ตอนที่ 7 ที่บ้านมีเสบียงเหลือ
กลุ่มทหารอารักขาและรถม้าหนึ่งคันออกเดินทางจากเมืองหลินเจียงในตอนย่ำรุ่ง และมุ่งหน้าไปสู่หมู่บ้านเสี้ยชุน
ภายในรถม้านั้นมีเจ้านายและบ่าวรับใช้อยู่กัน 2 คน แน่นอนว่าเจ้านายก็คือต่งชูหลาน และบ่าวรับใช้เพียงหนึ่งเดียวที่นางให้ติดสอยห้อยตามมาด้วยก็คือเสี่ยวฉี
เสี่ยวฉีใช้มีดเล่มเล็กหั่นแอปเปิลแล้วส่งไปให้ต่งชูหลาน ก่อนจะเอ่ยถาม “คุณหนูเจ้าคะ บ่าวมิค่อยเข้าใจ งานชุมนุมเหล่านักกวีแห่งหลินเจียงเมื่อวาน พ่อค้าผ้าทั้งสี่และพ่อค้าข้าวทั้งสามต่างก็มาโดยมิได้รับเชิญ… เป็นการเปิดเผยว่าจะยอมถอยอย่างเห็นได้ชัด ตามที่บ่าวมอง หากเมื่อวานคุณหนูให้กระดาษอวยพรแก่ชวูจี้ พันธมิตรพ่อค้าผ้าจะสลายตัวไปในที่สุด ราคาเยี่ยงนี้… คงคิดกันว่าจะคุยได้ตามที่ต้องการ”
ต่งชูหลานเล็มแอปเปิล แล้วกล่าวยิ้ม ๆ “เสี่ยวฉีของข้าก้าวหน้าได้รวดเร็วเสียจริง แต่ว่า… เจ้าลองใคร่ครวญอีกครา หากเมื่อคืนวานข้าให้กระดาษอวยพรแก่ชวูจี้ ในสายตาของเหล่าจิ้งจอกเฒ่าจะคิดว่าข้ากำลังกระวนกระวายใช่หรือไม่ นอกจากนั้น เจ้าอย่าได้ลืมว่าชวูซู่เหมยบุตรีคนรองของชวูชั่งหลายของบ้านชวูจี้ก็เป็นสะใภ้ของตระกูลจาง และบุตรชายคนโตของตระกูลจางก็ได้สมรสกับบุตรฮูหยินใหญ่ของหลิวจี้ บุตรชายอนุของตระกูลหวงก็ได้สมรสกับบุตรีคนโตของพ่อค้าข้าวหยางจี้… ภายในนี้ล้วนเป็นตาข่าย ผลประโยชน์ของพ่อค้าเหล่านี้ผูกมัดกันไว้ด้วยการเกี่ยวดอง เจ้าคิดว่ามันจะแตกหักได้อย่างง่ายดายหรือ ? ”
ต่งชูหลานส่ายหน้าและเอ่ยอย่างเกียจคร้านเล็กน้อย “สองเดือนกว่าที่ผ่านมานี้ สิ่งที่พวกเขากระทำ เป็นเพียงสิ่งที่ต้องการให้ข้ารับรู้ถึง”
เสี่ยวฉีขมวดคิ้วนิ่ว และเอ่ยถาม “จะกล่าวว่า ที่ยอมล่าถอยให้ ความจริงแล้วพวกเขาได้มีการเจรจากันแล้วหรือเจ้าคะ”
“ไม่ใช่ไปเสียทั้งหมด ในนั้นยังคงมีสิ่งที่พวกเขากังวลใจ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องการเพียงพ่อค้าผ้าและข้าวเพียงเจ้าเดียวเท่านั้น ขนมเปี๊ยะก้อนใหญ่เพียงนี้ หากใครได้ทานก็จะเป็นผู้ชนะ เมื่อมีผลประโยชน์มากพอ การเกี่ยวดองกัน ก็มิใช่สิ่งที่หนักแน่นเพียงพอ”
“เยี่ยงนั้นการที่พวกเราเดินทางไปที่หมู่บ้านเสี้ยชุนเพื่อพบตระกูลฟู่… มันมีความหมายใดเจ้าคะ”
“ประการแรกคือเพื่อปรามพวกเขา ประการที่สอง ข้ากำลังจะบอกพ่อค้าข้าวรายใหญ่ทั้งสามว่า หากพวกเขาไม่เคลื่อนไหว ข้าก็จะทำการถอนฟืนใต้กระทะเสีย”
“หากตระกูลฟู่มิรับ จะเป็นเยี่ยงไรเจ้าคะ”
“ย่อมรับ ตระกูลฟู่มีที่นานับหมื่นในหลินเจียง ผลผลิตของพวกเขานั้นครอบครองสัดส่วนในหลินเจียงถึง 2 ส่วน หากตระกูลฟู่เป็นพ่อค้าหลวง แค่ผลผลิตข้าวขั้นต้นของพวกเขาก็เพียงพอที่จะให้บิดาส่งไปทางใต้ได้แล้ว บางทีผลกำไรของพวกเขาอาจจะลดลงมาเล็กน้อย แต่ชื่อเสียงพ่อค้าหลวงนั้นสำคัญยิ่งกว่า ข้ามิเชื่อว่าฟู่ต้ากวนจะเป็นเพียงเจ้าของที่ดินมากมายในหลินเจียง แล้วจะไม่ดำเนินกิจการอื่นไปด้วย”
ต่งชูหลานไม่ได้กล่าวว่าได้รับจดหมายลายมือของบิดา นางค่อนข้างไม่เข้าใจว่าเจ้าของที่ดินขนาดใหญ่ในหลินเจียงมารู้จักกับบิดาของนางได้เยี่ยงไร
แน่นอนนี่เป็นเพียงแค่ความอยากรู้เท่านั้น สิ่งที่สำคัญก็คือนางต้องแสดงท่าทีออกไปให้ชัดเจน ให้พ่อค้าข้าวรายใหญ่ทั้งสามแห่งในเมืองหลินเจียงเกิดความระแวง
ต่อให้ตระกูลฟู่ไม่รับ แต่ตราบใดที่ผลลัพธ์ในการเดินทางไปยังตระกูลฟู่นั้นยังคลุมเครือ ก็เพียงพอที่จะทำให้พ่อค้าข้าวทั้งสามวุ่นวายได้แล้ว
และถ้าอยากให้ตระกูลฟู่แสดงท่าทีออกมาก็ยิ่งง่ายดายนัก บุตรชายผู้โง่เขลาของเขาเคยล่วงเกินนางไว้
บุตรชายเพียงคนเดียวของฟู่ต้ากวน ตราบใดที่จับบุตรชายของเขาไว้ได้ ฟู่ต้ากวนก็ทำได้แค่เชื่อฟังคำสั่งเท่านั้น
ดังนั้นการเดินทางในครั้งนี้ นับตั้งแต่ที่นางเดินทางออกจากหลินเจียง นางก็ได้ชัยชนะเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
……
…..
หมู่บ้านเสี้ยชุน เรือนซีซาน
“นายท่าน นายท่าน”
ชุนซิ่วหยิบกระดาษสองแผ่นและปรี่เข้าไปหาฟู่ต้ากวน
“มีเรื่องอันใดกัน เหตุใดต้องลุกลี้ลุกลนถึงเพียงนั้น ? ”
“คุณชาย คุณชายเจ้าค่ะ คุณชายเป็นเหวินฉวี่ซิงลงมาจุติ ! ”
ฟู่ต้ากวนชะงักฝีเท้าพลางตะลึงงัน เหวินฉวี่ซิง… เหมือนว่าจะไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดกับบุตรชายของตนเลย
“นายท่านอ่านเจ้าค่ะ เมื่อคืนวานคุณชายแต่งกลอนไว้สองบท”
ใจของฟู่ต้ากวนเริ่มบีบรัด “ให้ข้าดู… ตัวอักษรนี้… กลอนสองบทนี้ บุตรชายของข้าเป็นคนแต่งขึ้นมาจริง ๆ งั้นรึ?”
“เจ้าค่ะ” ชุนซิ่วพยักหน้าอย่างหนักแน่น แล้วกล่าวอีกว่า “เมื่อคืนวานบ่าวฝนหมึกให้คุณชาย คุณชายใช้เวลาสั้น ๆ ในการครุ่นคิด แล้วจึงแต่งกลอนขึ้นมาหนึ่งบท นามว่าบทกวีทิศใต้ ในเวลานั้น บ่าวเอง… ก็ไม่อยากจะเชื่อเสียเท่าไหร่ ดังนั้นคุณชายจึงแต่งบทที่สองขึ้นมาทันพลัน เพียงแค่ไม่มีชื่อกลอน”
ฟู่ต้ากวนบีบกระดาษในมือพร้อมกับพลิกอ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่า สองมือสั่นเทาเล็กน้อย ใบหน้าแดงระเรื่อ เหมือนกับว่าในดวงตานั้นจะมีประกายของน้ำตา
“บุตรชายข้า… บุตรชายของข้า นี่มัน นี่มัน… ได้เปิดเผยพรสวรรค์ออกมาแล้ว ! ”
ในใจของชุนซิ่วเองก็ยินดีเป็นอย่างมาก “เจ้าค่ะ” นางพยักหน้าอย่างหนักแน่นอีกครา
ในยุคนี้ บทกวีมีบทบาทมาก และสถานะของปัญญาชนก็สูงส่งอย่างมาก หากตระกูลใดให้กำเนิดบุตรชายที่มีพรสวรรค์เช่นนี้ จะเป็นเรื่องที่น่ายินดี
ตระกูลฟู่เป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในหลินเจียง พวกเขาทำการค้ามาแล้วสามรุ่น มีทรัพย์สมบัติเหลือกินเหลือใช้ แต่กลับมีกลิ่นอายปัญญาชนไม่มากนัก
ไร้กลิ่นอายปัญญาชนก็ถือว่าเป็นตระกูลที่ไร้ภูมิหลัง ในสายตาของคนทั่วไป พ่อค้าคือผู้ที่แสวงหาผลกำไร ตัวตนของพ่อค้านั้นต่ำต้อยนัก แม้ว่าจะร่ำรวยก็ตาม แต่ในสายตาของผู้อื่น ก็เป็นเพียงแค่ทองแดงที่ด้อยกว่าผู้อื่น
เพื่อให้ฟู่เสี่ยวกวนได้เผยกลิ่นอายปัญญาชน ฟู่ต้ากวนจึงทำงานให้หนักขึ้น แต่ท้ายที่สุดก็ต้องปล่อยวาง เพราะความจริงนั้นปรากฏให้เห็นแล้วว่าฟู่เสี่ยวกวนมิได้ฝักใฝ่ในการศึกษาเลย
ฟู่ต้ากวนมิได้กล่าวอันใด แต่ในใจนั้นเสียใจอย่างถึงที่สุด
ไหนเลยจะคาดคิดว่าในยามเช้าตรู่เช่นนี้ ชุนซิ่วจะนำเรื่องประหลาดใจที่ยิ่งใหญ่เยี่ยงนี้มาให้เขา นี่มัน…. ฟ้ามีตาอย่างแท้จริง
“ฟ้ามีตาแล้ว! บุตรของข้า บุตรของข้า มีอนาคตแล้ว!”
“ไปที่หมู่บ้านเสี้ยชุนแล้วนำกระดาษทั้งสองนี้ไปใส่กรอบ ต้องเป็นช่างที่ฝีมือดีที่สุด นี่คือหลักฐานทางวรรณกรรมของบุตรชายข้า อย่าได้ประมาท”
“เจ้าคะ”
ชุนซิ่วรับสั่งและวิ่งออกไปด้วยความยินดี ฟู่ต้ากวนเดินไปเดินมาอยู่ที่ระเบียงทางเดิน จิตใจที่พลุ่งพล่านนั้นมิอาจสงบลงได้
กลับจวนไปครั้งนี้ เห็นทีจะต้องทำพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษซะแล้ว !
บุตรชายของข้าเล่า ข้าจักต้องไปถามไถ่
เมื่อฟู่เสี่ยวกวนออกกำลังยามเช้าเสร็จแล้ว ก็นั่งลงบนก้อนหินข้าง ๆ สนามฝึกวิทยายุทธ์ ชมไป๋ยู่เหลียนร่ายรำดาบ
สายลมอันเย็นเยือกจากคมดาบนั้น นำพาพลังอันน่าสะพรึง และทำให้ทุกคนที่เห็นต่างก็พากันเลื่อมใส
ครึ่งชั่วยามผ่านไป ในที่สุดไป๋ยู่เหลียนก็เก็บดาบ และนั่งลงข้าง ๆ ฟู่เสี่ยวกวน
“ข้าสามารถฝึกสิ่งนี้ได้หรือไม่” ฟู่เสี่ยวกวนพินิจพิจารณาดาบในมือ มันค่อนข้างหนัก คาดว่าน่าจะหนักประมาณ 30 ชั่ง
ไป๋ยู่เหลียนส่ายหน้า เขาหยิบน้ำเต้าสุราจากเอวขึ้นมาดื่ม ภายในนั้นบรรจุด้วยยอดสุราซีซาน
“ประการแรก การฝึกวิทยายุทธ์มิใช่กระทำได้ภายในหนึ่งวัน โดยเฉพาะกำลังภายใน อายุเจ้าก็เติบใหญ่แล้ว โครงสร้างของเจ้าเป็นรูปลักษณ์แบบพื้นฐาน มิได้มีโครงสร้างที่ยืดหยุ่น”
“ประการต่อมา” ไป๋ยู่เหลียนเหลือบมองฟู่เสี่ยวกวน “ร่างกายของเจ้าอ่อนแอเกินไป แม้จะแกว่งดาบได้ แต่ก็ดูไม่มีพลัง ดาบนั่นจำเป็นต้องใช้ความดุดันที่ไร้ซึ่งความเกรงกลัวใด ๆ ละทิ้งโลหิต ปราณ จิต ข้า เขาและใครไป นอกจากนี้แขนขาของเจ้าก็ดูบอบบางมาก…” ไป๋ยู่เหลียนส่ายหน้าอีกครา “ไม่มีทาง”
“สุดท้าย เจ้าเป็นคุณชายตระกูลเศรษฐีที่ดินที่มั่งคั่งและสุขสบายมาทั้งชีวิต จะฝึกฝนวิทยายุทธ์ไปเพื่อการใด ? งานนี้ลำเค็ญยิ่งนัก เป็นไปไม่ได้ที่จะสำเร็จในวันเดียว”
ฟู่เสี่ยวกวนหยิบดาบและยืนขึ้น เขาสะบัดดาบไปมา เดินไปข้างหน้าไม่กี่ก้าวกวัดแกว่งดาบไปได้ไม่เท่าไหร่ก็กลับมา
ร่างนี้อ่อนแอเกินไป ออกดาบไปได้ไม่กี่กระบวนท่าก็รับรู้ได้ว่าร่างนี้สิ้นแรงแล้ว
วางดาบและนั่งลง เขาเอ่ยถามขึ้นมาว่า “ข้ามิได้ต้องการเป็นผู้มีฝีมือที่สูงส่งอันใด เพียงแค่ต้องการฝึกกำลังภายในเท่านั้น… และสามารถลอยไปในอากาศได้ชั่วครู่ ก็เพียงพอแล้ว”
ไป๋ยู่เหลียนเงียบไปอึดใจ “กำลังภายในของข้าเหมาะกับวิถีดาบ แต่ถ้าหากเจ้ายังดึงดันที่จะไปต่อ ร่างกายของเจ้าจะรับไม่ไหว”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าด้วยความผิดหวังเล็กน้อย ไป๋ยู่เหลียนครุ่นคิดแล้วกล่าวว่า “ 4 พรรคใหญ่แห่งเจียงหู มีภูเขาดาบของข้า ป่ากระบี่ สำนักเต๋าและนิกายฝู ในบรรดาพรรคเหล่านี้ มีที่ที่เหมาะสมกับเจ้าก็คือสำนักเต๋าและนิกายฝู เนื่องจากพื้นฐานกำลังภายในของพวกเขาคือเส้นทางที่นุ่มนวล บริสุทธิ์ และหนักแน่น ส่วนหลักของเตาชานและเจี้ยนหลิน ส่วนใหญ่เป็นการฆ่าฟันและฝึกฝนกำลังภายในให้แข็งแกร่ง หากได้ฝึกตั้งแต่ยังเล็กย่อมได้อย่างแน่นอน… เจ้าฝึกไปในตอนนี้ มีแต่จะเสียใจ”
“ยังมิต้องรีบร้อน ร่างนี้ยังอ่อนแอนัก ข้าต้องใช้เวลารักษาอีกสักพัก เสี่ยวไป๋…”
“อย่าได้เรียกข้าว่าเสี่ยวไป๋”
“โอ้ ยอดเยี่ยม เสี่ยวไป๋ ข้าเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน เมื่อกลับไปถึงหลินเจียง องครักษ์ทั้งหมดในจวนจะถูกส่งต่อให้เจ้า เจ้าสามารถฝึกฝนพวกเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย แน่นอนไม่หมายความว่าให้ฝึกพวกเขาจนกลายเป็นยอดฝีมือแบบชาวลวี่หลิน เพียงแค่ได้สัก 1 ใน 10 ส่วนของเจ้าก็เพียงพอแล้ว คิดว่าไง ? ”
ไป๋ยู่เหลียนมองใบหน้าที่หล่อเหลาของฟู่เสี่ยวกวน ก่อนจะผูกน้ำเต้าสุราไว้ที่เอวและลุกขึ้นยืน
“เจ้ามีใบหน้าที่งดงามกว่าข้าก็จริง แต่อย่าเพ้อฝันไปหน่อยเลย”
กล่าวจบเขาก็หันหลังเดินจากไป ฟู่เสี่ยวกวนลูบจมูก และหัวเราะอย่างเงียบ ๆ
คนผู้นี้เป็นยอดฝีมือ แน่นอนว่ายอดฝีมือย่อมมีฐานะที่ทรงเกียรติ เปรียบเสมือนคลังมหาสมบัติ หากไม่ขุดนำของออกมาฟู่เสี่ยวกวนคงไม่สบายใจ แต่เรื่องนี้ไม่สามารถรีบร้อนได้ ต้มกบในน้ำอุ่น[1] ดูสิว่าข้าจะต้มเจ้าจนตายได้รึไม่!
ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นและยืนปัดก้น จากนั้นก็กลับไปอย่างสบาย ๆ
ฟู่ต้ากวนนั่งอยู่ในศาลา และชงชาอย่างดีขึ้นมาหนึ่งกา เมื่อเห็นฟู่เสี่ยวกวนเดินมา ก็รีบโบกมือเรียกอย่างว่องไว
“ลูกชาย พ่อตัดสินใจที่จะจบการเดินทางในครั้งนี้ให้เร็วขึ้นเล็กน้อย”
“เพราะเหตุใดกัน ? ”
“บุตรของข้ามีพรสวรรค์ทางวรรณกรรมที่ยอดเยี่ยม พ่อตัดสินใจจะกลับหลินเจียงให้เร็วขึ้น และจัดการชุมนุมเหล่านักกวีเพื่อบุตรของข้า เพื่อให้บุตรของข้ามีชื่อเสียงยิ่งขึ้น เจ้าคิดเห็นว่าอย่างไร ? ”
มือที่ถือถ้วยชาของฟู่เสี่ยวกวนชะงักค้าง นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้น ?
“ท่านอย่าได้ทำ!”
“บุตรของข้าช่างถ่อมตน บทกวีสองบทที่เจ้าได้แต่งให้พ่อได้เห็นนั้น ราวกับเหวินฉวี่ซิงลงมาจุติ นี่คือนิมิตหมายของตระกูลฟู่เรา…บุตรชายของข้ามีพรสวรรค์ถึงเพียงนี้ ย่อมไม่สามารถปิดบังเอาไว้ได้”
ฟู่ต้ากวนรินน้ำชา สีหน้าพึงพอใจ ทั้งยังกล่าวอีกว่า “ราชวงศ์หยูกำหนดโลกด้วยกำลัง มองวรรณกรรมเป็นความเจริญรุ่งเรือง จนถึงวันนี้เป็นเวลาสองร้อยกว่าปี วรรณกรรมถูกสืบทอดมาจนถึงปัจจุบันนี้ เปรียบเสมือนผู้มีชื่อเสียงที่กำลังเฟื่องฟู ความสามารถของบุตรชายข้ากำลังเริ่มปรากฏ แน่นอนว่านี่ต้อง…”
ฟู่เสี่ยวกวนโบกสองมือ รีบขวางคำพูดของฟู่ต้ากวนเอาไว้
“ท่านพ่อ บุตรชายของท่านเป็นเยี่ยงไร ท่านยังมิเข้าใจหรือ ตัวข้า… ไร้พรสวรรค์ทางวรรณกรรม กลอนสองบทนั้นเพียงแค่แล่นผ่านเข้ามาในหัวเท่านั้น ศีรษะข้าได้รับบาดเจ็บ บางคราก็กระจ่างแจ้ง แต่บ่อยครั้งที่ไม่ได้เป็นเยี่ยงนั้น หากท่านกล่าวว่าท่านต้องการจัดงานชุมนุมเหล่านักกวีขึ้นมาอย่างยิ่งใหญ่ แล้วถ้าเวลานั้นข้ามิสามารถนึกออกได้ จะลงจากเวทีได้เยี่ยงไรกัน มีแต่จะทำให้ผู้คนหัวเราะเยาะได้ อีกทั้งยังทำให้ตระกูลฟู่ต้องเสียหน้าไปด้วยใช่หรือไม่?”
รอยยิ้มบนใบหน้าฟู่ต้ากวนค่อย ๆ เลือนหายไป ใช่ ศีรษะบุตรชายข้าได้รับบาดเจ็บ บทกวีสองบทนั้นเป็นเพียงการเผยพรสวรรค์ออกมาเพียงเล็กน้อย… เป็นข้าที่ดีใจจนอดไม่ไหว
“บุตรชายข้ามีเหตุผล ตักเตือนพ่อในยามที่กำลังบุ่มบ่าม… แต่บุตรของข้าก็หาได้รีบร้อนไม่ บทกวีนั้นเป็นเรื่องของธรรมชาติมาตั้งแต่สมัยโบราณกาล ได้แต่อาศัยโอกาสเพียงเท่านั้น หากคิดขึ้นมาได้ก็จดลงในกระดาษ ต่อจากนี้หากมีงานชุมนุมเหล่านักกวีก็ให้เข้าร่วม ปล่อยให้มือไหลไปตามอารมณ์ เป็นวิธีการที่รอบคอบยิ่งนัก”
บิดาและบุตรชายต่างดื่มน้ำชาด้วยกันชั่วครู่ ฟู่ต้ากวนก็ได้พาฟู่เสี่ยวกวนไปยังอาคารตะวันตกของเรือน นั่นก็คืออาคารที่มีความสูงถึงสามชั้น ในนั้นนอกจากเสบียงอาหารแล้ว ก็ไม่มีสิ่งอื่นใดอีก
“ทั้งหมดนี้ เป็นของเจ้า ! ”
ฟู่ต้ากวนภูมิใจเป็นอย่างมาก ฟู่เสี่ยวกวนมองยุ้งฉางขนาดใหญ่ที่อยู่ในอาคารหลังโต แล้วกลืนน้ำลายในทันที
บ้านมีเสบียงเหลือจิตใจจะไม่ว้าวุ่น นับประสาอันใดกับเสบียงที่เยอะถึงเพียงนี้
เพียงแต่การนำเสบียงมากองรวมไว้ในที่เดียวกันเยี่ยงนี้ ค่อนข้างอันตรายไม่น้อย!
ชั่วพริบตาก็เที่ยงตรงแล้ว ชุนซิ่วประคองบทกวีที่ไปใส่กรอบมาไว้แน่น ขณะนั่งรถม้าเดินทางไปที่เรือน แต่รถม้านั้นกลับหยุดอยู่ที่ปากทางเข้าประตูเรือน
นางเลิกผ้าม่านเหลือบมอง ก็พบว่าทางด้านหน้านั้นมีรถม้าอยู่หนึ่งคัน ทั้งยังมีองครักษ์อีกมากกว่าสิบนาย
“คือผู้ใดกัน”
[1] ต้มกบในน้ำอุ่น เป็นสำนวนจีนที่มีความหมายว่า ใช้ชีวิตไปเรื่อย ๆ อย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว ซึ่งถึงวันหนึ่งก็จะรู้ตัวว่าสายไปเสียแล้ว