ตอนที่ 56 เปิดเผยความอัปยศอดสูของครอบครัว
เฮ้อ! ครอบครัวของเจ้าจะหลบหนีไปที่ใดพ้น? วันนี้บ้านของพวกเจ้าถูกคนมารื้อถอนทำลายจนหมด ไม่มีที่ใดให้ไปอยู่อาศัยแล้ว แม่เฒ่าซูเรอออกมา จากนั้นก็หยิบเอาเศษเนื้อหมูฝอยออกมาจากปากของตนเอง นี่เอ้า! ข้าให้พวกเจ้ากิน! กินเสียเถอะ! เดี๋ยวจะมาหาว่าข้าดูแลพวกเจ้าได้ไม่ดี!
แม่เฒ่าเจียงมองไปที่แม่เฒ่าซูด้วยสายตาอันเย็นชา เจ้านี่ช่างเป็นหญิงชราที่หน้าด้านจริง ๆ เจ้าไม่รู้ตัวเลยหรือว่าตัวเองมีฟันที่เหลืองมาก มันดูสกปรกและน่าขยะแขยงมากแค่ไหน? ช่างน่ารังเกียจนัก ทว่าเจ้าก็เอาออกมาจากปากของตัวเอง ช่างขายขี้หน้าเสียจริง ๆ!
ฟันของข้าขาวจะตาย! แม่เฒ่าซูถึงกับโกรธจัด นางคว้าเม็ดทรายที่อยู่บนพื้นแล้วขว้างใส่แม่เฒ่าเจียง ซูหวานหว่านเห็นดังนั้นจึงนำตัวเข้ามาปกป้องแม่เฒ่าเจียงทันที ทำให้ทั้งผมและเสื้อผ้าของซูหวานหว่านถูกสาดด้วยเม็ดทรายเข้าอย่างจัง
เมื่อเห็นดวงตาที่ไม่พอใจของซูหวานหว่าน แม่เฒ่าซูก็รู้สึกภูมิใจขึ้นมาในทันที นางยังมิทันได้เปิดปากพูดอันใด ก็ถูกซูหวานหว่านโยนของที่มีลักษณะนุ่ม ๆ ใส่เข้าไปในปาก
แม่เฒ่าซูถึงกับยืนตัวแข็งไปชั่วขณะ และลองกัดสิ่งนั้นดู จากนั้นในปากของนางก็เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นจนต้องคลายมันทิ้งออกมาอย่างรวดเร็ว พอนางคลายออกมาจึงรู้ว่าแท้จริงแล้วสิ่งนั้นคือมูลวัว จึงอดไม่ได้ที่จะพูดสาปแช่งออกมา
แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นไปมองอีกครั้งก็พบว่าซูหวานหว่านและคนอื่น ๆ ได้หายตัวไปไหนต่อไหนแล้ว ซึ่งพวกนางได้เดินทางออกมาถึงที่หน้าหมู่บ้านเป็นที่เรียบร้อย
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อสักครู่ แม่เจิ้นก็อดไม่ได้ที่จะถามออกมาด้วยความสงสัย หวานหว่าน ไม่ใช่ว่าเจ้าเห็นแม่เฒ่าซูอยู่แล้วไม่ใช่หรือ? เหตุใดเจ้ายังใช้เส้นทางนี้เดินผ่านมายังหน้าหมู่บ้านอยู่อีก?
เหตุที่นางต้องใช้เส้นทางนั้น? ก็เพราะว่าแม่เฒ่าซูจะต้องหัวเราะเยาะเย้ยครอบครัวของนางเป็นแน่! จากนั้นก็ปล่อยให้แม่เฒ่าซูพูดจาดูถูกพวกตน และเมื่อแม่เฒ่าซูเดินกลับมาถึงใจกลางหมู่บ้าน แน่นอนว่านางจะต้องแพร่กระจายข่าวว่าเห็นนางและครอบครัวกำลังจะขึ้นไปบนภูเขาเพื่อ ‘หลบภัย’ หากคืนนี้มีคนต้องการทำร้ายนางจริง ๆ คนร้ายจะไปผิดที่ และนั่นคือสิ่งที่นางต้องการ
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เหตุผลเหล่านี้ซูหวานหว่านไม่คิดบอกแม่เจิ้นไปตรง ๆ นางหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดออกมาว่า หากสุนัขบ้ามันจะกัดคน ต่อให้ใกล้ไกลเพียงใดมันก็กัด เพียงแค่นางเห็นข้า นางก็เดินเข้ามาและใช้คำพูดจาหัวเราะเหยียดหยามข้าแล้ว ไม่ว่าเราจะใช้เส้นทางใดก็เจอและถูกนางต่อว่าอยู่ดี!
แม่เจิ้นถึงกับถอนหายใจเมื่อได้คิดตามคำพูดของลูกสาว ซึ่งมันก็เป็นดั่งที่นางพูด กระนั้นแล้วนางก็ไม่ได้ถามสิ่งใดต่อ หากแต่แม่เฒ่าเจียงกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น ดวงตาของแม่เฒ่าเจียงนั้นชัดเจนราวกับว่านางสามารถมองผ่านความคิดของซูหวานหว่านออกนานแล้ว
อากาศยามค่ำคืนเย็นสบายราวกับสายน้ำ ซูหวานหว่านลอบใช้พลังวิเศษของตัวเองถามเกี่ยวกับทางลัดไปยังเมืองจากเหล่าสัตว์บนภูเขา จากนั้นนางจึงพาครอบครัวเดินทางเข้าไปในเมืองโดยแสร้งทำเป็นว่าครอบครัวของนางนั้นได้ขึ้นไปหลบภัยบนภูเขา
ซูหวานหว่านและครอบครัวของนางได้เดินขึ้นไปบนภูเขายังไม่พ้น 1 เค่อ ก็ได้ยินเสียงเกือกม้ากำลังวิ่งดังขึ้นมาบนเส้นทางที่ถูกปกคลุมไปด้วยโคลนภูเขา และตามมาด้วยเสียงก่นด่าที่เต็มไปด้วยความโกรธ
ซูหวานหว่านมองลงไป พลันใดนั้นก็สรุปได้ว่าคนเหล่านั้นมาเพื่อฆ่าตนเองเป็นแน่!
คาดไม่ถึงเลยว่าผู้ดูแลหลี่จะอดทนไม่ไหวและอยากจะกำจัดนางโดยทันที เป็นไปได้ไหมว่าครานั้นที่มีชาย 5 คนที่ต้องการจะมาฆ่านางไม่เหลือชีวิตรอดกลับไปสักคน ทำให้เขาไม่รู้เลยว่าจุดจบของคนเหล่านั้นตายได้อย่างไร?
ในเมื่อผู้ดูแลหลี่ไม่รู้ นางก็จะลองปล่อยให้เขาลิ้มรสมันดูสักครั้ง
ริมฝีปากของซูหวานหว่านได้เผยรอยยิ้มออกมา
ทางด้านของผู้ดูแลหลี่ที่กำลังนอนหลับอยู่ในห้อง ได้แต่นอนกระสับกระส่ายไปมาอย่างอธิบายไม่ถูก
จู่ ๆ เขาก็รู้สึกว่าคืนนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิ อากาศค่อนข้างหนาวมาก จึงตะโกนบอกคนรับใช้ว่า พวกเจ้าทั้งกินเปล่านอนเปล่าอยู่กับข้า!! ฤดูใบไม้ผลิที่หนาวมากเช่นนี้ ไม่รู้หรือไงว่าจะต้องทำอย่างไร รีบไปหยิบผ้านวมมาให้ข้าเพิ่มเร็ว ๆ สิ!
เมื่อไม่กี่วันก่อนผู้ดูแลหลี่เป็นคนบอกเองว่าให้คนใช้ลดการใช้ผ้านวมลงอยู่เลย!
เหตุเพราะผู้ดูแลหลี่โดนไล่ออกจากการเป็นผู้ดูแลร้านอาหารไปเมื่อไม่กี่วันก่อน ทำให้อารมณ์ของเขาค่อนข้างฉุนเฉียวและเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด แม้แต่คนในครอบครัวก็ไม่มีใครที่จะกล้าพูดจาหรือซักถามเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย
เหล่าคนรับใช้ก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องนำผ้านวมผืนใหม่ออกมาเพิ่มอีกผืน เพื่อเป็นการแสดงถึงความเคารพต่อบุญคุณของผู้ดูแลหลี่นั่นเอง และเพื่อตัวเองจะได้นอนหลับลงอย่างสบายใจ
เวลา 2 ชั่วยามผ่านไป ซูหวานหว่านและคนอื่น ๆ เดินทางมาถึงยังตัวเมืองในเวลากลางคืนอันมืดมิดเงียบสนิท
นางได้พาครอบครัวของตนไปพักยังโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง หลังจากที่ทุกคนนอนหลับหมดแล้ว ซูหวานหว่านจึงลุกขึ้นมา นางแอบย่องออกไปจากห้องพักเงียบ ๆ ในมือถือโคมไฟเพื่อให้แสงสว่าง
ซูหวานหว่านกระโดดข้ามกำแพงมาบ้านหลังหนึ่ง และพบว่ามีหนึ่งห้องที่ยังคงไม่ตบไฟและยังส่องสว่างอยู่
การจะไปยังห้องนอนของผู้ดูแลหลี่ได้ต้องเดินผ่านทางนี้ ซูหวานหว่านกังวลมากด้วยจะถูกใครจับได้
ในขณะที่นางพยายามคิดหาวิธีการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ นางก็เห็นศีรษะของผู้ชายคนหนึ่งโผล่ออกมา จึงรีบหาที่หลบทันที ชายผู้นั้นกัดฟันกรอด ขาข้างหนึ่งของเขากำลังปีนข้ามขึ้นมาบนกำแพง และมีเสียงหอบหายใจด้วยความเหนื่อยออกมาจากชายคนนั้น
เฮ้อ ค่อยยังชั่วในที่สุดข้าก็สามารถปีนข้ามกำแพงขึ้นมาได้สักที ชายคนนั้นพูดขึ้นมา แต่แล้วก็ร่วงลงมาพร้อมกับเสียงกระแทกดัง ‘ปั้ก!’ แต่เขาไม่กล้าที่จะส่งเสียงร้องเพราะความเจ็บปวดออกมา ชายคนนั้นทำได้เพียงตบฝุ่นที่ขาและสวมเสื้อคลุมสีฟ้าอ่อนของตนเอง ดูเหมือนว่าชายผู้นั้นจะเป็นพวกปัญญาชนแสนอ่อนแอ
เขามองไปรอบ ๆ จากนั้นก็ก้มตัวออกไปนอกประตูและตะโกนว่า เหลียนเอ๋อร์ ข้ามาแล้วเปิดประตูให้ข้าหน่อย
นี่เป็นห้องนอนของหลี่เหลียนเอ๋อร์อย่างงั้นหรือ?
เมื่อมองดูเสื้อผ้าของชายคนนั้นที่สวมใส่ และชื่อที่ชายคนนั้นเรียก หลี่เหลียนเอ๋อร์ มันจะต้องมีความสัมพันธ์บางอย่างที่ยังไม่แน่ชัดเป็นแน่
สิ่งนี้ทำให้ความอยากรู้อยากเห็นของซูหวานหว่านมีเพิ่มมากขึ้น นางซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ข้างกำแพงลานบ้าน และพลันใดห้องนั้นก็มืดสนิทลงทันที
หลี่เหลียนเอ๋อร์ไม่รู้ว่าซูหวานหว่านนั้นมีหูที่ดีมาก นางสามารถรับรู้ทันทีว่าหลี่เหลียนเอ๋อร์นอนหลับไปแล้ว เพราะนางได้ยินเสียงกรนออกมาเล็กน้อย ทว่าชายคนนั้นก็ได้วิ่งไปยังห้องอื่น พยายามร้องตะโกนเรียกตามห้องอื่น ๆ อย่างไม่แน่ใจว่าหลี่เหลียนเอ๋อร์อาศัยอยู่ห้องใดกันแน่
เพื่อเป็นการแก้แค้นหลี่เหลียนเอ๋อร์ให้กับฉีเฉิงเฟิง จู่ ๆ ซูหวานหว่านก็คิดเรื่องสนุก ๆ ขึ้นมาได้ หากนางพาชายผู้นั้นไปยังห้องที่ผู้ดูแลหลี่นอนอยู่มันจะเกิดอะไรขึ้น?
ซูหวานหว่านถึงกับรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่จะต้องสนุกมากแน่ ๆ เมื่อนางนึกถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นล่วงหน้ากับคนรักของหลี่เหลียนเอ๋อร์
ซูหวานหว่านเลียนแบบทำเป็นเสียงของสาวใช้คนสนิทของหลี่เหลียนเอ๋อร์ แล้วพูดออกมาว่า ไม่ใช่ห้องนี้หรอกเจ้าค่ะ แต่เป็นอีกเรือนหนึ่งต่างหาก
ชายคนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เขาเดินออกไปและซูหวานหว่านก็ได้เดินตามไปอย่างเงียบ ๆ
ในอีกเรือนมีเสียงกรนออกมาราวกับฟ้าร้อง ชายคนนั้นรู้สึกแปลก ๆ ทว่าเมื่อเขานึกถึงเรื่องเงินทองในบ้านของหลี่เหลียนเอ๋อร์ เขาก็ไม่ได้ใส่ใจเก็บไปคิดอะไรเกี่ยวกับผู้หญิงที่นอนกรน เลยเปิดประตูอย่างแผ่วเบาและค่อย ๆ เดินเข้าไป
เมื่อเขาเข้ามาได้ก็พบกับเสียงกรนและเห็นขาลอดออกมาจากผ้าห่ม ชายคนนั้นจึงเดินเข้าไปและจับขาที่โผล่ออกมา ทว่าเขาก็ต้องเกิดอาการตกตะลึง
เหตุใดขาของหลี่เหลียนเอ๋อร์ถึงมีขนเยอะเช่นนี้!
อีกทั้งขานางยังใหญ่มาก! จับไปที่ข้อเท้าด้วยมือเดียวแทบจะไม่ได้
เขารู้สึกขยะแขยงขึ้นมาเล็กน้อย แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เมื่อเขาคิดถึงตอนที่หลี่เหลียนเอ๋อร์ได้กับเขาไปแล้ว แน่นอนว่าเขาจะต้องกลายเป็นสามีของนาง และก็จะกลายเป็นหนูตกถังข้าวสาร พอนึกได้เช่นนี้ เขาก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที แม้ว่าหลี่เหลียนเอ๋อร์จะมีขาที่หนาใหญ่ ทว่าเขาก็อยากที่จะลองดูสักตั้ง!
เหลียนเอ๋อร์…
ชายผู้นั้นเอ่ยกระซิบแล้วยกผ้าห่มขึ้นพร้อมกับลูบไล้ไปที่ขาของคนที่นอนอยู่บนเตียง ข้ามาแล้ว…
เขาถอดกางเกงของตัวเองออก จากนั้นล้มตัวนอนลงบนเตียง พลันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติไป
เหตุใดหลี่เหลียนเอ๋อร์ถึงได้มีกลิ่นเหล้าหึ่งขนาดนี้?
ทันใดเขาก็เกิดความคิดบางอย่างผุดขึ้นมาในหัวของตัวเอง และค่อย ๆ เคลื่อนตัวลงออกจากร่างของคนบนเตียงทันที
เหตุใดถึงมีเนื้อที่หน้าอกเยอะเช่นนี้ ทั้งยังมีขนขึ้นตามหน้าอกเยอะมาก!
ผู้ชายคนนั้นรู้สึกตกใจ ส่วนชายที่ได้นอนอยู่บนเตียงก็ได้พลิกตัวกลับไปกลับมาพอดี เขาจึงลูบไปยังคางของคนที่นอนอยู่และเกิดอาการตกใจอีกครั้ง
เหตุใดหลี่เหลียนเอ๋อร์ถึงมีเครา!?
แม่นางที่ไหนจะไว้หนวดไว้เครากันเยี่ยงนี้!
เช่นนั้นแล้วคนที่นอนอยู่บนเตียงต้องเป็นผู้ชายอย่างแน่นอน!
เขาพยายามนึกถึงสาวใช้คนที่ยืนคุยกับเขาก่อนหน้านี้ หรือว่าจะโดนผู้ดูแลหลี่ลงโทษ?
ห้องนี้เป็นห้องที่มีขนาดใหญ่ และแน่นอนว่าห้องนี้อาจจะเป็นห้องของผู้ดูแลหลี่!
นี่คือพ่อตาของเขาในอนาคต!
ชายคนนั้นถึงกับสะดุ้งตกใจทันทีและกำลังจะเดินออกจากห้องไป ทว่าจู่ ๆ มือของเขาก็ถูกจับเอาไว้ ทำให้เขาถึงกับยืนสงบนิ่งไปชั่วขณะด้วยความตกใจ และร่างกายของเขาก็ถูกมืออีกข้างลูบไล้ไปที่ลำตัวของเขาตั้งแต่บนลงล่าง
เมื่อลูบคล้ำสัมผัสอยู่ครู่หนึ่ง คนที่นอนอยู่บนเตียงก็ลืมตาขึ้นทันที ทั้งสองคนก็ต่างมองหน้ากัน ต่างคนต่างถึงกับผละหนีออกจากกัน
เจ้าเป็นใคร! ผู้ดูแลหลี่พูดออกมาอย่างโกรธจัด แล้วพูดขึ้นมาอีกครั้งว่า ใครก็ได้รีบมาที่นี่ที มาช่วยกันจับหัวขโมยเร็วเข้า!