ตอนที่ 39 ต้นพืชตัวผู้ที่เป็นหมัน
รัชสมัยเซวียนลี่ ปีที่ 8 เดือนเจ็ด วันที่ยี่สิบ นี่เป็นวันสำคัญที่ได้บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ความก้าวหน้าของซีชาน
ท้องฟ้าสว่างโร่ ฟู่เสี่ยวกวนกำลังออกกำลังกายยามเช้าอยู่ในเรือนซีซาน หวางเฉียงก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา
“คุณชายขอรับ คุณชาย บิดาของข้าเจอสิ่งที่ท่านพูดแล้ว… ป้ายจึ!”
“จริงรึ?”
ฟู่เสี่ยวกวนหยุดออกกำลังกายยามเช้า ในใจปลื้มปีติขึ้นมาทันที
“ข้าคาดว่าน่าจะใช่ขอรับ คุณชายต้องการไปดูหรือไม่”
“ไป!”
“เดี๋ยวๆ เดี๋ยวเจ้าค่ะ คุณชาย ท่านยังไม่ได้ทานอาหารเช้าเลยนะเจ้าคะ” ชุนซิ่วร้องตะโกนตามหลังมา
“ข้าไม่ทานแล้ว”
ชุนซิ่วกระทืบเท้า และวิ่งตามออกไป
ซูม่อคิ้วขมวด และวิ่งตามออกไปเช่นกัน
อี้หยู่ที่ยังมิทราบอันใด เมื่อเห็นคุณชายวิ่งตามหวางเฉียงออกไปราวกับบิน ก็คิดว่าคงเกิดเรื่องใหญ่โตอะไรเป็นแน่ จึงวิ่งตามออกไปเช่นกัน
การวิ่งครั้งนี้ระยะทางค่อนข้างไกล ชุนซิ่วและอี้หยู่เหนื่อยจนหายใจหอบ เหงื่อไหลโชกไปทั่วหน้าและลำตัว ทำได้แค่พยายามตามให้ทัน หวางเฉียงและฟู่เสี่ยวกวนรวมทั้งซูม่อย่อมมิมีปัญหา พวกเขาวิ่งจนมาถึงนาผืนนั้น
หวางเอ้อกำลังนั่งคุกเข่าอยู่ในทุ่งนา เขาทำท่าราวกับว่ากำลังปกป้องทารกที่โดดเด่นอยู่ก็ไม่ปาน เขาไม่กล้าขยับเลยแม้แต่นิด
ฟู่เสี่ยวกวนถอดรองเท้ากับถุงเท้าออก ดึงชายกางเกงขึ้น และลงไปในทุ่งนาทั้งอย่างนั้น
ซูม่อประหลาดใจอีกครา ส่วนชุนซิ่วและอี้หยู่ที่ตามมาข้างหลังตกใจเป็นอย่างยิ่ง
“คุณชาย ไม่ได้!”
ฟู่เสี่ยวกวนไม่สนใจ ยามนี้เมล็ดข้าวได้ปิดทุ่งนาไปแล้ว เขาเดินไปตามแถวที่มีช่องว่างที่ห่างกันเล็กน้อย จนมาถึงเบื้องหน้าของหวางเอ้อ
“คุณชายดูต้นนี้ขอรับ”
ถึงแม้หวางเอ้อจะแปลกใจที่คุณชายลงทุ่งนา แต่เขาก็เข้าใจ เพราะการจะพิสูจน์สิ่งนี้จำเป็นจะต้องลงทุ่งนามา มิสามารถดึงมันขึ้นมา และส่งให้ไปบนฝั่งได้
ฟู่เสี่ยวกวนคุกเข่าลงไป และพินิจพิจารณาอย่างระมัดระวัง
ต้นนี้มีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด ต้นข้าวปกติตัวผู้และตัวเมียจะอยู่ต้นเดียวกัน ดอกสองชนิดของต้นนั้นจะบานออกในเวลาเดียวกัน แต่ต้นนี้มิใช่ มันออกดอกเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น
ฟู่เสี่ยวกวนมั่นใจแล้วว่านี่คือต้นพืชตัวผู้ที่เป็นหมันที่ตนเองตามหา เขาดีใจเป็นอย่างยิ่ง และกล่าวกับหวางเอ้อ และหวางเฉียงว่า “ต้นนี้แหละที่ข้าตามหา เจ้าจงทำเครื่องหมายเอาไว้ หรือไม่ก็ดึงต้นข้าวที่อยู่ในระยะสองฉื่อนี้ออกไปทั้งหมด”
“และจากนี้มีสองเรื่องที่พวกเจ้าต้องจดจำเอาไว้”
“คุณชายโปรดออกคำสั่งเถิดขอรับ”
“อย่างแรก ต้องดูแลมันให้ดี โดยเฉพาะในช่วงสภาพอากาศที่รุนแรงเยี่ยงนี้ ต้นข้าวทั้งหมดในทุ่งนานี้ตายได้ หากแต่ว่ามีเพียงต้นนี้เท่านั้นที่ห้ามตาย ไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามให้เกิดข้อผิดพลาดเด็ดขาด”
“อย่างที่สอง มันไม่สามารถผสมเกสรให้สำเร็จได้ด้วยตนเอง จำต้องใช้คนผสมเกสรเทียมให้ เป็นเยี่ยงนี้…”
ฟู่เสี่ยวกวนดึงต้นข้าวที่อยู่ด้านข้างขึ้นมา สลัดเกสรตัวผู้บนต้น ลงไปบนต้นข้าวที่บานออกแล้วอย่างระมัดระวัง
“งานนี้จะต้องรอบคอบ ดอกของมันมีไม่มาก แต่ต้องมั่นใจว่าผสมเกสรได้ครบทุกดอก”
หวางเอ้อและหวางเฉียงพยักหน้าอย่างหนักแน่น ถึงแม้พวกเขาจะเข้าใจว่ากำลังทำอันใดอยู่ แต่เมื่อเห็นคุณชายกล่าวอย่างเคร่งเครียดถึงเพียงนั้น ก็ลอบมั่นใจได้แล้วว่าสิ่งนี้จะต้องล้ำค่าเป็นแน่
“หมั่นผสมเกสรให้มันทุกวัน จนกว่าดอกไม้เหล่านี้จะเหี่ยวเฉา ใส่ปุ๋ยให้เพียงอย่างเดียว ไม่ต้องมากมายนัก แค่มากกว่ายามปกติเพียงสองขีดก็พอ นอกจากนี้หนึ่งต้นมันไม่เพียงพอ ให้หาอีก พยายามหาให้ได้อีกหลายๆ ต้น ดูแลจัดการตามวิธีของข้า แล้วพวกเจ้าจะประสบความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่!”
“ขอรับ ข้าจะทำเครื่องหมายเอาไว้ หวางเฉียง เจ้าจะต้องปกป้องสิ่งนี้ให้ข้า ลมพัดมาเจ้าก็ต้องคอยประคอง ฝนตกมาเจ้าก็ต้องคอยดูแล หากเกิดปัญหาเพียงนิด ข้าจะตีเจ้าให้ตาย”
……
…..
ฟู่เสี่ยวกวนเดินขึ้นมาบนคันนา ทั่วขานั้นเต็มไปด้วยโคลน
“คุณชายเจ้าคะ ท่านทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร?” ชุนซิ่วกระทืบเท้า “รีบมาล้างเลยเจ้าค่ะ”
ฟู่เสี่ยวกวนนั่งลงข้างแอ่งน้ำ ล้างเท้าและเช็ดให้แห้งอยู่บนหิน จ้องมองหวางเฉียงที่ยังนั่งคุกเข่าอยู่ตรงนั้นอย่างซื่อสัตย์ ก็หัวเราะขึ้นมา
“ข้ามิได้บอบบางถึงเพียงนั้น แต่ว่าเริ่มขี้เกียจแล้ว กลับกันเถอะ”
ชายกางเกงของฟู่เสี่ยวกวนยังคงถูกม้วนขึ้น ถึงแม้เขาจะสวมรองเท้า แต่มันกลับดูตลกเล็กน้อย แต่ซูม่อกลับได้เปลี่ยนแปลงความคิดที่มีต่อฟู่เสี่ยวกวนอีกครา
เขาลงไปในทุ่งนาอย่างไม่ลังเล และใช้เวลาอยู่กับชาวนาผู้นั้นครึ่งวัน ถึงแม้ซูม่อจะไม่รู้ว่าเขานั้นกำลังทำอันใด แต่กลับรู้สึกว่าเป็นการแสดงออกที่ยอดเยี่ยมยิ่ง ท้ายที่สุดแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนก็ยังเป็นคุณชายของตระกูลเจ้าของที่ดินผืนใหญ่ ในใต้หล้านี้จะมีคุณชายสักกี่คนกันที่กล้าลงทุ่งนา?
ถึงแม้ราชวงศ์หยูจะเน้นเรื่องการเกษตร แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือผลผลิตทางการเกษตร หาใช่ชาวนาที่ลงไปเพาะปลูกในทุ่งนาไม่
สิ่งที่คุณชายเหล่านั้นให้ความสนใจมิใช่เหล่าชาวนา แต่เป็นความหรูหรา ร้องเพลงเคล้าสุรา ซื้อนางโลมเพื่อความสำราญและอื่นๆอีกมากมาย
ภายใต้สภาพแวดล้อมในตอนนี้ ยิ่งเผยให้เห็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนกับคุณชายท่านอื่นของฟู่เสี่ยวกวนมากยิ่งขึ้น
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้มีความคิดเยี่ยงนั้น หลังจากที่กลับเรือนไปอาบน้ำ และทานอาหารมื้อเช้าเสร็จแล้วนั้น ก็กลับมานอนอ่านหนังสือบนเก้าอี้ตากแดด
สิ่งที่อ่านคือคัมภีร์ทะยานบันไดเมฆา มันคือวิชาตัวเบาในตำนาน
ยังคงเป็นคัมภีร์ที่บางอย่างยิ่ง ใจความสำคัญที่พูดถึงก็คือการเรียกใช้พลังภายใน ร่างกายต้องเคลื่อนไหวเยี่ยงไร จึงจะเหมาะสมกับพลังภายในและอื่นๆ
ฟู่เสี่ยวกวนใกล้จะอ่านจบแล้ว หลังจากนั้นเขาเพียงแค่จดจำเอาไว้ จำลองวิธีฝึกตามตำราขึ้นในสมองอีกหลายๆครั้ง และหลังจากนั้นเขาจึงเริ่มนั่งสมาธิเพื่อฝึกฝนกำลังภายใน
หากไม่มีกำลังภายใน วิชาตัวเบาก็ไม่อาจบินขึ้นมาได้
ก็เหมือนกับไม่มีน้ำมัน เครื่องบินก็ไม่อาจบินขึ้นมาได้ ทุกอย่างย่อมมีทั้งเหตุและผล
หลังจากที่ผ่านช่วงยามเข้าไปหนึ่งชั่วยาม ขับเคลื่อนกำลังภายในมาแล้วเก้าวัน ถึงแม้จุดตันเถียนของเขาจะยังไม่มีกระแสพลัง ซูม่อเดินเข้ามา และกล่าวว่า “วิชาการออกหมัดและการเตะของท่านสามารถขู่ผู้คนได้ แต่หากเจอกับระดับสูง ก็ไม่มีประโยชน์อันใด”
“ข้าไม่มีทางเลือกนี่ กำลังภายในนี้มีทางลัดหรือไม่?”
“ไม่มี” ซูม่อทำลายความคิดของฟู่เสี่ยวกวนอย่างมิลังเล “แต่ข้าจะสอนกระบวนท่ากระบี่ให้แก่ท่าน”
แต่มีสิ่งนี้
“กระบวนท่ากระบี่นี้มีนามว่าสิบสามกระบี่ฉวนเจิน กระบวนท่ากระบี่ที่ยอดเยี่ยมของสำนักเต๋า ท่านจงจดจำไว้ว่า ห้ามนำไปเผยแพร่เด็ดขาด”
“เจ้ากำลังเผยแพร่ให้ข้าไม่ใช่รึ?”
“ข้ากลัวว่าท่านจะถูกฆ่าตาย!”
“ข้าไม่มีศัตรูเสียหน่อย”
“ฮ่าฮ่า”
……
…..
“พื้นฐานของการฝึกกระบี่นั้น หนึ่งตา สองมือ สามร่างกาย และสี่เท้า”
“…..”
“วิถีแห่งกระบี่นั้น ทุกอย่างขึ้นอยู่กับสมาธิ หากมีสมาธิมากพอก็จะสำเร็จ”
“หลอมจิตใจให้เป็นลมหายใจ หลอมลมหายใจให้เป็นสมาธิ สมาธิคือหนทางตรัสรู้ สมาธิและกระบี่เป็นหนึ่งเดียว ก็จะเป็นเพียงหนทางสั้นๆ …”
ซูม่อกล่าวพลางร่ายกระบี่ไปด้วย เพื่อให้ฟู่เสี่ยวกวนได้เข้าใจยิ่งขึ้น ท่วงท่าร่ายกระบี่ของเขาเชื่องช้า ไม่ได้ใช้พลังภายในหรือวิชาตัวเบาเลย
ฟู่เสี่ยวกวนดูอย่างตั้งใจ เขาจดจำจุดหลักของกระบวนท่าที่ซูม่อกำลังร่ายกระบี่ โดยที่สายตายังคงจับจ้องไปที่การเคลื่อนไหวของกระบี่โดยไม่ละสายตาไปไหน ยิ่งรู้สึกว่าวิทยายุทธ์นั้นลึกลับมากอย่างแท้จริง
ซูม่อใช้เวลาหนึ่งชั่วยามของยามเช้า ในการอธิบายใจความสำคัญของสิบสามกระบี่ฉวนเจินให้แก่เขา หลังจากนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็พบความจริงที่น่าอายว่าตนเองนั้นไม่มีกระบี่
“นักกระบี่ย่อมมีกระบี่เป็นของตนเอง รู้จักเพียงกระบี่ของตนเองเท่านั้น จึงจะเปรียบเสมือนเป็นแขนใช้ได้โดยไร้สิ่งกีดขวาง”
ซูม่อโยนกระบี่ของตนเองให้กับฟู่เสี่ยวกวน ฟู่เสี่ยวกวนกวัดแกว่งกระบี่อย่างตื่นเต้น
กระบวนท่าถูกต้องตามลำดับ ตวัดร่ายในม้วนเดียว… ซูม่อหลับตาลง ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าตนเองนั้นได้ตัดสินใจผิดพลาดไปเสียแล้ว กระบี่เล่มนี้เหมือนกับอักขระของเขาไม่มีผิดเพี้ยน มีเพียงคำว่า อัปลักษณ์ เท่านั้นที่จะใช้บรรยายได้
แต่ฟู่เสี่ยวกวนไม่รู้สึกรู้สา เขาตื่นเต้นอย่างมาก ในปากยังคงส่งเสียงฮึมฮัมทำนองออกมา กระโดดโลดเต้นไปมา และตัดใบไม้ให้ตกพื้น