ตอนที่ 22 คำภีร์ฉุนหยางซินจิง
ท้องฟ้าสว่างสดใส แดดส่องลานกว้างทอแสงสว่างสีทอง
ฟู่เสี่ยวกวนเขียนความฝันในหอแดงตอนที่หกเรียบร้อยแล้ว เขาเดินมายังลานกว้างและหรี่ตาลงเล็กน้อย เนื่องจากแสงแดดที่เจิดจ้า
ลานกว้างเช่นนี้ เหตุใดจึงเงียบสงบไร้เสียงใด ๆ ทำให้เขาเกิดความประหลาดใจเป็นอย่างยิ่งจึงเดินออกมาด้านนอกจวน แต่ก็ยังไร้ซึ่งเสียงใด ๆ
ทุกคนไปไหนกันหมด?
หากในเวลานี้มีขโมยเข้ามา เกรงว่าทรัพย์สินคงถูกยกไปหมดสิ้น
เมื่อเขาเดินมาถึงปากทางข้ามผ่านธรณีประตู พบว่ามียามอยู่ 2 คน
“คนอื่น ๆ เล่า?”
“เรียนคุณชาย คนอื่น ๆ เดินทางไปที่หยู๋ฝูจี้หมดแล้วขอรับ”
“……ไปที่นั้นหมดทุกคนเลยหรือ?”
“ใช่ขอรับ นายท่านกล่าวว่าคนที่หยู๋ฝูจี้นั้นมีไม่เพียงพอ นอกจากนายหญิงและบ่าวของนางแล้วนั้น ทุกคนล้วนไปช่วยงานที่หยู๋ฝูจี้กันหมดขอรับ”
ฟู่เสี่ยวกวนแหงนหน้ามองท้องฟ้า เอามือไพล่หลังแล้วเดินไปที่สวนหลังบ้าน
“โชคดีที่ข้านำเหล้าสำหรับมอบให้ต่งชูหลานกลับมาแล้ว มิเช่นนั้นคงถูกพวกเขาแย่งซื้อไปเสียหมด!”
เขานั่งอยู่ในลานกว้างใหญ่เช่นนี้แต่เพียงลำพัง เขาต้มชาและรินชา ดื่มชาด้วยตนเอง เขารู้สึกว่าช่างมีความสุขเสียจริง
เขามายังที่แห่งนี้ได้หนึ่งเดือนพอดี ภาพรวมสำหรับฟู่เสี่ยวกวนนับว่าถูกใจเขามากเสียทีเดียว
แม้จะขาดการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ ทำให้หลาย ๆ เรื่องเกิดความไม่สะดวก แต่ชีวิตก็ดำเนินไปอย่างเรียบง่ายและสงบ ไม่ได้มีความกดดันทางจิตใจเลยแม้แต่น้อย เขาค่อย ๆ เคยชินกับการเข้านอนแต่หัวค่ำและตื่นขึ้นมาอีกคราในเวลาเช้าตรู่
เรื่องราวที่ในอดีตยังทำไม่สำเร็จนั้นก็มีเวลาในการทำเพิ่มมากขึ้น ความรักที่ในชาติที่แล้วไม่เคยได้มี ในชาตินี้เขาหวังว่าจะได้รู้จักมันสักครา
ฟู่เสี่ยวกวนนอนบนเก้าอี้เอนกายอย่างสบายใจ ทันใดนั้นเขาก็มองเห็นร่างหนึ่งบินร่อนลงมาจากฟ้า และตามด้วยอีกร่างหนึ่งบินลงมา เขาลุกขึ้นนั่งแล้วยิ้มไปที่ผู้นั้น
ไป๋ยู่เหลียน
เขายังคงสวมใส่ชุดสีดำแขวนดาบไว้ที่ด้านหลัง เพียงแต่เสื้อผ้านั้นขาดวิ่น อีกทั้งบนใบหน้าอันหล่อเหลามีรอยแผลเป็นเพิ่มมาให้เห็นเป็นจุดด่างพร้อย
“นี่คือคุณชายของข้า”
“นี่คือนักบวชเต๋า……ซูม่อ” ไป๋ยู่เหลียนกล่าวแนะนำนักบวชให้แก่เขา
ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นและมองไปที่นักบวชเต๋าเพียงแวบหนึ่ง จากนั้นก็จ้องไปยังรอยแผลเป็นบนใบหน้าของไป๋ยู่เหลียน ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถามว่า “เกิดอันใดขึ้นกัน?”
“เรื่องเล็กน้อย”
“คน ๆ นี้……มีความเป็นมาอย่างไร?”
“ต่อจากนี้ เขาคือผู้ที่จะมาสอนท่านในเรื่องของกำลังภายในและวิชาตัวเบา”
“เขาเป็นใครกัน?”
“ซูม่อ……ศิษย์ก้นกุฏิของหัวหน้าสำนักเต๋า หากมีเขาผู้นี้อยู่ข้างกายท่าน ข้าก็หมดกังวล”
ฟู่เสี่ยวกวนมีสีหน้าประหลาดใจ “เจ้าจะไปไหนอย่างนั้นหรือ?”
“ข้าเองยังต้องออกเดินทางไปอีกที่หนึ่ง ในครั้งนี้ใช้เวลาค่อนข้างนาน ดังนั้นข้าจึงได้ไปขอให้ซูม่อมาดูแลท่านแทนข้า”
“จะไปเมื่อใดกัน?”
“ตอนนี้”
“……”
หากว่าบนโลกนี้มีผู้ที่อยู่ว่าง ๆ อย่างเช่นฟู่เสี่ยวกวนอยู่ นั่นก็ย่อมมีผู้ที่ยุ่งอย่างไป๋ยู่เหลียนเฉกเช่นกัน
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เอ่ยถามว่าเขาจะเดินทางไปที่ใด เขาเอ่ยเพียงว่า “เจ้าจงไปที่เรือนซีซานเถิด นำเหล้าไปให้พอควร อย่าให้ร่างกายได้รับบาดเจ็บ พวกเรายังมีเรื่องต้องทำอีกมากมาย จำไว้ว่าต้องเหลือชีวิตกลับมา”
“ข้าไม่ตายเป็นแน่ ข้าไปครานี้นานสุดใช้เวลาครึ่งปีและเร็วสุด 3 เดือน……เจ้านี่มีกำลังภายในที่แข็งแกร่ง เขาเองก็รักในสุราเช่นเดียวกับข้า แต่เขาติดหนี้ชีวิตข้าไว้ ดังนั้นคุณชายจงทำตามชอบเถิด”
เมื่อกล่าวจบไป๋ยู่เหลียนก็จากไปราวกับสายลม
ฟู่เสี่ยวกวนยื่นมือออกมา “เชิญนั่ง”
ทั้งสองนั่งตรงข้ามกันโดยมิได้เอ่ยคำใดออกมา
“……ซูม่อ หากเจ้าสู้กับไป๋ยู่เหลียน ใครจะเป็นผู้ชนะ?”
“ข้าอยากล้างหน้า มีน้ำหรือไม่?”
ฟู่เสี่ยวกวนตะลึงไปชั่วครู่ เขาชี้ไปยังห้องอาบน้ำด้านหลัง “เจ้าจะอาบน้ำด้วยก็ได้ เพียงแต่ในเวลานี้ไม่มีน้ำร้อน”
ซูม่อจ้องมองไปที่ฟู่เสี่ยวกวน จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินตรงไปยังห้องอาบน้ำ
ไป๋ยู่เหลียนหนอไป๋ยู่เหลียน เจ้ามีเรื่องรีบร้อนอันใดกัน? คนที่ชื่อซูม่อนี้ดูแล้วไม่น่าเป็นการเป็นงานเอาเสียเลย!
เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป ซูม่อก็เดินออกมา ผมของเขาเปียกปอน เขาอาบน้ำจริง ๆ ฟู่เสี่ยวกวนพิจารณาไปยังร่างนั้น เขาประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเจ้านี่รูปงามกว่าไป๋ยู่เหลียนเสียอีก
“เล่ามาให้ข้าฟังว่าเจ้าติดหนี้ชีวิตไป๋ยู่เหลียนได้อย่างไร?” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ย
“ข้าหิวแล้ว มีอะไรกินหรือไม่?”
ไม่เดินตามหมากที่วางไว้นี่นา
ฟู่เสี่ยวกวนชี้ไปทางห้องครัว “ที่นั่นมีทุกสิ่ง ล้วนเป็นของดิบ เวลานี้ไม่มีใครอยู่ ไปทำเอาเองเถิด”
ผ่านไปครึ่งชั่วโมง ซูม่อก็เดินออกมาพร้อมกับข้าวชามโต
เขานั่งลงตรงหน้าฟู่เสียวกวนโดยไม่สนใจ ก่อนจะเริ่มลงมือกินอย่างเอร็ดอร่อย
“นี่ ข้าเองก็ยังไม่ได้กินข้าว”
“อยากกินก็ไปทำเอาเอง ข้าทำมาเพียงเท่านี้”
อืม ฟู่เสี่ยวกวนตัดสินใจรอชุนซิ่วกลับมาก่อน แล้วค่อยกิน
พ่อของเขานี่ก็ไม่สนใจอย่างอื่นเลย แม้แต่พ่อครัวก็เรียกไปใช้งานจนหมดสิ้น!
ฟู่เสี่ยวกวนจ้องมองซูม่อ ทำให้เขาทำตัวไม่ถูก เขากินอย่างช้า ๆ และตั้งใจ เคี้ยวข้าวทุกเม็ดจนละเอียด ฟู่เสี่ยวกวนมองไปยังหน้าผากที่ขยับตามแรงเคี้ยว จึงได้พบเรื่องราวอันน่าประหลาดใจมากยิ่งนัก
ข้าวทุกคำ ซูม่อจะเคี้ยวทั้งสิ้น 33 ครั้ง ไม่ขาดไม่เกิน
เขาขมวดคิ้วและทำสีหน้าจริงจัง
สิ่งนี้บ่งบอกถึงความมีระเบียบวินัยและเห็นคุณค่าของอาหารเป็นอย่างยิ่ง และคำสุดท้ายนั้นซูม่อนำเมล็ดข้าวที่หลงเหลืออยู่ในจานใส่ปากและเคี้ยวอยู่ถึง 33 ครั้งจึงกลืนลงไป
คนประเภทนี้เขาเคยพบเจอมาก่อนในชาติที่แล้ว มักเป็นผู้ที่มีความสามารถขั้นสูง
เขาผู้นั้นก่อนลงมือปฏิบัติภารกิจจะต้องลับมีดสั้นจำนวน 180 ครั้ง เช็ดปืนจำนวน 54 ครั้ง ไม่ขาดไม่เกิน
คนประเภทนี้หากผูกมิตรเป็นเพื่อน จะเป็นมิตรที่ให้ความวางใจได้เป็นอย่างดี แต่หากเป็นศัตรูก็ต้องมีความระมัดระวังอย่างมากเช่นกัน
เหตุว่าหากเขาต้องการจะฆ่าใคร ก็ต้องได้ชีวิตมาอย่างแน่นอนไม่มีข้อยกเว้น!
สิ่งที่ไม่ราบรื่นคือ ผู้มีความสามารถนั้นในชีวิตที่แล้วเป็นศัตรูกับเขา
และเพราะคนผู้นั้นจึงทำให้เขาได้มายังโลกนี้
ซูม่อเงยหน้ามองดูฟู่เสี่ยวกวน แล้วเดินถือถ้วยตะเกียบกลับเข้าไปยังห้องครัว หลังจากทำความสะอาดเรียบร้อยแล้วจึงเดินออกมา
เขาหยิบหนังสือออกมาจากกระเป๋าเสื้อ วางไว้ตรงหน้าฟู่เสี่ยวกวน
《คำภีร์ฉุนหยางซินจิง》!
“ข้าไม่ชอบพูดมากความ ดังนั้นจงอย่าถาม”
“ข้าต้องการห้อง 1 ห้อง ที่สามารถนอนหลับได้ก็เป็นพอ”
“มีกินก็เป็นพอ หากมีเหล้าด้วยยิ่งดี”
“คัมภีร์ที่อยู่ตรงหน้า เจ้าเรียนรู้ได้มากเท่าใดก็คือเท่านั้น”
“ข้าพูดจบแล้ว”
ฟู่เสี่ยวกวนหยิบหนังสือไปเอนกายอ่านบนเก้าอี้หวาย และไม่สนใจซูม่ออีก
เขาเปิดหนังสือเล่มบางนี้ หน้าที่หนึ่งถึงหกล้วนเป็นจุดกำเนิดของเส้นลมปราณของมนุษย์ สิ่งเหล่านี้เขารู้อยู่ก่อนแล้ว ชาติก่อนเขาเคยศึกษาในช่วงฝึกฝน
จากนั้นคือท่าของการทำสมาธิและเส้นทางของลมปราณที่วิ่งอยู่ในร่างกาย
“นั่งหลับตาด้วยจิตที่นิ่ง ทำสมาธิให้มั่นคง”
“กัดฟันทั้งสามสิบหก มือทั้งสองข้างกุมไว้และวางที่หน้าตัก”
“เสียงกลองทั้งซ้ายขวา ได้ยินในยี่สิบสี่องศา”
“……”
“หมั่นฝึกฝนไม่หยุด จักปราศจากโรคภัย”
ฟู่เสี่ยวกวนใช้เวลา 2 เค่อในการอ่านหนังสือเล่มนี้
เขาปิดหนังสือลง หลับตา มิใช่เริ่มต้นการฝึกฝน แต่เขากำลังนึกถึงเส้นลมปราณ
ผ่านไปอีกหนึ่งก้านธูป เขาลืมตาขึ้น หยิบหนังสือขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้เขาตั้งใจอ่านอยู่นานสองนาน จนกระทั่งชุนซิ่ววิ่งเข้ามา