ไม่ ไม่ได้พูดอะไรนี่ หลี่เสียวเหม่ยนึกว่าเขาได้ยิน ปฏิเสธเสียงอึก ๆ อัก ๆ
ไม่ได้พูดอะไรเห็นคุยกันตั้งนาน กู้หลานอันส่งสายตาตักเตือนไปให้เขา หลี่เสียวเหม่ยเหมือนอยากจะร้องไห้ เจาเยี่ยทนดูไม่ได้ก็เลยบอกกู้หลานอันว่า เมื่อกี้เสียวเหม่ยถามฉันว่าหิวหรือยัง ทำไมอาหารยังไม่ขึ้นโต๊ะอีก
นายหิวแล้วเหรอ? เจาเยี่ยทำท่าทางอารมณ์ดี กู้หลานอันยิ้มเหมือนดอกไม้แรกแย้มแล้วหันไปถามเจาเยี่ย เมื่อเห็นเจาเยี่ยเขาก็รีบลุกขึ้นยืน แล้วพูดว่า งั้นฉันจะรีบไปเร่งเขา พูดจบก็รีบก้าวเท้าออกไปเลย
พี่เจา ขอบคุณมากครับ รู้ว่าเจาเยี่ยช่วยเขาจากการถูกต้อน หลี่เสียวเหม่ยรู้สึกซาบซึ้ง
ไม่ต้องขอบคุณหรอก ที่ฉันทำอย่างนี้ก็เพื่อที่พวกเราจะได้รีบกลับ เจาเยี่ยมองไปยังทางที่กู้หลานอันหายไปแล้วพูด
ใช่ ๆๆ พวกเราควรรีบกลับ หลี่เสียวเหม่ยไม่วางใจ ในใจยังรู้สึกหวาดกลัวแล้วพูดว่า กู้หลานอันคนนี้เป็นคนที่น่ากลัวมากจริง ๆ คนเราไม่ควรมองคนที่รูปลักษณ์ภายนอกหน้าตาของเขาราวกับเทพบุตรขนาดนั้น
น่ากลัวจริงเหรอ? เจาเยี่ยพินิจพิเคราะห์คำพูดของเขา แสยะปากยิ้มไม่หยุดแล้วพูดว่า ฉันรู้สึกว่าก็ดีมากนะ
แบบนี้เนี่ยนะดีมาก? หลี่เสียวเหม่ยส่ายหัวไม่ยอมรับ กำลังเตรียมตัวจะแก้ไขเรื่องราวสลับซับซ้อนที่เห็นผิดเป็นถูกของซุปเปอร์สตาร์ของตัวเอง ก็เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของซุปเปอร์สตาร์ ประหลาดใจจนอ้าปากค้าง พี่เจา พี่ยิ้มหรือนี่ แถมยังยิ้มอย่างมีความสุขขนาดนั้นด้วย
ทำไมเหรอ? เจาเยี่ยหุบรอยยิ้มแล้วถาม แปลกมากเลยเหรอ?
ไม่แปลกหรอกครับ ก็แค่เห็นพี่ยิ้มเป็นครั้งแรก เลยตื่นเต้นมาก หลี่เสียวเหม่ยยิ้มเขินหน้าแดงแล้วพูด
ไม่จำเป็นต้องตื่นเต้นหรอก เจาเยี่ยพูดอย่างเมินเฉย ขยับน้ำส้มที่อยู่ตรงหน้าไปมา
ทำไมไม่จำเป็นล่ะครับ จำเป็นมากเลย พี่รู้ไหม การได้เห็นพี่ยิ้มเป็นสิ่งที่ผมตั้งหน้าตั้งตาจะทำตั้งแต่ผมได้เป็นผู้ช่วยผู้จัดการของพี่เลยนะ หลี่เสียวเหม่ยพูดอย่างจริงใจ เจาเยี่ยหัวเราะเสียงต่ำ ๆ ในลำคอ ฟังหลี่เสียวเหม่ยพูดอีกว่า พี่เจา ผมไม่กลัวกู้หลานอันแล้ว
ทำไมจู่ ๆ ก็ไม่กลัวแล้วล่ะ? เจาเยี่ยเงยหน้ามองเขาแล้วถาม
เพราะว่าเขาทำให้พี่ยิ้ม หลี่เสียวเหม่ยพูดไปตามจริง เจาเยี่ยได้ยินแล้วสีหน้าหนักอึ้ง จู่ ๆ ก็รู้สึกโมโห พูดด้วยเสียงเย็นเยือกว่า ฉันไม่ได้ยิ้มเพราะเขา หลี่เสียวเหม่ยนึกว่าเขาโกรธเพราะตัวเอง แม้จะไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่เขาก็รีบก้มหน้าลงเพื่อทบทวนตัวเองว่าเขาเคยไปทำอะไรไว้ให้ใครขุ่นเคือง ทำไมตัวเองถึงได้ยั่วคนให้โมโหอยู่ตลอดโดยไม่มีสาเหตุแบบนี้
ไม่นานกู้หลานอันก็กลับมา บริกรถืออาหารตามหลังเขามาด้วย หลังจากวางลงเขาก็เอาอาหารทั้งหมดขยับไปไว้ตรงหน้าเจาเยี่ย แล้วพูดกับเขาว่า นายหิวแล้วรีบกินเถอะ ฉันจะไปตักข้าวให้นาย อารมณ์ดีมีความสุขฮัมเพลงอยู่ในลำคอ << ฉันกับคนที่ฉันรักกินไก่ทอดอยู่ในสวนสาธารณะ >> แล้วเดินจากไป
เจาเยี่ยมองกับข้าวในจาน ขมวดหัวคิ้วอยู่สักครู่ เลื่อนจานไปทางเสียวเหม่ยแล้วพูดว่า ไปตักข้าวแล้วกินเถอะ
ได้ครับ
ข้าวมื้อนี้ไม่ถือว่าเป็นการรับประทานอย่างเงียบสงบ มีกู้หลานอันที่พูดไม่หยุดอยู่ตรงนั้นคนเดียว เนื้อหาที่พูดเหมือนกันหมดว่า เจาเยี่ย กินเนื้อบ้างสิ อืม ไม่ควรกินแค่เนื้อ ต้องกินผักใบเขียวด้วย ปากพูดอย่างเดียวไม่พอ ยังเติมกับข้าวในชามของเจาเยี่ยเรื่อย ๆ กระทั่งเจาเยี่ยตักข้าวในชามไม่ถึงจึงมองเขาด้วยสายตารำคาญแวบหนึ่ง เขาถึงได้หยุด ตัวเองก็ไม่กิน แต่มือเท้าคางมองดูเจาเยี่ยกิน
หลี่เสียวเหม่ยแอบชำเลืองสายตาไปทางเจาเยี่ยที่หน้าไร้ซึ่งอารมณ์กำลังก้มหน้าก้มตารับประทานอาหาร กับกู้หลานอันที่สายตาจับจ้องอยู่แต่หน้าเจาเยี่ยกำลังยิ้มอย่างโง่ ๆ อยู่ สักพักก็รู้สึกหนาวสั่น พี่เจาช่างน่าสงสารเหลือเกิน
กินข้าวในชามไปได้เล็กน้อยเจาเยี่ยก็วางตะเกียบลง กู้หลานอันถามอย่างงุนงงว่า ทำไมไม่กินแล้ว? ไม่ชอบเหรอ? ไม่น่าใช่ เขาจำได้ว่าเจาเยี่ยชอบกินกับข้าวพวกนี้มากในชาติที่แล้ว
จะกินข้าวสักมื้อแต่ถูกคนจ้องอยู่ตลอดเวลาเป็นนายกินลงไหม? เจาเยี่ยเหล่ตามองเขาแล้วถอนมันกลับ
กินลงสิ ถ้าเกิดถูกนายจ้องอยู่ตลอดตอนกินข้าวฉันคงมีความสุขจนลอยละล่อง แต่เกรงว่าถ้าพูดความในใจออกไปอาจจะถูกกระทืบตายอยู่ตรงนี้ได้ กู้หลานอันเลยเปลี่ยนคำพูดว่า งั้นฉันไม่จ้องนายก็ได้ นายรีบกินเร็วสิ พูดแล้วหันสายตามา ลงมือกินอาหารของตัวเองอย่างรวดเร็วแต่คงไว้ซึ่งความสง่างามอยู่ บอกว่าจะไม่จ้องเจาเยี่ยแล้ว แต่สายตาก็ยังคงแอบเหลือบมองอยู่เป็นครั้งคราว เจาเยี่ยเอามือจับหน้าผากอย่างระอา แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร หยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วกินข้าวต่อ
เจาเยี่ยวางตะเกียบลงก่อน ตามมาด้วยกู้หลานอัน และหลี่เสียวเหม่ยเป็นคนสุดท้าย มองหลี่เสียวเหม่ยวางชามและตะเกียบลง เจาเยี่ยก็กอดอก เอนตัวลงไปบนม้านั่งมองฝูงชนเบาบางบนถนนแล้วพูดว่า กู้หลานอัน ครั้งนี้ก็ถือว่าแล้วกันไป คราวหลังอย่าได้เข้าใกล้ฉันอีกและอย่าได้ค้นหาข้อมูลของฉันอีก มิฉะนั้น ฉันไม่ไว้หน้านายแน่นาย
แล้วที่ผ่านมานายเคยไว้หน้าเขาด้วยเหรอ? สายเผือกอย่างหลี่เสียวเหม่ยที่นั่งฟังอยู่ผุดคำถามขึ้นมาในใจ
ทำไมล่ะ? นายไม่ชอบให้ฉันเข้าใกล้เหรอ? กู้หลานอันทำหน้าไร้เดียงสา แต่เจาเยี่ยมีภูมิคุ้นกันอย่างสมบูรณ์ต่อเรื่องนี้ เขาถอนหายใจแล้วส่ายหัวและไม่อยากทำตัวให้ดูน่าเบื่อ รวบรวมสภาพจิตใจแล้วมองเจาเยี่ยด้วยใบหน้าเจ็บปวดสาหัส แล้วเปลี่ยนคำถามใหม่ว่า ฉันไม่เคยค้นหาข้อมูลของนาย นายเข้าใจอะไรผิดรึเปล่า?
เข้าใจผิด? กู้หลานอัน จนถึงตอนนี้นายยังไม่ยอมรับว่านายเคยค้นหาข้อมูลเรื่องของฉันอีกเหรอ? เจาเยี่ยพูดด้วยเสียงราบเรียบ แต่ให้คนฟังรับรู้ได้ถึงความรู้สึกบีบรัด
ฉันไม่เคยค้นหาข้อมูลของนายนะ แล้วจะยอมรับได้ยังไง กู้หลานอันรู้สึกว่าตัวเองถูกใส่ร้ายป้ายสียิ่งกว่าโต้วเอ๋อ [1] ซะอีก
นายไม่เคยค้นหาข้อมูลฉัน ถ้านายไม่เคยค้นหาข้อมูลฉันมาก่อน ทำไมครั้งก่อนต้องเจาะจงวางเหล้าขวดนั้นบนโต๊ะของฉัน อย่าพูดว่านายชอบนะ ครั้งก่อนนายพูดเองก็เหมือนนายตบหน้าตัวเองไปทีแล้ว; ถ้านายไม่ได้ค้นหาข้อมูลฉันจริงทำไมพาฉันมากินข้าวที่ร้านธรรมดา ๆ ร้านนี้ได้อย่างพอเหมาะพอดี? ถ้านายไม่ได้ค้นหาข้อมูลฉันจริงทำไมถึงรู้ว่าฉันจะต้องดื่มน้ำส้มก่อนอาหารเป็นประจำ; จะรู้ได้ยังไงว่าฉันชอบกินกับข้าวอะไร ยังรู้รสนิยมความชอบในเรื่องอาหารของฉันอีก (ยกตัวอย่างเช่นกินเต้าหู้หม่าล่าแต่ไม่เอาความความชา) จำทุกอย่างได้หมดอย่างชัดเจน
เจาเยี่ยพูดได้อย่างมีเหตุผลชัดเจนตามลำดับ ไม่มีช่องว่างให้กู้หลานอันได้โต้แย้งเลย ในใจรู้สึกเสียใจภายหลังและตำหนิตัวเองที่ห่วงใยใส่ใจทุกรายละเอียดจนวุ่นวายไปหมด ก้มหน้าแบกรับความผิดอย่างตรงไปตรงมา เจาเยี่ย ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจค้นหาข้อมูลของนาย ฉันแค่ชอบนายมาก ดังนั้นฉันเลยปฏิบัติกับนายด้วยความใส่ใจ
ชอบฉัน? กู้หลานอันนายหยุดพูดเรื่องตลกได้ไหม? เจาเยี่ยสายตามองต่ำลง น้ำเสียงเย็นยะเยือก ถ้านายชอบฉันจริง งั้นนายก็น่าจะรู้ดี เจาเยี่ยคนนี้ ไม่ชอบให้คนมาค้นหาข้อมูลที่สุด
ฉัน… ฉันรู้แน่นอนอยู่แล้ว ดังนั้นช่วงเวลาที่คิดถึงนายสองสามวันมานี้ก็ไม่ได้ให้นักสืบเอกชนไปถ่ายรูปนายมาสักหน่อย กู้หลานอันโต้แย้งอยู่ในใจ
เห็นกู้หลานอันพูดไม่ออก เลยทำให้ใจของเจาเยี่ยที่จู่ ๆ เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปเลย
เจาเยี่ย กู้หลานอันรีบลุกขึ้นแล้วตามออกไป ยังไม่ทันได้พูดอะไร บริกรก็เอาบิลมายืนขวางไว้ คุณคะ รบกวนชำระเงินด้วยนะคะ
รอฉันออกไปพูดกับพวกเขาสองสามคำก่อนเดี๋ยวฉันกลับมา กู้หลานอันพูดจบก็จะอ้อมออกไป บริกรกลับล้วงเอาสมุดอีกเล่มหนึ่งออกมาพนันกับเขา ถ้าคุณไม่อยากจ่ายเงินก็ไม่เป็นไร ขอแค่คุณเซ็นชื่อให้ฉันก็พอ เดี๋ยวฉันจะจ่ายแทนคุณเอง
เอ่อ…กู้หลานอันพูดไม่ออก รู้สึกได้ว่าเธอไม่ได้กลัวกู้หลานอันจะหนีหนี้แต่เป็นแฟนคลับของเขา ในใจแห้งเหี่ยวถอนหายใจ กู้หลานอันมองรถของคนรักตัวเองขับออกไปไกลแล้ว จ่ายบิลก่อนแล้วหลังจากนั้นเขาก็เซ็นชื่อให้แฟนคลับของเขา ยื่นให้คนที่ไม่กล้าแม้แต่จะกล้ามองหน้าเขาแล้วถามว่า ผมกับเจาเจาออกประตูพร้อมกัน ทำไมเธอไม่ไปขอลายเซ็นเขา แล้วเอาแค่ของฉันล่ะ? ตอนเขาเข้าร้านสายตาของเธอดูจะชอบเขามากกว่านะ? หรือว่าเธอมีลายเซ็นของเขาแล้ว?
คำอธิบายเพิ่มเติม
โต้วเอ๋อ [1] ละครโศกนาฎกรรม โต้วเอ๋อมีชีวิตที่แสนรันทด ถูกอันธพาลกลั่นแกล้ง ถูกใส่ร้ายว่าวางยาพิษส่งผลให้คนอื่นเสียชีวิต ผู้พิพากษาที่รับสินบนก็สั่งลงโทษโต้วเอ๋ออย่างทารุณ