‘ไม่ค่อยชอบสักเท่าไร’ หมายความว่าอย่างไร? มันก็หมายความว่าเกลียดไม่ใช่หรือ? ช่างเป็นการพูดจาที่รื่นหูเสียเหลือเกิน
เมื่อครู่ซูฉิงฉิงไม่ได้ด่าทออะไรออกมา ทว่าเมื่อเห็นแม่เจิ้นเข้ามา ก็ดูเหมือนว่านางจะใช้มารดาของตนเป็นคนจัดการตัวนาง ช่างเป็นคู่ต่อสู้ที่มีชั้นเชิงจริง ๆ!
ซูหวานหว่านอยากจะมอบรางวัลให้กับซูฉิงฉิงเสียจริงที่แสดงละครได้แนบเนียนและเก่งกาจเช่นนี้ …เอารางวัลเสแสร้งยอดเยี่ยมไปเลย!
บนใบหน้าของแม่เจิ้นประดับไปด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับจับไปที่มือของซูหวานหว่านและซูฉิงฉิงแผ่วเบา นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน นางจะทำเช่นนั้นกับเจ้าไปทำไมกัน? ไม่ใช่ว่าเมื่อก่อนหวานหว่านชอบเจ้ามากที่สุดหรอกหรือ? อีกทั้งนางก็เอาแต่เดินตามเจ้าทั้งวัน! พวกเจ้าเป็นพี่น้องเครือญาติเดียวกันไม่น่าจะมีเรื่องแบบนั้นหรอกนะ
อาสะใภ้สาม แต่ว่า… ซูฉิงฉิงทำเป็นหลับตาให้น้ำตาค่อย ๆ ไหลลงมา น้องหวานหว่าน นางทำแบบนั้นกับข้าจริง ๆ นะเจ้าคะ!
นางทำอะไรเจ้าอย่างงั้นรึ? สีหน้าของแม่เจิ้นก็เปลี่ยนไปในทันที ก่อนจะมองไปยังซูหวานหว่านที่ยืนทำใบหน้าไร้เดียงสาอยู่ นางไม่อยากจะเชื่อว่าลูกสาวของตัวเองจะเป็นคนแบบนั้น
เมื่อครู่นี้นาง… ซูฉิงฉิงเหลือบมองซูหวานหว่านพร้อมกับขมวดคิ้วและกัดริมฝีปากของตัวเอง ทำท่าทีเหมือนต้องการพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่ว่าภายในใจของตัวเองไม่กล้าที่จะพูดออกไป เหมือนลำบากใจที่จะพูด
ผ่านไปสักพัก แม่เจิ้นก็รู้สึกเชื่อซูฉิงฉิงขึ้นมา
เหตุใดเจ้าถึงได้ทำกับคนที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของตัวเองแบบนี้กัน? แม่เจิ้นถามเสียงดัง ราวกับว่านางรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก
ท่านแม่ ท่านแม่คิดว่าข้าจะทำแบบนั้นกับท่านพี่ฉิงฉิงอย่างงั้นหรือ? ซูหวานหว่านพูดออกมาพร้อมกับยักไหล่ และเหลือบไปมองที่ซูฉิงฉิงทันที ท่านพี่ฉิงฉิง ท่านก็พูดออกมาเสียว่าข้าได้ทำอะไรท่าน? ท่านอย่ามัวแต่ร้องไห้อยู่อย่างเดียวสิ ท่านจะมาใส่ความข้าเพื่ออะไรกัน?
หลังจากพูดจบ ซูหวานหว่านก็ได้ก้มศีรษะลง ราวกับว่าตนเองกำลังถูกสวรรค์ทำร้ายหรือกลั่นแกล้งอยู่ พร้อมกับสะอื้นไห้ออกมา ท่านแม่ ข้าไม่รู้ว่าข้าไปทำอะไรให้นาง ท่านพี่ฉิงฉิงถึงมาโกรธข้าแบบนี้ ข้า… ข้า นี่มันเป็นคนที่แย่เสียจริง
เมื่อสิ้นเสียงของซูหวานหว่าน แม่เจิ้นก็โยนท่อนไม้เข้าไปในเตาเพิ่ม นางไม่ได้จ้องมองไปที่ลูกสาว แต่ตอนนี้หันไปจ้องมองที่ซูฉิงฉิงแทน
ในแง่ของฝีมือ ซูฉิงฉิงแสดงได้ดีกว่านางเป็นอย่างมาก
พวกเจ้า… สรุปผู้ใดเป็นคนทำอะไรกันแน่?
แม่เจิ้นหันไปทางลูกสาวของตัวเอง พร้อมกับจับไปที่มือของซูฉิงฉิง ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้างไม่อ่อนโยนเหมือนก่อนหน้านี้ ฉิงฉิง งั้นเจ้าไปรอข้าที่ด้านนอกจะดีกว่า เดี๋ยวทางข้าและหวานหว่านจะเป็นคนทำอาหารค่ำมื้อนี้เอง
แท้จริงแล้วซูฉิงฉิงสามารถนั่งรออาหารได้อย่างสบาย ๆ ทว่านางจะไม่ยอมทิ้งโอกาสที่จะสร้างความบาดหมางให้กับครอบครัวหวานหว่านหรอก นางได้ใช้มือปาดเช็ดน้ำตาของตัวเองและพูดออกมาว่า อาสะใภ้สาม ข้าจะปล่อยให้ท่านมาทำอาหารที่ห้องครัวนี่ได้อย่างไรกันเจ้าคะ ข้าเป็นผู้น้อย ปล่อยให้ท่านทำอาหารเช่นนี้ ข้าเกรงว่าจะไม่เหมาะสักเท่าไรเจ้าค่ะ
หลังจากนั้นนางก็ได้เหลือบไปมองซูหวานหว่านอีกครั้งแล้วพูดว่า ข้าไม่เหมือนกับน้องหวานหว่าน แม้ว่าข้านั้นจะทำอาหารไม่ค่อยเก่ง แต่ข้ายังต้องการทำอาหารให้ท่านได้ลิ้มลองเจ้าค่ะ
คำพูดคำจาของนางช่างลื่นไหลนัก
เอ่ยชมตนเองและสื่อเป็นนัยว่านางเป็นลูกกตัญญู
ซูหวานหว่านใส่ผักลงไป ตามด้วยหยิบเนื้อกระต่ายแห้งออกมา พอนึกถึงซูฉิงฉิงที่อยากจะกินเนื้อกระต่าย นางก็ได้ยิ้มออกมาพร้อมกับพูดว่า พี่ฉิงฉิง ทำไมข้าจะไม่รู้ว่าท่านเป็นคนกตัญญู เมื่อครู่เป็นท่านไม่ใช่หรือที่บอกว่าอยากกินเนื้อกระต่าย? ข้าเองก็ไม่อาจรู้ว่าท่านชอบกินรสชาติแบบไหน ข้านำเอาเนื้อกระต่ายออกมาไว้ให้แล้ว ท่านก็ลองคิดดูว่าจะทําอาหารประเภทใดดี ส่วนท่านแม่กับข้าจะออกไปรอข้างนอกก่อน
!
อะไรนะ? ให้นางเป็นคนทำอาหารอย่างงั้นหรือ! นางทำอาหารไม่เป็น! ร่างกายของซูฉิงฉิงแข็งทื่อถึงกับพูดไม่ออก
เมื่อครู่นางก็แค่ทำเป็นพูดตามมารยาทเฉย ๆ ไม่ใช่ว่านางจะอยากทำอาหารเองเสียสักหน่อย!
นอกจากนี้เรื่องทำอาหารยังเป็นหน้าที่ของคนรับใช้ต่างหาก นางจะไปทำของแบบนั้นด้วยตัวเองทำไมกันในเมื่อที่บ้านมีคนรับใช้!
เมื่อคิดได้แบบนี้ ซูฉิงฉิงจึงก้มหน้าก้มตาลงเล็กน้อย และทันใดนางก็ได้ยินเสียงของแม่เจิ้นพูดว่า หวานหว่าน เจ้านี่จริง ๆ! ฉิงฉิงนางเพียงแค่พูดเฉย ๆ แต่เจ้ากลับสั่งให้นางเป็นคนทำอาหาร เช่นนี้มันเหมาะสมหรือไม่?
พูดชมตัวเองเกินจริงเพียงสองสามประโยคน่ะหรือคือพูดเฉย ๆ? หึ! ซูหวานหว่านก้มศีรษะลงเยาะเย้ยใบหน้าจอมปลอมของซูฉิงฉิง
แม่เจิ้นพูดออกมาว่า ฉิงฉิง เจ้าต้องการกินเนื้อกระต่ายรสชาติใดหรือ?
แม่เจิ้นถามขึ้นขณะที่นางได้เดินไปแถว ๆ เครื่องปรุงรสต่าง ๆ
ไม่ว่าเป็นรสชาติอาหารแบบไหนนางก็กินได้หมด! อาสะใภ้สาม ท่านอยากกินรสชาติไหนข้าก็กินได้หมดเจ้าค่ะ
เมื่อได้ยินประโยคแบบนี้ ทำให้แม่เจิ้นยิ้มออกมาอย่างมีความสุขมาก จากนั้นแม่เจิ้นก็ได้หยิบพริกเผ็ดของซูหวานหว่านมาสองสามเม็ด วางลงในถ้วยพร้อมกับพูดว่า เจ้าสามารถใช้เม็ดพริกเหล่านี้มาปรุงผัดเผ็ดเนื้อกระต่ายป่าได้
จะให้นางเป็นคนผัดจริง ๆ หรือ?
ทันใดนั้นสีหน้าของซูฉิงฉิงก็เปลี่ยนไป ซึ่งแม่เจิ้นไม่ได้ขยับเขยื้อนร่างกายไปไหน ในเมื่อเจ้าบอกกับอาว่าเจ้าทำอาหารได้ งั้นข้าจะให้เจ้าลงมือทำอาหารบ้างดีหรือไม่? เดี๋ยวข้าจะรอชิมฝีมือของเจ้านะ
หลังจากที่แม่เจิ้นเอ่ยจบ ซูหวานหว่านก็ได้ตะโกนเรียกแม่ของตนเองออกมาเพื่อจะได้มาช่วยกันคัดผักป่า พร้อมกับทิ้งซูฉิงฉิงเอาไว้ผู้เดียวในครัว ทิ้งให้อีกฝ่ายรู้สึกจนใจเพราะปากของตัวเอง!
สองคนนั้นช่างไม่เข้าใจคำว่ามารยาทเสียจริง ๆ! ช่างโง่เง่า! สุดท้ายก็ให้นางเป็นคนทำอาหารจนได้
ที่นางเคยบอกว่าทำอาหารเป็น มันเป็นเรื่องไร้สาระทั้งสิ้น
แม่เจิ้นออกไปจากห้องครัว ซูฉิงฉิงก็ได้เดินเข้าไปช้า ๆ ที่เตา มองดูเปลวไฟที่ลุกโชนก็เกิดตกใจ เพราะไม่เคยเข้าห้องครัวทำอาหารมาก่อน
นางวางกระทะลงบนเตา ใช้ช้อนตักน้ำมันเล็กน้อยใส่ลงไปในกระทะและรอให้น้ำมันร้อน
แม่เจิ้นรู้สึกเป็นกังวลจึงเดินกลับเข้ามาในครัวอีกครั้งพร้อมกับมองนางทำอาหาร เจ้าสามารถใส่พริกลงไปผัดได้แล้ว
ซูฉิงฉิงตกตะลึงเมื่อนึกถึงพริกเม็ดแดงที่แม่เจิ้นวางเอาไว้ให้ นางหยิบเม็ดพริกใส่ลงไป พอเห็นแบบนั้นแม่เจิ้นก็รีบพูดขึ้นมาทันทีว่า เจ้าควรตัดขั้วมันออกก่อนนะ! หรือเจ้าจะหักมันออกเลยก็ได้!
เจ้าค่ะ ซูฉิงฉิงกัดฟันพูดตอบอย่างแผ่วเบา นางเด็ดขั้วพริกออกแล้วโยนเข้าไปในกระทะอีกครั้ง ทว่าจู่ ๆ ดวงตาของนางก็เกิดอาการคันขึ้นมา จนอดจะเช็ดเหงื่อบนใบหน้าไม่ได้ พอนางใช้มือเช็ดไปที่ตาของตนเองก็รู้สึกแสบร้อน น้ำตาไหลออกมาอย่างควบคุมไม่ได้
อาสะใภ้สาม… เสียงของซูฉิงฉิงกล่าวออกมาอย่างสั่นเครือ
เหตุใดถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้! แม่เจิ้นวางผักลงแล้ววิ่งเข้าไปดูที่ห้องครัว
ซูหวานหว่านมองเข้าไปในห้องครัว ก็พบเนื้อกระต่ายที่ยังไม่ได้หั่นเป็นชิ้น ๆ อยู่ด้านข้าง ทำให้นางรู้สึกมีความสุข บางทีนี่อาจจะเป็นก้าวแรกในการเปิดเผยใบหน้าที่จอมปลอมของซูฉิงฉิงก็เป็นได้
ซูหวานหว่านได้ยินเสียงฝีเท้าเคลื่อนไหว จึงหันกลับไปมองก็พบว่าเป็นเหล่าป้า น้า อาทั้งหลายกำลังพูดคุยและหัวเราะอยู่ด้านนอก นางจึงรีบตะโกนเรียกพวกนางเอาไว้ ท่านป้าทั้งหลายเจ้าคะ! วันนี้ลูกพี่ลูกน้องของข้ามาหา! ตอนนี้นางกำลังทำอาหารอยู่ในครัว กำลังทำผัดเผ็ดเนื้อกระต่ายป่าอยู่ พวกท่านอย่างเพิ่งรีบไป มาชิมฝีมือนางกันก่อนเถิดเจ้าค่ะ!
ดีเลย!
พอบอกว่าเป็นผัดเผ็ดเนื้อ ทุกคนก็รีบวิ่งเข้ามาในบ้าน!
ซูฉิงฉิงที่ยืนอยู่ในครัวถึงกับผงะไปชั่วครู่ และเกิดความกระวนกระวายใจขึ้นมา
คนอื่นจะต้องดูออกแน่ ๆ ว่าเรื่องที่นางพูดมันคือเรื่องโกหก
ไม่ได้! จะให้มีผู้ใดรู้ว่านี่คือเรื่องหลอกลวงไม่ได้เด็ดขาด!
ซูฉิงฉิงรู้สึกกระวนกระวายใจเล็กน้อย และซูหวานหว่านก็ได้เผยยิ้มออกมา
ซูฉิงฉิงเช็ดน้ำตาของตัวเองอย่างเบา ๆ แล้วดึงตัวของแม่เจิ้นออกมายืนอยู่ด้านข้าง นางพยายามเบิกตากว้างและหันหลังกลับมาทำอาหารต่อ นางเสแสร้งทำเป็นหาฟืนใส่ลงไปในเตาด้วยท่าทางสงบนิ่ง
ทุกคนก็วิ่งเข้ามาหาพร้อมกับพูดว่า นี่ไม่ใช่ซูฉิงฉิงหรอกเหรอ? ทำอาหารเป็นด้วย! เมื่อก่อนข้าเคยได้ยินชาวบ้านในหมู่บ้านลือกันว่าฝีมือของนางสามารถเอาชนะพ่อครัวของร้านอาหารไท่อันได้เลย!
จะเอาร้านอาหารไท่อันมาเปรียบเทียบได้อย่างไรกัน ตอนนี้ร้านอาหารที่ขึ้นชื่อที่สุดในเมืองคือร้านเจวียเซ่อต่างหาก เจ้าควรเอาร้านเจวียเซ่อมาเปรียบเทียบสิถึงจะถูก!
…
เมื่อได้ยินคำอวยตัวเองนางรู้สึกโล่งใจทันที ซูฉิงฉิงได้ยินก็ยิ้มออกมาอีกครั้ง
พี่ฉิงฉิง ดูเหมือนว่าพริกจะผัดได้ที่แล้วนะ ทำไมยังไม่ใส่เนื้อกระต่ายลงไปผัดอีก? ซูหวานหว่านพูดเตือน
ซูฉิงฉิงพยักหน้าเบา ๆ และพูดอย่างใจเย็นว่า ใช่ ถึงเวลาที่จะต้องใส่เนื้อกระต่ายลงไปผัดแล้ว
ทว่าเมื่อมองไปที่เขียงไม้ เนื้อกระต่ายครึ่งตัวยังคงอยู่! ยังไม่ได้ถูกหั่นเป็นชิ้น ๆ เลย!
ทุกคนต่างจ้องมองไปยังซูฉิงฉิงจนนางทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย ซูหวานหว่านก็ได้พูดว่า พี่ฉิงฉิงท่านลืมหั่นเนื้อเหรอ? เช่นนั้นท่านก็ควรเอาฟืนออกก่อนเพื่อไฟจะได้ไม่แรงเกินไป พอท่านหั่นเนื้อเสร็จก็ค่อยใส่ฟืนเพิ่มลงไปอีก ดีกว่าหรือไม่? ซูหวานหว่านออกความเห็น
ไม่จำเป็น ซูฉิงฉิงคว้ามือของซูหวานหว่าน แล้วพูดออกมาอย่างอ่อนโยนพร้อมกับบิดไปที่มือของนางอย่างแรง น้องหวานหว่าน เจ้ายืนพักอยู่ข้าง ๆ จะดีกว่านะ
พอพูดจบซูฉิงฉิงจึงปล่อยมือออกจากข้อมือของซูหวานหว่าน เมื่อเห็นรอยแดงที่ข้อมือของหวานหว่านก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมา จากนั้นนางก็ได้ใส่กระต่ายแห้งครึ่งตัวลงไปในกระทะ
ทุกคนต่างพากันแปลกใจ นางจะไม่หั่นเนื้อกระต่ายเลยหรือ แล้วพวกเราจะกินเข้าไปได้อย่างไรกัน!?
ซูฉิงฉิงค่อย ๆ ขบริมฝีปากของตัวเอง เพราะว่านางมีแผนอยู่ในใจแล้ว
แต่นางนั้นไม่รู้ตัวเลยว่าซูหวานหว่านกำลังรอให้นางตกลงไปในกับดักที่นางวางเอาไว้ด้วยเช่นเดียวกัน