ตอนที่ 151 การต่อสู้ที่โกลาหล
เฉินป๋อสบสายตาเข้ากับซูม่อ ส่งสัญญาณมือ ซูม่อพยักหน้า
เฉินป๋อหันหน้าไปทางด้านหลังและส่งสัญญาณมือ ดังนั้นทหารทั้งห้าร้อยนายจึงเก็บคันศร คลานและลุกขึ้นมาจากพื้น หลังจากนั้นจึงเดินย่องตามเฉินป๋อเข้าไปยังป่าทางซ้ายมือ
กลุ่มของซ่งต้าเป่าที่กำลังลงจากเขามิรับรู้ถึงอันใดทั้งสิ้น เขากำลังสงสัยว่า คนกลุ่มนั้นวิ่งหายไปที่ใดกัน ? เหตุใดจึงมิมีเสียงแล้ว?
หลิวซานเปี้ยนเองก็รู้สึกถึงความแปลกประหลาด หรือว่าพวกเขาปลุกชายกลุ่มนั้นมาทรมานแล้วตอนนี้ก็กลับไปนอนเสียแล้ว ?
ครุ่นคิดอย่างไรก็รู้สึกว่ามีส่วนที่ผิดแปลกอยู่ เขาจึงให้ขบวนหยุด และเรียกสายลับ 3 คนนั้นออกมา
“สถาณการณ์ปกติของที่นี่เป็นเยี่ยงไร ? ”
หนึ่งในสายลับตอบกลับมา “ปกติก็เป็นเยี่ยงนี้ ข้าเฝ้าสังเกตการณ์ที่นี่มาแล้วห้าวัน ทุกค่ำพวกเขาจะวิ่งมาที่ภูเขาไต้ชานนี้ 1 รอบ ส่วนที่มิเหมือนกันก็คือ… ค่ำนี้เส้นทางของพวกเขาแตกต่างออกไป”
หลิวซานเปี้ยนคิ้วขมวด วิธีการฝึกของคนกลุ่มนี้ค่อนข้างประหลาด เหตุใดวันนี้พวกเขาจึงเปลี่ยนเส้นทางกัน ตนเองและคนเหล่านี้กระจายตัวกันมายังหมู่บ้านเซี่ยชุน ค่ำนี้เป็นครั้งแรกที่มารวมตัวกันที่นี่ ฟู่เสี่ยวกวนมิมีเหตุผลที่จะรู้ถึงการดำรงอยู่ของพวกเขา
หลิวซานเปี้ยนคิดว่าตนเองคงคิดมากไป ดังนั้นเขาจึงเอ่ยถามเสียงแผ่วอีกครา “เจ้ามั่นใจใช่หรือไม่ว่าที่เรือนซีซานมีเพียงฟู่เสี่ยวกวนกับผู้หญิงคนนั้นและคนอื่นอีกไม่กี่คน ?”
“ใช่ ถึงแม้จะค่อนข้างไกล แต่ข้าและคนอื่น ๆ ต่างได้วิเคราะห์การเคลื่อนไหวของคนเหล่านั้นแล้ว นอกจากฟู่เสี่ยวกวนและหญิงสาวผู้นั้นที่สถานะแตกต่างออกไปแล้ว คนที่เหลืออยู่ต่างก็เป็นคนรับใช้”
“ดี พวกเจ้าทำได้ไม่เลว พวกเราออกเดินทาง ! ”
สายลับทั้งสามนำทาง ในคืนเดือนดับที่มืดมิดนี้พวกเขามิกล้าจุดไฟ ดังนั้นการเดินลงจากเขาจึงช้าอย่างมาก
ทุกคนต่างมิรู้ว่าด้านหลังของพวกเขานั้น มีซูโหรวที่กำลังประคองฟู่เสี่ยวกวนที่นั่งอยู่บนต้นไม้
“ท่านพูดถูก เป้าหมายของพวกเขาแท้จริงแล้วคือท่าน”
“มิใช่ เจ้าจะปล่อยมือของเจ้าได้หรือไม่ ? ”
“โอ้… ข้ากลัวท่านตกลงไป”
ซูโหรวปล่อยมือ และนำเข็มปักผ้าออกมาปักผ้าอีกครา
“คนผู้นั้นมีนามว่าซ่งต้าเป่า คนเจียงหูเรียกกันว่าต้าเฉินจินกัง เป็นหนึ่งในแปดจินกังที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของกงเซินจ่าง ปรมาจารย์กระบองแห่งแม่น้ำฮวงโห มีชื่อเสียงมากที่แม่น้ำฮวงโห กระบองหนามในมือมีน้ำหนัก 88 ชั่ง ในทันทีที่กระแทกเข้ากับร่างน้อย ๆ ของเจ้า… เกรงว่าชีวิตน้อย ๆ นี้คงจบสิ้นแล้ว”
ซูโหรวราวกับกำลังพูดกับตนเอง แล้วกล่าวอีกว่า “ศิษย์น้องได้มอบคัมภีร์พระสูตรเก้าหยางแก่เจ้า แต่เวลาก็ผ่านมานานมากแล้วกลับยังมิเห็นการเปลี่ยนแปลงอันใด… มิใช่ว่าพี่สาวจะโจมตีเจ้า แต่เจ้ามิเหมาะกับหนทางการต่อสู้จริง ๆ ดังนั้นแล้วเจ้าจะออกมาร่วมชมความสนุกทำไมกัน ?”
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้สนใจ และหัวเราะน้อย ๆ “อยากจะดูเสียหน่อยว่าเหล่าทหารใหม่จะกลัวจนความกล้าหดหายหรือไม่ ประเดี๋ยวพอปะทะกันเจ้าจับตาดูให้ดี บาดเจ็บได้ แต่พยายามอย่าให้เสียชีวิต”
“ท่านดูถูกไป๋ยู่เหลียนเกินไปแล้ว ถึงแม้วิชาดาบของเสี่ยวเหลียนเหลียนจะมิดีเท่าใด แต่ถ้าหากเป็นด้านทหาร เขาจักฝีมือดี ท่านโชคดีอย่างมาก เสี่ยวเหลียนเหลียนเป็นผู้มีจิตใจสูงส่ง แต่กลับถูกท่านปราบได้”
นี่มิใช่คำพูดหลอกลวง ช่วงหลายวันมานี้ฟู่เสี่ยวกวนมักจะมาดูที่สนามฝึก แน่นอนว่าเขามิได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับแผนการฝึกของไป๋ยู่เหลียน ทั้งสองเพียงแค่ประชุมกันเป็นบางครา ฟู่เสี่ยวกวนจะให้ข้อแนะนำขั้นสูง แต่หลังจากที่ไป๋ยู่เหลียนได้ฟังก็ชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง
ตัวอย่างเช่นการจู่โจมตอนกลางคืนเยี่ยงนี้
ในตอนนี้ทุกคนต่างเตรียมตัวพร้อมกันแล้ว เพียงรอให้ศัตรูตกหลุมพราง
ทางด้านซ่งต้าเป่าและคนอื่น ๆ ในยามนี้ก็ยังคงมิรู้สึกตัว ภายใต้การนำของสายลับ ค่อย ๆ เดินเข้าไปในวงล้อมที่เฉินป๋อและซูม่อวางเอาไว้
“เหตุใดข้าจึงคิดว่ามันมีบางอย่างผิดปกติ ข้ารู้สึกกังวลยิ่ง” คิ้วของหลิวซานเปี้ยนยังคงขมวดแน่นมิคลาย
ซ่งต้าเป่าฉีกยิ้ม “การเดินทางในค่ำคืนนี้ต่างก็กลัวชนกับผี อาซานเปี้ยนเป็นเพียงที่ปรึกษา มิเหมือนทหารอย่างพวกข้า ที่มักจะทำการปล้นในคืนเดือนดับและลมแรงเยี่ยงนี้ แต่ข้ากลับชอบค่ำคืนเยี่ยงนี้ สังหารคนได้เร็วยิ่ง ถึงแม้จะมิเห็นโลหิต แต่ก็สัมผัสได้ถึงความอุ่นร้อนของมันที่สาดกระทบใบหน้า…”
ทันทีที่สิ้นเสียงของซ่งต้าเป่า ก็มีหยดเลือดหล่นกระทบบนใบหน้าของเขา เขายื่นมือขึ้นมาลูบ แล้วเงยหน้าขึ้นไปมอง ฝนตกเยี่ยงนั้นหรือ?
ชั่วพริบตาที่เขากำลังสับสน ก็มีเลือดสาดกระเด็นมาบนใบหน้าของเขาอีกครา ครั้งนี้เขารู้สึกถึงความอุ่นร้อน และเกิดความตื่นตระหนกอย่างมาก จึงกู่ร้องออกมาทันพลัน “มีศัตรู ! ”
หลังจากนั้นข้างกายของเขาก็มีคนล้มลงไปกองกับพื้น
หลิวซานเปี้ยนตื่นตกใจยกใหญ่ หลังจากนั้นก็รีบคลานลงไปกับพื้น “ศัตรูอยู่ที่ใด ? ศัตรูอยู่ที่ใดกัน ? ”
ซ่งต้าเป่าเหวี่ยงกระบองหนามในมือ เสียงตึง ๆ ดังขึ้นมา ดวงโตคู่นั้นของเขามองไปรอบด้านแต่ก็มองได้มิค่อยชัดนักเพราะมืดเกินไป จะมองเห็นศัตรูได้เยี่ยงไร !
“ใครมันกล้าโจมตี กล้าแสดงตัวออกมาหรือไม่ ? ”
เขาเหวี่ยงกระบองหนาม และตะโกนขึ้นมาอีกครั้ง “เจ้าพวกขี้ขลาดทั้งหลาย ออกมาให้ข้าสังหารเดี๋ยวนี้ ! ”
ดังนั้นเขาจึงพาคนสองร้อยกว่าคนพุ่งเข้าโจมตีดั่งลูกศร
คนผู้นี้มีวิทยายุทธ์ที่แข็งแกร่ง กระบองหนามนั้นร่ายรำอย่างพลิ้วไหว มีดของลูกน้องที่อยู่ด้านหลังของเขาแทงมั่วไปหมดจนเกิดความชุลมุนวุ่นวาย ระหว่างเสียงตึง ๆ ก็มีคนถูกสังหารไปถึงยี่สิบสามสิบคน
พวกเขาพุ่งไปถึงสถานที่ซุ่มโจมตีของซูม่อ ซูม่อส่งสัญญาณมืออย่างต่อเนื่อง ทหารใหม่ที่อยู่ด้านหลังเก็บคนธนูและชักดาบ ยังคงเป็นกลุ่มห้าคน พวกเขารีบพุ่งเข้าไปโจมตีทันทีทุกย่างก้าวดูมีพลังราวกับว่าพื้นธรณีจะพังทลาย
อีกด้านหนึ่งเฉินป๋อส่งสัญญาณมือออกคำสั่ง ทหารทั้งห้าร้อยคนวิ่งไปพร้อมกับเขา และล้อมรอบซ่งต้าเป่าและคนอื่น ๆ อย่างสุดชีวิต
ซูม่อถือดาบพุ่งตรงไปทางซ่งต้าเป่า ทหารที่เหลือโรมรันอยู่กับกลุ่มโจร
หลิวซานเปี้ยนคลานลุกขึ้นมาจากพื้น มองสนามรบเบื้องหน้าด้วยความตกตะลึง ผ่านไปเพียงสามอึดใจ เขาพลิกตัวและวิ่ง หลังจากนั้นก็ล้มลงไปกองกับพื้นอย่างแรง
ขาทั้งสองข้างของเขาโดนเชือกพันไว้ หลังจากนั้นร่างของเขาก็หมุนอยู่กลางอากาศ เขาถูกเชือกพันจนเหมือนบ๊ะจ่าง
ซูโหรวแขวนเขาไว้บนต้นไม้ หลังจากนั้นก็ปักผ้าต่อ แต่สายตากลับมองไปยังสนามรบเบื้องหน้า
ตั้งแต่ต้นจนจบ ทหารใหม่เหล่านั้นมิได้ส่งเสียงใดใด นั่นทำให้ซูโหรวต้องมองฟู่เสี่ยวกวนและไป๋ยู่เหลียนอย่างชื่นชม
ในสนามรบขณะนี้ กลุ่มเล็ก ๆ จำนวนห้าคนพุ่งเข้าไปราวกับล้อรถ คนที่หนึ่งฟันเข้าไป ขยับฝีเท้าออก คนที่สองก็เข้าไปในตำแหน่งของคนที่หนึ่งอย่างพอดิบพอดี ตวัดดาบลงไปอีกครา หมุนวนไปเยี่ยงนี้และทะลวงไปในวงศัตรู ราวกับหั่นผักก็มิปาน ในสายตาซูโหรว มันราวกับรังแกกัน แต่ทหารใหม่ที่ลงสนามก็ตื่นตระหนกถึงที่สุด
นี่คือการจับดาบจริงและฆ่าคนจริง ๆ !
พื้นฐานของพวกเขาคือเกษตรกร มิมีปัญหากับการจับจอบ แต่ที่จับอยู่ตอนนี้กลับกลายเป็นดาบ !
เลือดสาดกระเซ็นลงบนใบหน้าพวกเขา ดาบเล่มนั้นเฉือนบนร่างของพวกเขา ดาบของพวกเขาเองก็บั่นเข้าที่คอของศัตรู สหายที่อยู่ข้างกายล้มลงไป หลังจากนั้นตาก็แดงก่ำ ดังนั้นจึงลืมแล้วสิ้นการลำดับความสำคัญ
“ข้าจะฆ่าเจ้าสุนัข ! ”
“อ๊าก มือของข้า มือของข้า… !”
“พี่น้องทั้งหลาย ฆ่าพวกมันให้หมด !”
……
…..
ฟู่เสี่ยวกวนส่ายหน้า สุดท้ายก็วุ่นวายไปหมด แต่ก็มิเป็นไร อย่างไรนี่ก็เป็นสนามแรกของพวกเขา จบเรื่องนี้ไป๋ยู่เหลียนย่อมทำสรุปออกมาอยู่แล้ว มีบางคนจะไปจากที่นี่ และมีบางคนที่จะเติบโตอย่างช้า ๆ
ผู้อยู่รอดคือผู้ที่เหมาะสม พวกเขามิใช่ดอกไม้ในเรือนกระจก พวกเขาจำต้องมีประสบการณ์ที่แฝงไปด้วยกลิ่นคาวเลือดเยี่ยงนี้จึงจะสามารถยืนหยัดในอนาคตได้ !