้า ข้าจะลองไปดูที่ร้านยาแล้วหาซื้อยาคลายความเครียดมาไว้ 

หลี่หมิงอวินพยักหน้า  รบกวนเจ้าด้วย 

เมื่อมาถึงเมืองขนาดย่อม โดยมีข้ารับใช้ได้จัดการเรื่องห้องพักเตรียมไว้ก่อนหน้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทุกคนปักหลักเข้าที่พักของตนเอง หลังมื้ออาหารเย็นผ่านพ้นไป หลินหลันจึงมุ่งไปหาร้านขายยา ขณะที่หลี่หมิงอวินเนื่องด้วยต้องคอยจัดการอยู่ทางด้านนี้จึงไม่สะดวกติดตามไปด้วย เลยสั่งการให้เหวินซานติดตามหลินหลันไปแทน

วัตถุดิบยาในการรักษาอาการคลายเครียดนั้นไม่ใช่สิ่งที่หาซื้อได้ยากนัก โดยปกติแล้วมีขายตามร้านขายยาทั่วไป หลินหลันจัดซื้อมาเยอะพอตัว ด้วยคาดว่าน่าจะมีคนต้องการมากขึ้นเมื่ออยู่บนเรือ และยังซื้อเปลือกส้มเขียวหวานและของกินรสเปรี้ยว วัตถุดิบยาไม่ได้มีน้ำหนักขนาดที่ว่าหนักมากมาย แต่เมื่อรวมๆ กันแล้วก็ไม่ใช่น้อยแบบที่ขนาดฝามือใหญ่ทั้งสองข้างของเหวินซานยังไม่สามารถถือมันได้ทั้งหมด จึงต้องแขวนห้อยไว้ที่ลำคอของเขาจนเต็มไปหมด ราวกับต้นสนขนาดใหญ่ที่มีชีวิตขึ้นมา ทำให้ดูตลกเอาเสียมากๆ หยินหลิ่วและหลินหลันจึงอดไม่ได้ที่จะแอบหัวเราะคิกคักขึ้นมา

ทันทีที่กลับมาถึงที่พัก หลินหลันก็รีบพุ่งตรงเข้าไปยังห้องของตนเอง ทิ้งตัวลงบนเตียง นอนคว่ำราบอยู่บนผ้าห่ม และตามด้วยเสียงคร่ำครวญ  เหนื่อยชะมัด… 

อยากยืดเส้นยืดสายเสียเป็นยิ่งนัก จะเรียกอวี้หลงให้มาทุบๆ นวดๆ หลังให้ตนเอง ทว่าอวี้หลงก็ยังรักษาระยะห่างกับนางอยู่ตลอด จึงรู้สึกเกรงใจที่จะเอ่ยปากเรียก ไม่เหมือนกับหยินหลิ่วซึ่งสนิทสนมใกล้ชิดกับนาง แต่หยินหลิ่วก็เหนื่อยมากแล้ว จึงยิ่งเกรงใจที่จะเอ่ยเรียกมากขึ้นไปอีก ระหว่างกำลังครุ่นคิดสับสอยู่นั้นก็มีเสียงทุ้มใสเอ่ยถามขึ้น  ต้องการให้ข้าช่วยนวดไหม 

หลินหลันตกใจดีดตัวลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว กลับมองเห็นหลี่หมิงอวินนั่งอยู่ที่เก้าอี้ม้านั่งตัวยาวแบบมีพนักพิงและเบาะนุ่มซึ่งกำลังจ้องมองนางพร้อมด้วยรอยยิ้ม ดวงตาของเขาเมื่ออยู่ภายใต้แสงเทียนสีนวลเข้มยิ่งแสดงให้เห็นถึงความอบอุ่นที่ชัดเจน

 เจ้า…เจ้ามาอยู่ในนี้ได้อย่างไร  หลินหลันงุนงงอยู่เล็กน้อย และกวาดสายต้องมองไปรอบๆ หรือว่าตนเองเข้าห้องผิดเช่นนั้นหรือ ด้วยการตกแต่งของห้องพักเหล่านี้ซึ่งดูไม่แตกต่างกันมากนัก

 นี่เป็นห้องของข้า จึงคงไม่แปลกหากข้าจะอยู่ที่นี่  หลี่หมิงอวินปิดหนังสือที่เขากำลังอ่านอยู่เมื่อครู่ มือข้างหนึ่งวางพาดบนพนักวางแขน ขณะที่มืออีกข้างวางไว้บนหัวเข่างอในท่านั่งไขว้ขา ลำตัวเอนไปด้านหลังเล็กน้อย ท่าทางของเขาดูผ่อนคลายสบายๆ แต่กลับไม่ทิ้งความสง่างามเลยแม้แต่น้อย พลางจ้องมองมาที่นางด้วยรอยยิ้ม

เอ่อ…หลินหลันรู้สึกถึงความอับอาย ที่แท้เป็นนางเองที่เข้าผิดห้อง

หลินหลันภายในใจรู้สึกอับอายเป็นอย่างยิ่ง แต่กลับไม่แสดงออกบนใบหน้าขึ้นมาเลยแม้แต่น้อยโดยเลือกที่จะก้มหน้าก้มตาพึมพำ  บ้าจริง ห้องเหล่านี้ดูเหมือนกันไปหมด  ขณะพูดก็รีบร้อนเดินไปยังทิศทางซึ่งมุ่งออกไปด้านนอก

 เจ้าจะไปไหนหรือ  หลี่หมิงอวินเรียกนางเอาไว้

หลินหลันกล่าวทั้งท่าทีตกตะลึง  ข้าก็จะกลับไปห้องของข้าไง! 

หลี่หมิงอวินค่อยๆ เผยรอยยิ้ม แล้วลุกขึ้นยืนก้าวเดินตรงเข้าไปหยุดที่เบื้องหน้าหลินหลัน และกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ  เจ้าควรรู้ไว้ได้แล้วว่านับแต่ออกมาจากจวนเยี่ย เจ้าและข้าในสายตาของผู้อื่นเมื่ออยู่ข้างนอกก็คือความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยาอย่างเป็นทางการ ดังนั้นเจ้าต้องให้ความร่วมมือกับข้าตั้งแต่ค่ำคืนนี้เป็นต้นไป 

หลินหลันยังคงไม่ค่อยเข้าใจนัก  ทว่ากว่าจะถึงเมืองหลวงยังอีกตั้งใกล้แหนะ! 

นางรู้ดีว่าการร่วมมือกับเขาในฐานะคู่สามีภรรยาปลอมๆ จำเป็นต้องอาศัยอยู่ร่วมห้องเดียวกัน แต่ทว่า นี่ยังไปไม่ถึงเมืองหลวงเสียหน่อย

 แสดงละครทั้งทีก็จำเป็นต้องแสดงให้แนบเนียนถึงจะใช้ได้ ตอนนี้นอกเสียจากแม่โจวที่รับรู้เรื่องราวที่แท้จริง หยินหลิ่วและอวี้หลงต่างก็ล้วนไม่ได้รับรู้ด้วย ข้าจำเป็นเตือนเจ้าไว้ว่าบุคคลที่เมืองหลวงท่านนั้นฉลาดหลักแหลมเป็นอย่างยิ่ง หากถูกนางมองออกแม้เพียงนิดเดียว ละครของพวกเราก็ไม่ต้องได้แสดงกันอีกแล้ว  หลี่หมิงอวินกล่าวเตือนอย่างเคร่งขรึมจริงจัง

ไม่ใช่เลยง่ายดายเลยหากต้องปิดบังเรื่องราวต่อผู้ซึ่งคอยให้การปรนนิบัติใกล้ชิดอย่างหยินหลิ่วและอวี้หลง หลินหลันมองไปที่เตียงนั่นแล้วก็นึกขึ้นมาได้ทันทีว่านางได้มองข้ามปัญหาที่ร้ายแรงอย่างมากไปเสียแล้ว การนอนหลับโดยร่วมเตียงเดียวกัน ใครจะรับประกันได้ว่าชายผู้นี้จะกลายร่างเป็นสัตว์ป่าขึ้นเมื่อไหร่? เช่นนั้นไม่ใช่ว่านางก็จะมีแต่เสียเปรียบกับเสียเปรียบหรอกหรือ

หลี่หมิงอวินราวกับว่ามองออกความรู้สึกนึกคิดในใจของนาง  เจ้าวางใจได้ ข้าตั้งใจให้เสี่ยวเอ้อเพิ่มเตียงม้านั่งโซฟาไว้ในห้อง วันข้างหน้าเอาแบบนี้แล้วกัน เจ้านอนบนเตียง ส่วนข้านอนบนม้านั่งโซฟาตัวยาว ช่วงเวลากลางคืนข้าก็ได้สั่งการไว้แล้วว่า ไม่ชอบให้มีคนนอกอยู่ในห้อง และไม่ต้องการให้พวกนางคอยปรนนิบัติใดๆ ทั้งสิ้น อีกอย่าง…  หลี่หมิงอวินหยุดชะงัก และจ้องมองนางตั้งแต่บนจรดล่าง เผยนัยน์ตาซึ่งดูเหมือนรังเกียจและไม่อยากเข้าใกล้ ก่อนจะเอ่ยขึ้น  ข้า ไม่ได้รู้สึกสนใจในตัวเจ้า 

หลินหลันรู้สึกอับอายไปชั่วขณะ ผู้ชายคนหนึ่งบอกว่าเขาไม่สนใจเจ้า นี่มันคือความอัปยศอดสูอันยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับลูกผู้หญิง เจ้างั่ง เจ้าไม่ได้รู้สึกสนใจในตัวข้า ข้าต่างหากล่ะที่ไม่ได้สนใจในตัวเจ้า! ใครจะไปรู้ว่าเจ้ามีดีแค่ภายนอกแต่ความจริงแล้วไร้ประโยชน์ใช้การไม่ได้

หลินหลันจ้องมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาแห่งการดูถูกเหยียดหยามที่หนักยิ่งกว่า จากนั้นพยักหน้าเล็กน้อยและรอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้น  เข้าใจแล้ว ยังดีที่เราเป็นแค่สามีภรรยาปลอมๆ ส่วนที่ว่าอะไรนั่นของเจ้า…ใช้การไม่ได้ ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับข้า แต่ทว่านะ! ในเมื่อมีปัญหาก็ควรรีบรักษาโดยเร็วที่สุด อย่าได้เขินอายที่จะไปพบหมอ มิเช่นนั้นเกรงว่าภรรยาในอนาคตของเจ้าจะได้น้ำตานองหน้าทั้งวันเพราะการไม่เอาใจใส่นี้ เช่นนี้ล่ะก็จะถือเป็นการผิดศีลธรรมอย่างมากนะ 

หลี่หมิงอวินที่พูดออกไปเช่นนี้เดิมทีก็เพื่อให้นางสบายใจ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าผู้หญิงคนนี้กลับสงสัยไปว่าเขาใช้การไม่ได้ ทันใดนั้นใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องแบบนี้กลับยังเถียงออกไปไม่ได้ ในใจจึงอัดแน่นไปด้วยความอึดอัดขัดข้อง

 พอเถอะ เจ้าเองก็เหนื่อยแล้ว รีบพักผ่อนเถิด  หลี่หมิงอวินชักสีหน้าเย็นชาแล้วหันกลับไปอ่านหนังสือของเขาต่อดั่งเดิม

หลินหลันกลอกตามองแผ่นหลังของเขา ใครใช้ให้เจ้าทำให้ข้าอับอายก่อนกันเล่า

หลินหลันหลังจากไปล้างหน้าล้างตาบ้วนปากเรียบร้อย จึงขึ้นไปบนเตียงนอนโดยปิดผ้าม่านลงแล้วจึงถอดเสื้อคลุมออกตามด้วยทิ้งหัวลงหมอนนอนหลับ ทว่าพลิกไปพลิกมาก็ยังไม่อาจหลับใหลลงได้ ในเมื่อนอกกระโจมนี่ยังมีผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่หนิ! ความรู้สึกชนิดนี้มันแปลกประหลาดเกินไปแล้ว พอนึกถึงว่าหลังจากนี้อีกหนึ่งพันค่ำคืนจะต้องอยู่ร่วมห้องเดียวกับผู้ชายคนนี้ หลินหลันก็คิดสับสนไปต่างๆ นานา

 เฮ้! เจ้าช่วยพลิกเปิดหนังสือให้มันเบาๆ หน่อย เสียงดังมาถึงข้าแล้ว  หลินหลันพึมพำออกไปหนึ่งประโยคอย่างไม่พอใจ

ด้านนอกเต็มไปด้วยความเงียบงัน ไม่มีเสียงพลิกเปิดหนังสือดังขึ้นมาอีก หลินหลันรู้สึกประหลาดใจจึงมองผ่านผ้าม่านมุ้งตาข่าย มองเห็นเขาอย่างเลือนรางภายใต้อิริยาบถที่เชื่องช้าลง พลิกเปิดหนังสือแต่ละหน้าอย่างระมัดระวัง ด้วยสภาวะจิตใจจดจ่อ บางครั้งก็หยิบปากกาขึ้นมาจดบันทึก ชายหนุ่มผู้นี้ช่างเอาจริงเอาจังเสียจริง หลินหลันค่อยๆ คลายความกังวลใจลงไปอย่างช้าๆ อีกทั้งด้วยความเหนื่อยล้าที่มีไม่นานนักจึงนอนหลับสนิทไป

หลี่หมิงอวินอ่านหนังสือไปเรื่อยจนกระทั่งเสียงตีกลองดังขึ้นสามครั้ง [1] จึงได้ปิดหนังสือลง ขยี้ดวงตาที่รู้สึกเจ็บอย่างเบาๆ และเตรียมตัวเข้านอน ทันใดนั้นก็นึกขึ้นมาได้ว่า ตนเองไม่ได้หอบเอาผ้าห่มติดมาด้วย เพราะเกรงว่าอวี้หลงจะสงสัย เขาจึงจงใจสั่งให้เสี่ยวเอ้อเตรียมผ้าห่มไว้แค่ผืนเดียว แล้วก็นำผ้าห่มวางไว้บนเตียงนั้นเสียก่อน กลับกลายเป็นว่าเมื่อครู่ถูกหลินหลันทำให้โมโหขึ้นมาจนลืมนึกถึงเลยนี้ไปเสียสนิท เวลานี้คนภายใต้ผ้ามุ้งกระโจมนั้นกำลังหายใจเป็นจังหวะอย่างสงบ ซึ่งเท่ากับว่านางเข้าสู่ห้วงนิทราไปเรียบร้อยแล้ว แต่ก็คงไม่ดีเท่าไหร่นักหากเขาจะเปิดม่านออกแล้วเกิดนางรู้สึกตัวตื่นขึ้นมากะทันหัน และคิดไปว่าเขาจะลวนลามนาง เช่นนั้นคงต้องตกเป็นผู้บริสุทธิ์ที่ถูกกล่าวหาอย่างแก้ต่างอะไรไม่ได้อีกแล้ว หลี่หมิงอวินถอนหายใจอย่างเงียบๆ เป็นครั้งแรกที่เผชิญสถานการณ์เยี่ยงนี้ ไร้ซึ่งประสบการณ์ ดูเหมือนว่าค่ำคืนนี้จะต้องหลับใหลไปโดยมีเสื้อผ้าที่ปกคลุมเรือนร่างเอาไว้เท่านั้นเสีย โชคยังดีที่ในตอนนี้เวลากลางคืนอากาศไม่เหน็บหนาวจนเกินไป

——

[1] การตีกลองสามครั้ง เป็นการบ่งบอกเวลาในยุคสมัยโบราณ เคาะสามครั้งเทียบเท่ากับเวลาตีสาม

 

ปฏิญญาค่าแค้น

ปฏิญญาค่าแค้น

Status: Ongoing

คำโปรย

หลินหลัน ทะลุมิติมาเกิดใหม่ในคราบของหญิงสาวชาวบ้านที่แสนลำบากยากจน แต่โชคยังดีที่ความสามารถด้านการแพทย์และประสบการณ์รักษาผู้คนที่สั่งสมมาจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดนั้นติดตัวมาด้วย อีกทั้งครอบครัวในชาติภพนี้ก็ดีกับนางมิใช่น้อย

กระนั้นเคราะห์ร้ายก็ยังคืบคลานเข้ามา เมื่อพี่ชายผู้เป็นที่พึ่งพาเดียวของนางนั้นใสซื่อจนไม่อาจตามทันเล่ห์กลของพี่สะใภ้ที่แสนโลภมาก สุดท้ายแล้วหลินหลันก็ถูกนางบีบบังคับให้ต้องออกเรือนแต่งงานไปเป็นนางบำเรอจนได้

ด้วยเหตุนี้นางจึงต้องดึงตัว หลี่ซิ่วฉาย ชายหนุ่มรูปงามผู้มีเบื้องหลังเป็นปริศนาในหมู่บ้านเข้ามาช่วยแก้สถานการณ์ ทั้งสองได้ตกลงทำสัญญาขึ้นมาหนึ่งฉบับ เขาช่วยนางให้หลุดพ้นจากการคลุมถุงชน ส่วนนางจะช่วยเขาแก้แค้นและทวงทุกสิ่งอย่างที่ถูกพรากไปกับคืนมาภายในระยะเวลาสามปี ทว่าแผนการช่วยเหลือเขาให้บรรลุเป้าหมายนั้นกลับไม่ง่ายดายอย่างที่คิดนี่สิ…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท