ตอนที่ 62 ต่อจากเทศกาลไว้พระจันทร์
ที่ชั้นสองผู้ดูแลกั๋วจื่อเจี้ยนทั้งแปดคนกำลังมองดูผลงานของฟู่เสี่ยวกวน
“หากกวีบทนี้ถูกเผยแพร่ออกไป คาดว่าคงได้เป็นบทกวีที่ได้รับความนิยมอย่างยิ่ง”
“เพียงหวังผู้คนอายุยืนยาว แม้ห่างกันพันลี้ ร่วมกันชมจันทร์งาม……ฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้ ช่างเป็นผู้มีพรสวรรค์ยิ่งนัก ! ”
“ต้องมีจิตใจปลอดโปร่งจึงจะสามารถแต่งกวีที่งดงามได้เพียงนี้ หนังสือความฝันในหอแดงนั่น ข้าเองคงต้องกลับไปอ่านบ้างเสียแล้ว”
“นำส่งขึ้นไปเถิด”
“ข้าขอคัดลอก 1 ฉบับ”
“ข้าเช่นกัน”
……
……
หลายปีที่ผ่านมา งานกวีหลานถิงในเทศกาลไหว้พระจันทร์นี้ จะมีการคัดเลือกกวีอันดับที่หนึ่ง 3 บท อันดับที่สอง 10 บท อันดับที่สาม 30 บทและอันดับที่สี่ 100 บท และนำมาจัดแสดงบนกำแพงหลานถิงในยามเที่ยงคืน
บัดนี้ห่างจากเวลาจัดแสดงประมาณ 1 ชั่วยาม
เยี่ยนซีเหวินและคนอื่น ๆ นั่งรอฟังผลการคัดเลือกอยู่ในศาลามู่ถิง ในบรรดาพวกเขาทั้งหกคน ได้รับข้อมูลว่ามีผลงานของ 3 คนถูกส่งขึ้นไปยังชั้นสาม
นั่นหมายความว่าผลงานพวกเขาได้เข้ารอบสุดท้ายนั่นเอง
ทั้งสามคนนั้นได้แก่เยี่ยนซีเหวิน ฟางเหวินซิงและอันลิ่วเย่
“ไม่รู้ว่าผลงานของฟู่เสี่ยวกวนนั้นจะถูกส่งขึ้นไปยังชั้นสามหรือไม่” อันลิ่วเย่มีท่าทีตื่นเต้นไม่น้อย เขาเองเคยอ่านหนังสือความฝันในหอแดง และรู้ดีว่าฟู่เสี่ยวกวนมีความสามารถ ผู้นี้คือคนที่น้องสาวเขาให้ความเคารพนับถือยิ่ง
“จะประเมิณค่าต่ำมิได้ ต่งชูหลานนี้ข้ารู้จักนางดี หากไม่มีความมั่นใจล่ะก็ นางไม่ตัดสินใจกระทำการเช่นนี้เด็ดขาด” เยี่ยนซีเหวินเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงมั่นคง
“ข้ามิอยากจะเชื่อเสียจริงว่าหลินเจียงซึ่งเป็นเมืองเล็ก ๆ เช่นนั้น จะมีผู้มากความสามารถเกิดขึ้นมาได้ ผลงานของพวกเราทั้งสามคนได้ถูกส่งไปยังชั้นสาม ข้าคิดว่าผลงานของท่านพี่เยี่ยนสามารถได้รับคะแนนอันดับหนึ่งได้ หากเขามีความสามารถจริงก็คงได้แค่อันดับหนึ่งเช่นกัน ไม่มีใครแพ้หรือชนะ แต่หากพวกเราได้รับผลคะแนนอันดับหนึ่งเช่นกัน นับว่าเราเป็นผู้ชนะ”
เยี่ยนซีเหวินพยักหน้า ในหัวของเขาคิดออกมาว่าหากกวีของฟู่เสี่ยวกวนได้ขึ้นสลักหิน……แต่คงมิอาจเป็นไปได้ เขารีบสลัดความคิดนี้ออกไปทันที
หยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานพร้อมกับบ่าวรับใช้ของทั้งสองคนขึ้นเรือไป เมื่อทั้งสองขึ้นนั่งเรียบร้อยแล้ว ก็ดื่มกันอย่างอิ่มหนำสำราญ
เรือล่องอยู่กลางทะเลสาบ ปรากฏดวงจันทร์อันส่องสว่างขึ้นกลางน้ำ งดงามยิ่งนัก สายลมบางเบาโบกพัดมา ผมยาวสลวยของทั้งสองพลิ้วไสวไปมา พัดพาสายน้ำให้เป็นคลื่นทำให้ดวงจันทร์ในน้ำนั้นสั่นไหว
บรรยากาศแสนอึดอัดเช่นนี้ จากเดิมทั้งสองเป็นสหายที่ใกล้ชิดแต่เนื่องจากในใจมีชายคนเดียวกัน หากเป็นสตรีทั่วไปคงไม่ยากที่จะจัดการเรื่องนี้ แต่อีกฝ่ายหนึ่งเป็นถึงองค์หญิงเก้า ทำให้ไม่ง่ายที่จะแก้ไขนัก
ต่งชูหลานเอ่ยปากถามนางก่อนว่า “องค์หญิงเพคะ กลอนตุ้ยเหลียนบทล่าง เขาต่อโคลงอย่างไรหรือเพคะ ? ”
“เจ้าเรียกข้าเช่นนี้ช่างดูห่างเหินนัก”
ต่งชูหลานมองไปยังเงาของดวงจันทร์กลางน้ำ นางยิ้มแย้มแล้วเอ่ยว่า “จากเดิมข้าคิดว่าท่านแม่คือปัญหาที่จัดการยากที่สุด”
หยูเวิ่นหวินนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ “เขาเอ่ยกับเจ้างั้นหรือ ? ”
“เขาส่งมาพร้อมกับกวีบทนั้น”
หยูเวิ่นหวินนิ่งเงียบไปอีกครา นางหยิบขนมใส่ปากเคี้ยวอย่างช้า ๆ ผ่านไปนานทีเดียวจึงได้เริ่มเอ่ยว่า “มองดูแล้ว ข้าว่าเขาชอบเจ้า”
“ถ้าเช่นนั้นองค์หญิง ท่านจะมิช่วยข้าหน่อยหรือ ? ”
ต่งชูหลานเอ่ยถามหยูเวิ่นหวิน แววตามีความก้าวร้าวซ่อนเร้นอยู่
“ชูหลาน พวกเราเป็นสหายกันใช่หรือไม่ ? ”
“พวกเราเติบโตมาด้วยกัน ศึกษาสิ่งต่าง ๆ มาด้วยกัน” ต่งชูหลานมองไปยังผิวน้ำอีกครา คล้ายกับย้อนเวลาไปยามวัยเยาว์ “ข้าเองมักเข้าวังไปเล่นกับท่าน ท่านเองก็มักออกมานอกวังเพื่อเล่นกับข้า ในยามนั้นเราทั้งสองไม่เคยมีเรื่องใดที่ต้องทะเลาะเบาะแว้งแก่งแย่งชิงดี เป็นมิตรภาพที่บริสุทธิ์เสียจริง ไม่ว่ามีเรื่องราวอันใดในใจก็สามารถเอ่ยออกมาให้ฟังได้ทั้งสิ้น ข้าคิดถึงช่วงเวลานั้นเหลือเกิน”
“ข้าก็เช่นกัน เรื่องนี้ตัวข้าเองก็ครุ่นคิดอยู่แสนนาน คราก่อนที่ข้าเดินทางกลับมาจากหลินเจียง เพียงชื่นชมในความสามารถของเขาเท่านั้น ชูหลาน เจ้าช่างมีสายตาแหลมคมเสียจริง ข้ามิได้มีเจตนาแย่งชิงกับเจ้า แม้ก่อนหน้านี้ข้าเคยเอ่ยว่าจะแย่งเขามาจากเจ้าก็ตาม นั่นเป็นเพียงคำหยอกเล่นเท่านั้น แต่การเดินทางไปในครั้งนี้เมื่อครั้นที่เขาเขียนกวีตุ้ยเหลียนนั่น ชูหลาน ข้ามิได้หลอกเจ้า ข้าเองก็ชอบเขาเช่นกันโดยมิอาจบอกถึงเหตุผลได้ อาจเพราะความสามารถของเขาหรืออาจจะเพราะมุมมองของเขาก็เป็นได้”
บรรยากาศกลับมาหนักอึ้งอีกครั้ง ผ่านไปแสนนานหยูเวิ่นหวินจึงเอ่ยว่า “กลอนตุ้ยเหลียนนั้นมีอยู่ว่า วันที่เมฆหลากสี ท่ามกลางหมู่เมฆหลากสี บนท้องฟ้าหลากสีมีเมฆหลากสี ท้องฟ้าพันปี เมฆพันปี”
ต่งชูหลานนำมือกอดเข่าแล้วเงยหน้ามองไปยังท้องฟ้า ในใจคิดว่ามีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถเขียนกลอนตุ้ยเหลียนที่งดงามเช่นนี้ได้
“ชูหลาน ข้าเองมิอยากมีชีวิตเหมือนพี่รองและพี่สี่ ฟู่เสี่ยวกวนแม้จะมีความรู้เต็มอกแต่เขามิได้แม้แต่คิดทำการเกินตัวใด ๆ เขาเพียงอยากเป็นพ่อค้าที่ดินธรรมดา ๆ เท่านั้น ส่วนตำแหน่งพระสวามีเดิมทีก็มีไว้สำหรับคนธรรมดา เนื่องจากไม่สามารถเข้ารับราชการได้ ข้าชอบเขา อีกทั้งเขาเองต้องการเป็นเพียงคนธรรมดา เจ้า……วางมือได้หรือไม่ ? ”
ต่งชูหลานมองมาทางหยูเวิ่นหวินด้วยแววตานิ่งสงบ
“เจ้าเคยถามเขาหรือไม่ว่าเขามีใจให้เจ้าไหม ? ”
หยูเวิ่นหวินตกตะลึงไปขณะหนึ่ง นั่นสิ ! ไม่ว่าตัวนางหรือเสด็จแม่ก็มิเคยคำนึงถึงข้อนี้มาก่อน
ถ้าเช่นนั้น ฟู่เสี่ยวกวนชอบพอในตัวนางหรือไม่ ?
หากเขาชอบพอนาง เหตุใดจึงได้นำเรื่องราวที่หลินโจวบอกแก่ต่งชูหลาน ?
หากเขามิได้ชอบพอนาง แต่กลับใช้อำนาจบังคับเขามาเป็นพระสวามี แล้วจะแตกต่างจากพี่รองและพี่สี่ได้อย่างไร ?
หยูเวิ่นหวินสับสนยิ่งนัก ผ่านไปนานแสนนาน นางได้เอ่ยถามด้วยเสียงสั่นเครือว่า “ถ้าเช่นนั้น……เขาชอบเจ้างั้นหรือ ? ”
ต่งชูหลานยิ้มออกมาเล็กน้อยแล้วพยักหน้า
“เสี่ยวฉี นำพู่กันและกระดาษมา”
ต่งชูหลานเขียนกวีเพลงแห่งสายน้ำลงไปแล้วส่งให้หยูเวิ่นหวิน “กวีบทนี้เขาเขียนให้แก่ข้า และจะได้สลักบนป้ายหินนั่น เจ้าจงดูเถิด”
“จันทร์สกาวเช่นนี้มีเมื่อใด ? ถือถ้วยสุราถามฟ้าคราม……”
“……”
“……เพียงหวังผู้คนอายุยืนยาว แม้ห่างกันพันลี้ ร่วมกันชมจันทร์งาม”
หยูเวิ่นหวินหลับตาลงแล้วถอนหายใจออกมายาว ๆ
หยูเวิ่นหวินมิได้ท้อถอย นางต้องการพุ่งชนอุปสรรคนี้ ! นี่คือสิ่งที่ต่งชูหลานไม่คาดคิดมาก่อน
……
……
ณ หอหลานถิงชั้นสาม
แสงจันทร์จากนอกหน้าต่างส่องมา เวลานี้ทุกสิ่งเงียบสงบ
ฉินปิ่งจงยืนนำมือลูบเครายาวของเขาอย่างช้า ๆ จินตนาการว่าสหายของเขาผู้นี้เกรงว่าจะเป็นเพียงผู้เดียวที่สามารถเขียนกวีเพลงแห่งสายน้ำขึ้นมาได้
อีก 5 คนที่เหลือไม่มีข้อขัดแย้งใด ๆ กวีบทนี้เป็นบทที่งดงามที่สุดในเทศกาลไหว้พระจันทร์ที่เคยมีมา อีกทั้งชางกวนเหวินซิ่วก็เอ่ยออกมาด้วยตนเองแล้วว่า หากเผยแพร่ไปคงได้รับความนิยมอย่างล้มหลาม
ถึงขั้นที่ว่าในเทศกาลไหว้พระจันทร์นี้เกรงว่าจะไม่มีกวีบทใดเทียบเท่าบทนี้ได้ตลอดกาล
“ข้าขอเสนอแนะให้นำกวีบทนี้สลักลงบนป้ายหินบรรทัดที่หก”
“ข้าขอเสนอแนะให้นำกวีบทนี้สลักลงบนป้ายหินบรรทัดที่สาม
“เป็นไปหรือที่กวีบทนี้สามารถเทียบกับบทกวีของนักปราชญ์ในอดีตได้ ? ”
“ท่านหลี่กง กฎเกณฑ์ของป้ายหินเชียนเปยสือ ดูเพียงเนื้อความ มิได้ดูฐานะตัวตน”
“ท่านฉินกงมีความคิดเห็นว่าอย่างไร ? ” ชางกวนเหวินซิ่วเอ่ยถาม
“ข้าเองมีความรู้จักกับฟู่เสี่ยวกวนเป็นการส่วนตัว ไม่ขอออกความคิดเห็นใด”
“หากเป็นเช่นนี้ข้าขอเสนอความคิดเห็นว่า นำกวีบทนี้สลักลงบนป้านเชียนเปยสือบรรทัดที่หนึ่ง ! ”
ทุกคนตกตะลึงนิ่งเงียบไปชั่วขณะ
“ทุกท่านจงพิจารณากวีบทนี้อย่างละเอียด ในเวลา 1 ก้านธูป ต้องตัดสินใจอย่างเด็ดขาด”
……
……
เวลาเที่ยงคืน วันที่สิบห้าเดือนแปด ณ แผ่นป้ายประกาศหอหลานถิง
อันดับหนึ่งมีจำนวน 3 คนได้แก่ เยี่ยนซีเหวิน ฟางเหวินซิงและซืออีหมิง!
กลับไม่มีชื่อของฟู่เสี่ยวกวน
เยี่ยนซีเหวินถูกใจยิ่งนัก หันมายิ้มให้กับต่งชูหลานที่เพิ่งกลับมาถึงว่า “เขาแพ้แล้ว”
“นับจากนี้ฟู่เสี่ยวกวนมิอาจก้าวเข้ามาเหยียบเมืองหลวงได้แม้แต่ก้าวเดียว ขอแม่นางต่งบอกต่อเขาด้วย”
“หลินเจียงจะบังอาจมาเปรียบเทียบกับเมืองหลวงได้อย่างไร!”
“ข้ากล่าวแล้วใช่หรือไม่ว่าเขาเป็นเพียงผู้ฝึกหัด ! ”
“……”