บทที่ 279 ไปหาหลี่จิงเทียน
บทที่ 279 ไปหาหลี่จิงเทียน
ในเมื่อแก๊งวาฬยักษ์มันไม่ยอมเลิกราแบบนี้ งั้นเขาคงต้องจัดการมันให้สิ้นซากเหมือนที่ทำกับแก๊งมังกรคราม!
ไม่ว่ายังไง ฆ่าไปหนึ่งมันก็เท่ากับฆ่า การฆ่าไปสองมันจะไปแตกต่างอะไร?
หลังจากโยนอีกฝ่ายทิ้งไปเรียบร้อย อวี้ฮ่าวหรานก็ขับรถมุ่งหน้าไปที่บริษัทของตัวเองต่อ
ในทันที่เขาเข้าไปถึงบริษัท อวี้ฮ่าวหรานก็เรียกผู้จัดการหวังมาพบทันที
“เอาล่ะ รายงานสถานการ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับบริษัทในช่วงที่ผ่านมาเร็ว ๆ นี้ให้ผมฟังที”
“ได้ครับท่านประธาน!”
ผู้จัดการหวังแสดงสีหน้าเบิกบานอย่างเห็นได้ชัดเมื่อได้ยินคำถามนี้
“นับตั้งแต่ที่เราเปิดทำการใหม่อีกครั้ง ยอดการสั่งซื้อสินค้าที่เราได้รับมาก็เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมอย่างก้าวกระโดด และหัวหน้าแผนกการผลิตคนใหม่ที่เราเพิ่งรับมานั้นเป็นคนที่เก่งมาก ๆ ซึ่งมันทำให้ปัญหาในแผนกการผลิตลดลงอย่างเห็นได้ชัด และส่งผลให้เราสามารถผลิตสินค้าได้ดียิ่งขึ้น…”
เมื่อได้ฟังรายละเอียดต่าง ๆ อวี้ฮ่าวหรานก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ
“ดีมาก ผมขอบคุณที่คุณทำงานหนักให้กับผมเสมอมา”
ชายหนุ่มรู้สึกพึงพอใจมากกับลูกน้องของเขาคนนี้ และด้วยการที่ผู้จัดการหวังทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยม ก่อนหน้านี้ไม่นานนักเขาจึงเพิ่มเงินเดือนให้อีกฝ่ายจนฐานเงินเดือนของผู้จัดการหวังมากกว่าผู้บริหารคนอื่น ๆ เกือบเท่าตัว
ถึงแม้ว่าจากคำพูด อวี้ฮ่าวหรานจะขอบคุณอีกฝ่ายแค่ครั้งเดียว แต่ในใจกลับขอบคุณอีกฝ่ายอยู่หลายครั้ง เพราะการที่ผู้จัดการหวังคอยดูแลบริษัทให้ซะส่วนใหญ่ เขาจึงมีเวลาบ่มเพาะมากขึ้น
ไม่เช่นนั้นหากชายหนุ่มไม่มีคนที่ขยันและมีความสามารถอย่างผู้จัดการหวัง ป่านนี้คงต้องเอาแต่ดูแลบริษัทอย่างเดียวจนไม่ได้บ่มเพาะแน่นอน
“ขอบคุณท่านประธานที่ชม ผมรู้สึกยินดีจริง ๆ ที่ได้ทำประโยชน์ให้กับท่าน แต่ถ้าหากท่านไม่มีอะไรผมคงต้องขอตัวไปดูงานที่แผนกอื่นต่อก่อน” ผู้จัดการหวังโค้งตัวให้ก่อนที่จะขอตัวออกไปอย่างสุภาพ
“อืม ตามสบาย”
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าเล็กน้อย
แต่แล้วหลังจากที่ผู้จัดการหวังออกไปได้เพียงแค่ครู่เดียว โทรศัพท์ของ อวี้ฮ่าวหรานก็ดังขึ้น
“ฮัลโหล ฮ่าวหราน ฉันได้ยินว่านายกลับมาจากไปเที่ยวพักผ่อนแล้วใช่ไหม?”
คนที่โทรเข้ามาคือเฉิงกัวอัน ซึ่งน้ำเสียงของเขาดูตื่นเต้นเล็กน้อย
“เรื่องของหลี่จิงเทียนที่นายขอให้ฉันช่วยมันใกล้เสร็จแล้ว ตอนนี้เหลือแค่นายต้องออกไปคุยด้วยตัวเอง แล้วจากนั้นทุกอย่างก็จะจบ บางทีเขาอาจจะได้ออกมาวันพรุ่งนี้เลยด้วยซ้ำ”
“อืม ผมเข้าใจแล้ว อีกสักพักผมจะไปหาคุณ”
อวี้ฮ่าวหรานเพิ่งจะนึกถึงเรื่องนี้ได้เช่นกันว่า เขาให้เฉิงกัวอันช่วยหลี่จิงเทียน ก่อนที่จะไปเที่ยว
พูดตามตรงเขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้นัก เพราะต่อให้มันจะไม่สำเร็จ หลี่จิงเทียนก็สมควรได้รับบทเรียนอยู่แล้ว ถ้าหากหลี่ชงซานไม่เอ่ยปากขอเขา ก็คงไม่มีทางช่วยหลี่จิงเทียนให้ออกมาจากคุกแน่นอน
เวลา10:30น.
อวี้ฮ่าวหราน ขับรถไปถึงบริษัทชิวเฮิงพอดี
เฉิงชิวอวี้ออกมารอรับเขาอยู่ที่หน้าประตู
“ฮ่าวหราน นายไปเที่ยวทำไมถึงไม่บอกฉันบ้าง ฉันเองก็อยากไปเที่ยวเหมือนกันนะ!”
ถึงแม้ว่าเธอจะถูกสอนให้ทำตัวมีมารยาทอยู่เสมอและเก็บอารมณ์ได้เก่ง แต่เมื่อเป็นเรื่องของอวี้ฮ่าวหราน เธอกลับอดเก็บความร้อนใจของตัวเองเอาไว้ไม่ไหวจนต้องออกมารอเขาและบ่นขึ้นมา
“คราวหน้านะ คราวหน้า หากว่างเมื่อไหร่ ผมจะพาคุณไปด้วยแน่นอน”
อวี้ฮ่าวหรานรู้สึกจนใจสุดขีด เขาทำได้แต่เอ่ยผลัดวันไปก่อน เพราะขืนเขาพาเฉิงชิวอวี้ไปเที่ยวด้วยจริง ๆ ละก็ หลี่หรงคงโกรธจนหัวระเบิดแน่นอน
เมื่อเห็นสีหน้าที่ดูกระอักกระอ่วนของอวี้ฮ่าวหราน เฉิงชิวอวี้ก็ถอนหายใจ ก่อนที่จะพูดว่า “ช่างเถอะ ๆ ฉันคิดว่าต่อให้มีคราวหน้าคุณก็คงไม่พาฉันไปด้วยอยู่ดี รีบขึ้นไปหาพ่อของฉันเถอะ พ่อฉันกำลังรอคุณอยู่”
หลังจากรู้จักกันมาได้หลายเดือน เมื่อได้ยินการตอบกลับแบบนี้ของอวี้ฮ่าวหราน เธอก็รู้ได้ทันทีว่ามันคือการปฏิเสธอย่างสุภาพ
หลังจากนั้นไม่กี่นาที อวี้ฮ่าวหรานและเฉิงชิวอวี้ก็ขึ้นไปถึงออฟฟิศของเฉิงกัวอัน ซึ่งกำลังเปิดดูเอกสารต่าง ๆ ที่อยู่บนโต๊ะ
“ฮ่า ๆ มาด้วยกันงั้นเหรอ? น้องอวี้ นายนี่มันเสน่ห์แรงจริง ๆ เลยรู้ไหม หลายวันที่ผ่านมานี้ลูกสาวของฉันบ่นถึงนายอยู่ทุกวันเลย!”
“พ่อ! นี่พ่อพูดอะไรของพ่อเนี่ย!”
เฉิงชิวอวี้แก้มแดงทันทีเมื่อได้ยินคำพูดนี้
พ่อที่ไหนกันจะกล้าเผยความในใจของลูกสาวตัวเองแบบนี้!
“แค่ก ๆ โธ่ อย่าคิดมากสิลูก พ่อแค่พูดล้อเล่นเฉย ๆ แค่นั้นเอง หึหึ”
เฉิงกัวอันตอบกลับด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนเมื่อเห็นว่าลูกสาวของเขาไม่พอใจเล็กน้อย
จากนั้นพวกเขาจึงนั่งลงคุยกัน
“คุณบอกว่า หลี่จิงเทียนจะได้รับการปล่อยตัวหากผมออกไปพูดให้งั้นเหรอ?”
“ถูกต้อง ตราบใดที่นายซึ่งเป็นเจ้าทุกข์ไม่เอาเรื่อง และบวกกับเส้นสายที่ฉันมี มันไม่ยากที่เราจะทำให้เจ้าหน้าที่ของรัฐปล่อยตัวเขาออกมา”
“ไม่มีปัญหา ผมสามารถไปพูดให้กับเขาได้ พ่อของหลี่จิงเทียนขอร้องผมเอาไว้ ผมจำเป็นต้องช่วยเขาสักหน่อย”
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้า เรื่องนี้เขาได้ให้คำสัญญาไปแล้วกับหลี่ชงซาน ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องทำถึงแม้จะไม่เต็มใจสักเท่าไหร่ก็ตาม
หลังจากนั้นเมื่อพวกเขาคุยรายละเอียดในการปล่อยตัวของหลี่จิงเทียน ไปได้อีกพักหนึ่ง พวกเขาก็พากันไปที่สถานีตำรวจเพื่อดำเนินเรื่องให้เสร็จ
หลังจากดำเนินเรื่องที่โรงพักเสร็จเรียบร้อย เฉิงกัวอันและอวี้ฮ่าวหราน ก็พากันขับรถไปที่สถานกักกันตัวต่อ
เนื่องจากคดีความยังไม่สิ้นสุดดี ดังนั้นหลี่จิงเทียนจึงยังไม่ถูกส่งเข้าเรือนจำ เขายังอยู่ในสถานที่กักกันสำหรับผู้ต้องหาที่กำลังรอลงอาญา
ในระหว่างทางไป อวี้ฮ่าวหรานเหม่อมองไปที่วิวด้านนอกรถพลางคิดถึงคำพูดของหลี่ชงซาน
เมื่อตอนเป็นเด็ก หลี่จิงเทียนนั้นเป็นเด็กที่ดีมาก เขามักจะอยู่ใกล้ ๆ กับ หลี่เม่ยเสมอ ซึ่งหลี่เม่ยก็รักน้องชายของเธอมากเช่นกัน
อันที่จริงแล้ว เรื่องนี้มันเห็นได้ชัดจากการกระทำของหลี่จิงเทียนที่มีต่อหลี่เม่ย ไม่ว่าอู๋เส้าฮัวจะกดดันหลี่จิงเทียนมากขนาดไหน หลี่จิงเทียนก็ไม่เคยทำอะไรหลี่เม่ยเลยแม้แต่นิดเดียว
แต่แล้ว พอเวลายิ่งผ่านไปหลังจากที่หลี่เม่ยหายตัวไป หลี่จิงเทียนก็ทำตัวแย่ลงเรื่อย ๆ
อันที่จริง เรื่องที่หวังเจวียจัดฉากหาคนหน้าคล้ายหลี่เม่ยมาหลอกนั้น อวี้ฮ่าวหรานเองก็รู้อยู่แล้วว่าหลี่จิงเทียนนั้นมีเอี่ยวด้วยเต็ม ๆ เพราะผู้จัดการหวังเคยเอาเรื่องที่หวังเจวียพบกับหลี่จิงเทียนมาบอกกับเขา
แต่ชายหนุ่มก็ทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ เพราะถ้าหากเขาจะเอาเรื่องจริง ๆ โทษสถานเดียวของหลี่จิงเทียนคือตาย!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็รู้สึกปวดหัว
ทำไมน้องชายภรรยาของเขามันถึงได้โง่ได้ขนาดนี้กัน? ทั้ง ๆ ที่พ่อหรือพี่สาวหรือน้องสาวก็ฉลาดดี ทำไมหลี่จิงเทียนมันถึงได้โง่ราวกับเป็นลูกของบ้านอื่นไปได้?
ไม่นานต่อมา รถของเฉิงกัวอันก็ไปถึงสถานที่กักกัน
ในห้องขังรวม…
หลี่จิงเทียนกำลังนั่งคุดคู้ตัวสั่นอยู่ที่มุมห้อง โดยที่มีชายฉกรรจ์หลายคนจ้องมองเขาด้วยสายตาเป็นประกายอยู่ไม่ไกลนัก
“วู้ว! ดูไอ้ละอ่อนนั่นสิ ผิวของมันขาวเนียนอย่างกับผู้หญิงเลยว่ะ ฮ่า ๆๆ!”
“หึหึ รออีกสักวันสองวันก่อนจนกว่าพวกผู้คุมมันจะไม่สนใจ แล้ว จากนั้นพ่อคนนี้นี่ล่ะจะขอเล่นสนุกกับมันสักหน่อย! ขาว ๆ เนียน ๆ แบบนี้มันน่าเร้าใจจริง ๆ!”
“ฉันจำได้ว่าตอนมันเข้ามาวันแรกมันก็บอกเลยว่ามันเป็นลูกหลานของคนตระกูลหลี่ ฉันล่ะโคตรขำเลย จนเตะมันเข้าให้ไปทีหนึ่ง!”
“…”
ชายฉกรรจ์ที่อยู่ห้องขังเดียวกับหลี่จิงเทียนต่างพูดจาเยาะเย้ยและหยอกล้ออย่างสนุกสนาน ซึ่งมันทำให้หลี่จิงเทียนนั้นหน้าซีดตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว
การที่ต้องเข้ามาอยู่ในห้องขังรวมแบบนี้มันเป็นการทรมานที่สุดแสนจะรุนแรง จนหลี่จิงเทียนใกล้จะเสียสติอยู่เต็มที