ตอนที่ 258 ข้าสนใจภรรยาของเขา
ฟู่เสี่ยวกวนพยุงชายชราผู้นั้นลุกขึ้น ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “แท้จริงข้ารู้ดีว่าคำพูดนี้ไร้ประโยชน์ เนื่องจากวิธีการทำนาล้าหลังยิ่ง แต่ท่านอย่าได้กังวลไป ทุกสิ่งอย่างจะดีขึ้นอย่างแน่นอน”
ชายชราฝืนยิ้มออกมา เขาได้แต่นึกในใจว่าหากจะเพิ่มภาษีเป็นสองเท่า แล้วจะดำรงชีวิตต่อไปได้เยี่ยงไร ?
ฟู่เสี่ยวกวนบอกลาชายชรา แล้วพวกเขาก็กลับไปยังค่าย ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้เอ่ยถามฉินเหวินเจ๋อว่า “ที่แห่งนี้อยู่ในความปกครองของเขตใด ? ”
“อยู่ในความดูแลของอำเภอหลิงสุ่ย เซิงโจว เจียงหนานตงเต้า”
“อืม…” ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าคล้ายกับกำลังคิดบางสิ่ง
“เจ้าทำนาเป็นด้วยรึ ? ” ซั่งกวนเหมี่ยวเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“แน่นอน ที่บ้านข้าเป็นพ่อค้าที่ดิน หากมิมีความรู้ด้านการทำนา คงจะถูกผู้เช่านาหลอกเอาเสียง่าย ๆ ”
พวกเขาพากันตกตะลึง แต่ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยต่อว่า “แท้จริงไม่ว่าเรื่องใดล้วนมีหลักการเดียวกัน ต่อจากนี้หากพวกเจ้าเข้ารับราชการเป็นขุนนาง แต่หากมิเข้าใจภูมิประเทศและผู้คนในเขตที่ปกครอง มิรู้ถึงข้อดีข้อเสียของเขตที่ปกครอง ก็จะถูกขุนนางผู้น้อยหลอกลวงได้ ดังนั้นหน้าที่ขุนนางทั้งหลาย มิใช่เพียงนั่งอยู่ในสำนักงาน แต่จะต้องลงไปยังพื้นที่ ไปตรวจดูตามป่าเขาและผืนนา จึงจะได้รับรู้ถึงปัญหาของชาวบ้านที่เดือดร้อนกันอย่างแท้จริง เช่นนี้จึงจะเข้าใจว่าควรใช้นโยบายใดในการปกครอง จึงจะทำให้ทรัพยากรที่มีอยู่ในมือเกิดประโยชน์มากที่สุด”
“ผู้เป็นขุนนางคือผู้ที่ต้องนำพาซึ่งความสุขมายังประชาชน พวกเจ้าจงจำให้ดี การเพิ่มภาษีเป็นการกระทำของขุนนางที่โง่เขลาและไร้ประโยชน์ที่สุด สิ่งที่พวกเจ้าต้องทำก็คือ ใช้ทรัพยากรในท้องถิ่นให้เกิดประโยชน์สูงสุด ให้การค้าเจริญรุ่งเรือง เพียงแค่เศรษฐกิจรุ่งเรืองจึงจะสามารถจัดการกับความยากไร้ของประชาชนได้ และจึงจะสามารถแก้ไขปัญหาของประเทศได้”
บรรดาผู้ศึกษาทั้งหลายพากันครุ่นคิด และเห็นตรงตามนั้น พวกเขามองไปยังฟู่เสี่ยวกวนแล้วรู้สึกว่าชายหนุ่มผู้นี้มองการณ์ไกลเสียทีเดียว
……
……
รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 9 เดือนสองวันที่ยี่สิบห้า
ขบวนรถออกมาจากเมืองจินหลิงได้ 15 วันแล้ว
พวกเขามุ่งหน้าตรงไปทางทิศใต้ ฤดูใบไม้ผลิกำลังเบ่งบาน สองวันก่อนได้มีแสงแดดจากดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นมา ทำให้บรรดาพืชสีเขียวและต้นเห็ดอีกทั้งดอกไม้ป่ากำลังผุดขึ้น
ตลอดทางมานี้ ทุกครั้งที่หยุดพักผ่อน ฟู่เสี่ยวกวนมักจะเอ่ยให้เห็นถึงความสำคัญของเศรษฐกิจให้แก่พวกเขาฟัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวคิดใหม่ของคำที่ว่าคุณค่าอื่นใดหรือจะเทียบการศึกษาหาความรู้ด้วยการเรียนหนังสือได้
“ประโยคนี้ พวกเจ้าเข้าใจมิกระจ่าง ข้ามิได้ตำหนิคนโบร่ำโบราณ สิ่งที่พวกเขากล่าวเอาไว้มิผิดเป็นแน่ แต่คนที่ผิดคือผู้ที่ฟังแล้วมิเข้าใจให้กระจ่าง”
ฉินเหวินเจ๋อและคนอื่น ๆ กำลังพากันงุนงง ฟู่เสี่ยวกวนก็ค่อย ๆ อธิบายต่อไปว่า
“ก่อนอื่น การร่ำเรียนหนังสือทำให้พวกเจ้าได้มีความรู้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นพื้นฐานของความก้าวหน้า หากไร้หนังสือ ไร้ซึ่งผู้ร่ำเรียน เช่นนั้นมนุษย์คงจะยังหยุดอยู่ในยุคหิน เมื่อมนุษย์ได้คิดค้นประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นมา จึงได้ก้าวเข้าสู่อารยธรรม พวกเราจึงมีหนังสือที่บันทึกภูมิปัญญาของคนสมัยก่อนไว้ หนังสือเหล่านี้ทำให้พวกเราได้รับอารยธรรมที่สืบทอดมาแต่โบราณ เช่น การจุดไฟ การทำนา การทอผ้า การหล่อเหล็ก เป็นต้น สังคมจึงได้พัฒนามาจนถึงตอนนี้ พวกเจ้าลองคิดดูเถิดว่า บรรดาขุนนางเป็นผู้ส่งเสริมการพัฒนาสังคมหรือไม่ ? ”
“บัดนี้ข้าจะยังมิให้คำตอบแก่พวกเจ้า จงนำกลับไปคิดทบทวนด้วยตนเอง หลังจากไปถึงราชวงศ์อู่แล้ว พวกเจ้าจงเขียนคำตอบออกมาแล้วส่งให้ข้า”
ประโยคเมื่อครู่ทำให้พวกเขาพากันครุ่นคิด และทำให้พวกเขาได้รู้ว่าแท้จริงขุนนางมิได้มีประโยชน์ต่อการพัฒนาสังคมเท่าใดนัก
ถ้าเช่นนั้นสิ่งที่ทำให้สังคมพัฒนา ทำให้ประเทศแข็งแกร่งมั่งคั่งคือสิ่งใด ?
หลังจากที่ฟู่เสี่ยวกวนทิ้งคำถามไว้แล้วเขาก็มิได้ใส่ใจมันอีก บัดนี้เขากำลังนั่งอยู่บนรถม้าของซูเจวี๋ย
ในรถม้านี้มีทั้งสิ้น 3 คน อีกคนหนึ่งคือชายวัยกลางคนแต่งตัวคล้ายกับพ่อค้า แต่ฟู่เสี่ยวกวนมิเคยพบเขามาก่อน ซูเจวี๋ยก็มิได้แนะนำ
“นี่คือข้อมูลที่เกี่ยวข้องของหยูชุนชิว ท่านแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพตะวันออก”
ฟู่เสี่ยวกวนรับมาดูอย่างละเอียด หว่างคิ้วของเขาค่อย ๆ ชิดกันเข้ามา เขาเอื้อมมือไปเปิดม่านหน้าต่าง ที่นี่อยู่ห่างจากเมืองเปียนเฉิงถึง 200 ลี้ แต่ทว่าฝนได้เทลงมาแล้ว
ขบวนรถม้ากำลังดำเนินอยู่ ณ พื้นที่ราบชังซี ในค่ำคืนนี้พวกเขาจะพักกันที่ศาลาพักม้าชังซี ที่แห่งนี้อยู่ภายใต้การดูแลของกองทัพใต้ พวกเขาจะไปถึงเมืองเปียนเฉิงในคืนวันพรุ่งนี้
ข้อมูลบนรายงานนี้กล่าวว่า
“เต๋อชินอ๋องได้รับฉาว่าหยูหลินจวิน ปกครองอยู่ที่เซิงโจว มีบุตรชาย 3 คน ธิดา 2 คน ซึ่งซื่อจื่อนามว่าหยูชุนชิวได้รับหน้าที่เป็นแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพใต้ ในรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 3 เดือนแปดวันที่แปด”
“หยูชุนชิวอายุ 36 ปี เข้าร่ำเรียน ณ สำนักศึกษาจี้เซี่ยในรัชสมัยไท่เหอปีที่ 44 – 45 เชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้ทั้งสิบแปดรูปแบบ โดยเฉพาะอย่างการจัดทัพ นับแต่รัชสมัยไท่เหอปีที่ 46 ถึงรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 3 หยูชุนชิวเดินทางไปทั่วทิศ เข้าเยี่ยมผู้เชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์ทางทหารของประเทศต่าง ๆ และรับใช้กองทัพชายแดนทางเหนือเป็นเวลา 3 ปี ในตำแหน่งที่ปรึกษา”
“ภรรยานามว่าเผิงยวี๋เยี่ยน เป็นหลานสาวของติ้งกั๋วกงนามว่าเผิงถู รูปร่างหน้าตาค่อนข้างธรรมดา แต่ได้ยินว่าฉลาดหลักแหลมยิ่ง อีกทั้งเข้าใจในยุทธศาสตร์ทางการทหารของเผิงกั๋วกง ชื่นชอบทำสงคราม สามารถใช้ตะบองฟาดหมาป่าที่หนักถึง 33 ชั่ง 8 เหลี่ยงได้”
“หยูชุนชิวมีบุตรชาย 2 คน ธิดา 1 คน บุตรชายคนโตนามว่าหยูซีผิง ได้รับพระราชทานให้อาศัยในเมืองจินหลิงในรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 3 เดือนเจ็ด เขาผู้นี้มีนิสัยรักสงบมิอวดอ้าง มิออกจากจวนหากมิมีความจำเป็น อีกทั้งมิเคยพบเห็นเขามีความสัมพันธ์ใดกับขุนนางในเมืองจินหลิง”
ฟู่เสี่ยวกวนนำรายงานนี้เก็บใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ แล้วจึงลุกขึ้นยืน กล่าวกับชายวัยกลางคนที่นั่งข้างซูเจวี๋ยว่า “คงต้องรบกวนเจ้าสืบเมืองเปียนเฉิงให้ข้าอีกสักหน่อย”
ชายวัยกลางคนผู้นั้นยกมือกำขึ้นคารวะ แล้วเดินจากไป ซูเจวี๋ยขยับหมวกของเขาแล้วเอ่ยว่า “เจ้าคิดว่าหยูชุนชิวมีสิ่งใดต้องสงสัยรึ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนเผยอปากยิ้ม “เขามิได้มีปัญหาใด ค่ำคืนนี้คาดว่าจะได้พบกับท่านแม่ทัพใหญ่ผู้นี้”
“เขาจะมาเยี่ยมเจ้าที่ศาลาพักม้างั้นรึ ? ”
“หามิได้…” ฟู่เสี่ยวกวนส่ายหัว “หากก่อนหน้าที่พวกเราจะเดินทางไปถึงศาลาพักม้าชังซีครึ่งชั่วยาม ยังมิได้รับจดหมายจากเขา ข้าก็จะเป็นผู้ส่งจดหมายไปให้เขาเอง”
“เพราะเหตุใด ?”
“ข้าสนใจภรรยาของเขา”
……
ณ ค่ายกองทัพทหารใต้
มีจำนวนค่ายมากมายในที่นี้ มองไปสุดลูกหูลูกตา และมีจวนหนึ่งที่โดดเด่นออกมา นั่นคือจวนของแม่ทัพใหญ่
บัดนี้สนามฝึกวรยุทธ์ในจวนแม่ทัพใหญ่ มีสตรีวัยกลางคนผู้หนึ่ง ถือตะบองยาวประมาณ 5 ฟุตกวัดแกว่งไปมา
แสงที่ตกกระทบมานั้น ทำให้เกือบที่จะมองมิเห็นรูปร่างของตะบองนั้น
หยาดฝนในฤดูใบไม้ผลิโปรยลงมา แต่ก็มิอาจกระทบกับตะบองนั้นได้
จากนั้น ได้ปรากฏชายวัยกลางคนสวมชุดแน่นหนาเดินถือดาบเล่มยาวเข้ามายังสนามฝึก ดาบนั้นดูน่าเกรงขามคล้ายกับสามารถกลืนกินภูผาลำธารเข้าไปได้อย่างไรอย่างนั้น !
นางผู้นั้นตะโกนออกมาเสียงดังว่า “เจ้ามาได้จังหวะพอดี มารับตะบองจากข้าไปเสีย ! ”
เมื่อเห็นแสงสีเงินหมุนวน ตะบองในมือของนางก็เหวี่ยงออกไปกระทบกับดาบนั้น “เฉ้ง ! ! ! ” ดาบถูกตะบองปัดออกไปด้วยแรงมหาศาล และร่างของนางก็กระโดดขึ้นจากพื้น ตะบองหวดลงมาทางศีรษะของชายผู้นั้นท่ามกลางสายฝน
ชายวัยกลางคนตะโกนออกมาบ้างว่า “แม่นาง จงรับดาบข้าไปเสีย !”
ทั้งสองคนต่อสู้กันอยู่สิบกว่าที จนกระทั่งดอกท้อที่มุมกำแพงร่วงหล่นลงมาจึงได้หยุดลง
“แม่นางช่างเก่งกาจยิ่ง !”
“ท่านก็เช่นเองก็เช่นกัน !”
เมื่อทั้งสองกลับมายังห้องพักผ่อน บ่าวรับใช้ได้เดินถือแก้วชาและผ้าร้อนส่งมอบให้ “ท่านแม่ทัพ ฮูหยินเจ้าคะ เมื่อสักครู่ท่านเซวียนเดินทางมา กล่าวว่า…ขบวนเสด็จขององค์หญิงเก้ามิได้หยุดพักที่ชังถง นับจากวันเวลาแล้ว คาดว่าในค่ำคืนนี้จะพักที่ศาลาพักม้าชังซี”