“ฮ่าๆๆ! เยี่ยม!” ยี่ยิ้มกว้างพร้อมยกมือขึ้นมาปรบอย่างยินดี
ดูท่าแล้วเขาคงพึงพอใจกับฝีมือของเย่หยวนมาก
ยี่นั้นยกมือขึ้นมาผายเชิญเย่หยวนลงนั่งตรงข้ามเขา
มันหมายความว่าเวลานี้เย่หยวนมีคุณสมบัติพอที่จะนั่งลงถกเต๋ากับเขาแล้ว
นามของรองมหาปราชญ์นั้นมันได้กลายเป็นความจริงในที่สุด
“ความเก่งกาจของผู้อาวุโสศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลนั้นได้เปิดหูเปิดตาข้าจริงๆ” เย่หยวนนั่งลงพร้อมด้วยรอยยิ้มกว้าง
ตั้งแต่ที่เย่หยวนขึ้นมาถึงมหาพิภพถงเทียนนี้เขาก็ได้ก้าวเดินในเส้นทางการโอสถมาอย่างไม่เคยจะพบเจอคนที่เก่งล้ำกว่าตนอย่างมากมาย
แต่ครั้งนี้เย่หยวนได้รู้ทันทีว่าชายผู้นี้คือคนที่เหนือล้ำอย่างแท้จริง!
โอสถบรรพกาลและมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลนั้นคือสองผู้ยิ่งใหญ่ในเต๋าโอสถ เป็นตัวตนที่ยืนอยู่เหนือล้ำโลก
การคิดอยากก้าวข้ามพวกเขาไปนั้นมันย่อมเป็นเรื่องยากล้ำ!
ต่อให้เย่หยวนจะเข้าใจต้นกำเนิดยอดเต๋าได้และขึ้นมาถึงระดับของโอสถเต๋า แต่มันก็ยังมีความห่างในด้านฝีมืออีกมาก
การประลองทดสอบเมื่อครู่นี้มันได้ทำให้เย่หยวนเข้าใจถึงความแตกต่างนั้นอย่างลึกซึ้ง
ราวกับว่าผู้อยู่ตรงหน้าเขานี้มันคือขุนเขาใหญ่โต
แน่นอนว่าส่วนหนึ่งก็เพราะเย่หยวนยังเป็นแค่เด็กหนุ่มอายุน้อย
เพราะทั้งตัวโอสถบรรพกาลและมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลนั้นต่างศึกษาเต๋าโอสถมายาวนานกว่าที่จะเอาเย่หยวนไปเทียบเคียงได้
ยี่ยกชาขึ้นรินให้เย่หยวนก่อนจะยิ้มบอก “ข้ามองไม่ผิดจริงๆ เจ้าไม่ทำให้ข้าผิดหวังแม้แต่น้อย! เวลาแค่สองพันปีนี้เจ้ากลับพัฒนาตัวเองไปได้ถึงขั้นนี้ เหนือล้ำกว่าที่ข้าจะเคยคาดหมายไปมากมายนัก”
เย่หยวนยิ้มรับ “แท้จริงแล้วตั้งแต่ครั้งแรกที่ข้าผ่าน ‘อย่าถาม’ มาได้ท่านก็น่าจะรู้ว่าวันนี้คงมาถึงใช่หรือไม่? ในการโอสถแล้วข้านั้นมั่นใจว่าไม่เคยเป็นรองใคร ต่อให้อีกฝ่ายจะเป็นโอสถบรรพกาลหรือท่านก็ตาม”
เย่หยวนนั้นมั่นใจในวิชาเต๋าโอสถของตนอย่างมาก
นี่มันคือความมั่นใจที่ก่อขึ้นมาจากชัยชนะนับไม่ถ้วน
ความมั่นใจนี้มันได้ฝังอยู่ในร่างกายของเขาอย่างที่ไม่มีอะไรจะมาทุบทำลายลงได้
แต่เมื่อคำพูดนี้ถูกกล่าวออกมา สีหน้าของเหล่าศิษย์ทั้งหลายมันก็เปลี่ยนสีไป
ศิษย์ลำดับสามจากศิษย์ทั้งสิบเอ็ดกล่าวขึ้นมาแทรก “โอหังนัก! ต่อให้อาจารย์จะตั้งเจ้าเป็นรองมหาปราชญ์แต่ก่อนที่เจ้าจะขึ้นถึงอาณาจักรเจ้าฟ้าดินเข้าก็ไม่มีสิทธิจะมาพูดจาเช่นนี้ต่อหน้าท่านอาจารย์!”
เย่หยวนหันไปมองที่เขาคตนนั้นด้วยรอยยิ้ม “นี่มันมิใช่ความโอหังอวดดีใด มันเป็นการยึดถือให้ค่ากันของยอดคน! เย่ผู้นี้เคารพผู้อาวุโสศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลอย่างมาก ข้าจึงจะล้มเขาลงด้วยความเคารพอย่างถึงที่สุด! สิ่งที่ท่านต้องการนี้มิใช่คนรับใช้ แต่เป็นคู่ปรับ! แล้วมีหรือที่คนรับใช้ผู้ไม่อาจพูดกล่าวตรงๆ ต่อหน้าท่านจะเป็นคู่ปรับใดๆ ได้?”
ศิษย์ลำดับสามคนนั้นยิ้มตอบกลับมา “งี่เง่า! การที่เจ้าก้าวขึ้นมาถึงวันนี้ได้มันก็ล้วนเพราะอาจารย์ท่านเลี้ยงดูเจ้ามามิใช่หรือ? แต่เมื่อเจ้ามาพบเจอท่านอาจารย์จริงๆ เจ้ากลับไม่คิดแสดงความขอบคุณใดๆ ช่างอกตัญญูเสียจริง!”
เย่หยวนที่ได้ยินก็หัวเราะขึ้นมา “พวกเจ้านั้นคงเข้าใจผิดถึงความหมายของการเลี้ยงดู เรื่องที่ว่าหลายปีมานี้ข้าได้ยืมอำนาจของผู้อาวุโสศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลนั้นเป็นเรื่องจริง แต่หากพูดถึงการเลี้ยงดูแล้ว เย่ผู้นี้ไม่คิดว่าตัวเองได้รับการเลี้ยงดูหรือดูแลใดๆ แม้แต่เศษเสี้ยวหนึ่งในหมื่นของพวกเจ้าเลย ใช่หรือไม่?”
เมื่อศิษย์ทั้งหลายได้ยินพวกเขาก็ต้องแสดงท่าทางใบหน้าเหยเกออกมาทันที
เพราะคำพูดนี้มันมีความหมายความว่าพวกเจ้าอ่อนแอจนเกินไป!
พวกเจ้าทั้งหลายนั้นมีคนไหนบ้างที่ไม่ได้รับการดูแลโดยตรงจากมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล?
พวกเจ้านั้นดื่มด่ำกับทรัพยากรบ่มเพาะ ความรู้มากมายที่วิหารนักบวชมี
แต่จนถึงวันนี้มีพวกเจ้าคนใดบ้างที่มีความสามารถพอจะมานั่งต่อหน้าอาจารย์ได้?
นี่คือความแตกต่าง!
“เย่ผู้นี้มีวันนี้ได้เพราะว่าความพยายามของตนเองไม่มีใครเลี้ยงดูข้ามาทั้งสิ้น! หากต้องให้คนอื่นเลี้ยงดูแล้วคนผู้นั้นก็คงไม่อาจจะเป็นยอดคนอย่างแท้จริงได้! พวกเจ้าเองก็เป็นเช่นนั้น ศิษย์ของโอสถบรรพกาลทั้งหลายเองก็เช่นกัน! พวกเจ้าเชื่อว่าการเดินตามรอยเท้าคนอื่นมันจะเป็นทางลัดสู่ความยิ่งใหญ่ แต่เมื่อไม่มีเส้นทางเดินของตัวเองแล้ว เจ้าก็จะไม่มีวันเดินนำคนที่เจ้าเดินตามไปได้ แต่ข้านั้นทำได้!”
นอกจากตัวจีโมแล้วสีหน้าของเหล่าศิษย์ทั้งหลายต่างซีดขาวลง
โอหัง!
โอหังอย่างบ้าคลั่ง!
เจ้าหมอนี่มันกลับมาอวดอ้างตัวแสดงความโอหังต่อหน้าอาจารย์ของพวกเขา!
ศิษย์ลำดับที่สองกล่าวขึ้นมาบ้าง “อาจารย์ เจ้าเด็กคนนี้มันอวดดีจนเกินไปแล้ว! เขานั้นไม่ได้แสดงความเคารพใดๆ ต่อท่านเลย! วันหน้านั้นหากเขาบรรลุขึ้นสู่ความยิ่งใหญ่ได้จริง เขาคงได้กลายเป็นศัตรูตัวร้ายของวิหารนักบวชเราแน่!”
ที่ผ่านๆ มานี้มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลไม่ได้กล่าวพูดใดเขาแค่นั่งจิบชาปล่อยให้เย่หยวนและศิษย์ทั้งหลายของเขาได้พูดคุยกัน
แต่เวลานี้เขาได้วางถ้วยชาลงก่อนจะหัวเราะขึ้น “ฮ่าๆๆ… พวกเจ้าคิดผิดแล้ว! เย่หยวนนั้นจะไม่มีวันเป็นศัตรูใดๆ เขานี้จะเป็นมิตรที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเรา! หรือจะบอกว่าเขานี้จะเป็นรองมหาปราชญ์แห่งวิหารนักบวชตลอดไปก็ได้!”
ศิษย์ลำดับสองนั้นผงะไปทันทีที่ได้ยิน “อาจารย์ มันไม่มีทางเป็นเช่นนั้นแน่! คนอกตัญญูเช่นนี้ข้าได้เห็นมานักต่อนัก มีหรือที่มันจะเป็นมิตรแท้ได้?”
มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลนั้นหันไปมอง “ที่เย่หยวนกล่าวออกมานั้น แต่ละคำพูดมันเปี่ยมล้นความหมายล้ำค่ากว่าทอง! เพียงแค่พวกเจ้าไม่ฉลาดพอที่จะเข้าใจมัน! เจ้าไม่แปลกใจถึงความเปลี่ยนแปลงของเจ้าเจ็ดบ้างหรือ?”
เหล่าศิษย์ทั้งหลายต่างหันหน้าไปมองจีโมพร้อมๆ กัน
หากมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลไม่พูด พวกเขาก็ย่อมไม่ได้คิดสนใจ
แต่เมื่อพูดขึ้นมาแล้ว คนทั้งหลายก็เริ่มเห็นความแตกต่างขึ้นได้!
เพราะหลายปีมานี้ตัวจีโมนั้นนอกจากจะพัฒนาฝีมืออย่างก้าวกระโดดแล้วตัวเขายังเปลี่ยนท่าทีนิสัยไปจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม
หรือว่าความเปลี่ยนแปลงนี้มันจะเพราะเย่หยวน?
ความตกตะลึงนี้มันเหนือล้ำกว่าที่จะกดไว้ได้
มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลนั้นกล่าวขึ้นต่อด้วยรอยยิ้ม “มันมิใช่ว่าเย่หยวนไม่เคารพข้า แต่เขานั้นเคารพข้าอย่างมาก! ข้านั้นชมชอบตัวเขามิใช่เพราะเขาเลียเท้าข้าเก่ง แต่เพราะข้านั้นอยากให้เขาได้เป็นยอดฝีมืออย่างแท้จริง ข้าอยากให้เขามาช่วยข้าตัดโซ่ตรวนทั้งหลายที่ข้ามีนี้!”
“เขานั้นไม่คิดค้างใดๆ ต่อข้า การที่เขามีวันนี้ได้มันล้วนเป็นความสามารถและจิตใจที่หนักแน่นของตัวเขาสิ้น!”
“ตั้งแต่วินาทีที่เขานั่งลงตรงหน้าข้านี้มันก็ถือเป็นการเริ่มประลองอย่างเป็นทางการ! ทุกอิริยาบถ ทุกคำพูด ทุกการเคลื่อนไหวต่างล้วนเป็นการประลองของเรา ในการประลองเช่นนี้แล้วเราย่อมจะไม่อาจเสียเวลาก้มหัวให้อีกฝ่ายได้! หากเขานั้นมานั่งก้มหัวคุกเข่าต่อหน้าข้ามีหรือที่จะยังต้องประลองใดๆ กัน วินาทีที่เขาทำเช่นนั้นมันก็คือวินาทีที่เขาแพ้แล้ว!”
“สิ่งที่เย่หยวนกล่าวขึ้นมานั้นมันล้วนถูกต้องสิ้น เขานั้นมานั่งตรงข้ามข้าได้อย่างผ่อนคลาย แต่พวกเจ้าทั้งหลายเล่า? มีใครบ้างที่จะมานั่งต่อหน้าข้าได้ด้วยท่าทางเช่นนี้ ดื่มชาร่วมกัน ถกเต๋าด้วยกันได้?”
เหล่าศิษย์ทั้งหลายต่างก้มหน้าลงอย่างอับอาย สิ่งที่อาจารย์ของพวกเขากล่าวมานั้นมันย่อมถูกต้อง การให้พวกเขาคนใดไปนั่งตรงข้ามอาจารย์ด้วยท่าทางเช่นนั้นมันย่อมจะไม่มีใครทำได้!
ต่อให้จะเป็นศิษย์คนโต มหานักบวชยมโลกผู้ติดตามอาจารย์มายาวนานที่สุดก็ยังไม่อาจทำได้
มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลนั้นยิ้มขึ้น “นี่คือบทเรียนแรกที่พวกเจ้าได้จากรองมหาปราชญ์ คิดและวิเคราะห์มันให้ดี! การปรากฏตัวขึ้นของเขานี้จะเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตพวกเจ้า!”
ทุกผู้คนต่างสั่นสะท้านไปทั้งกายใจ ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดอาจารย์ของพวกเขาจึงได้พาพวกเขาทั้งหลายมาด้วย
เดิมทีพวกเขานั้นยังคิดไปว่าอาจจะเพราะอาจารย์ต้องการให้พวกเขาได้เห็นงานใหญ่โตอย่างงานประชุมโอสถสหภูมิภาค แต่เป็นเวลานี้เองที่พวกเขาได้รับรู้ว่าแท้ที่จริงมันก็เพื่อจะให้พวกเขาได้พบเย่หยวน!
แต่ละการกระทำของอาจารย์นี้มันล้วนแล้วแต่มีเหตุผลสิ้น!
มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลยกกาน้ำชาลงมาเทเติมให้เย่หยวนด้วยรอยยิ้ม “หึๆ ข้าย่อมรู้ว่าเจ้ามีฝีมือถึงระดับนั้น แต่ข้านั้นก็ไม่มีทางพ่ายแพ้หรอก!”
เย่หยวนจึงยิ้มตอบกลับไป “แพ้ชนะนั้นมันสำคัญ แต่แท้จริงก็ไม่ได้สำคัญ! ความพ่ายแพ้นั้นมันก็ย่อมมีค่าของตัวมันอยู่!”
มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลมองดูเย่หยวนด้วยสายตาชื่นชม “เจ้านั้นเก่งเหนือข้าจริง! เรื่องราวนี้ข้าต้องใช้เวลาครุ่นคิดอยู่นานนับล้านๆ ปีกว่าจะนึกถึงมันได้ แต่ดูท่าเจ้าจะเข้าใจมันแล้ว”
เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “จะเข้าใจตอนนี้มันก็ยังไม่สายไป! ความพ่ายแพ้นั้นมันจะทำให้ผู้แข็งแกร่งเก่งกาจขึ้นเสมอ!”
……………………..