เสียงวิหคเจื้อยแจ้วแว่วดังมาจากนอกหน้าต่าง
บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนได้ลุกขึ้นจากเตียงนอนแล้ว เมื่อล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้วเขาก็ได้มาฝึกสิบสามกระบวนท่ากระบี่ฉวนเจิน แท้จริงแล้วเขานั้นอยากฝึกวิชาตัวเบาเสียมากกว่า แต่ซูเจวี๋ยยังมิปรากฏตัวออกมาให้เห็น หากตกลงมากองบนพื้นนั้นคาดว่าจะบาดเจ็บมิน้อย ดังนั้นฝึกกระบวนท่ากระบี่จึงเหมาะสมกว่า
ในขณะที่กำลังเริ่มร่ายรำท่ากระบี่ ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงรถม้าดังกุกกักมาจากนอกจวนที่พัก
เขาไม่ได้ใส่ใจแล้วจึงฝึกกระบวนท่าต่อ จากนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
เขาแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า แม้ยามนี้แสงเริ่มสาดส่องมาบ้างแล้วแต่ความมืดยังคงปกคลุมอยู่เป็นส่วนใหญ่ ผู้ใดมาเยือนตั้งแต่ฟ้าสางกัน ?
ฟู่เสี่ยวกวนเดินไปเปิดประตู แล้วจึงพบเห็นกับใบหน้าพราวเสน่ห์ส่งยิ้มมาให้ตรงเบื้องหน้าประตู ทำให้เขาตกใจเสียจนขวัญหนีดีฝ่อ !
อู๋หลิงหัวเราะร่า แล้วทำความเคารพต่อฟู่เสี่ยวกวน มิคิดฝันว่าคนที่เดินมาเปิดประตูจะเป็นฟู่เสี่ยวกวนเสียเอง “คุณชายฟู่ตื่นเช้ายิ่งนัก ข้ายังแอบกังวลว่าคุณชายจะปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมที่นี่มิได้เสียอีก” ในขณะที่ฟู่เสี่ยวกวนกำลังตะลึงกับสิ่งที่อยู่เบื้องหน้านั้น อู๋หลิงก็ได้หันไปสั่งการบ่าวรับใช้ของนางว่า “ซู่ซู่จงนำสำรับอาหารเช้าที่เตรียมไว้เข้ามา”
นางหันไปมองฟู่เสี่ยวกวนแล้วเลิกคิ้วเล็กน้อย แล้วจึงเอ่ยถามชายหนุ่มออกไปอย่างฉะฉานว่า “อะไรกัน มิต้อนรับข้าหน่อยหรือ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้หลีกทางให้อู๋หลิงเดินเข้ามา แล้วยิ้มด้วยความรู้สึกละอาย “กระหม่อมมิคาดคิดว่าองค์หญิงจะเสด็จมาตั้งแต่ฟ้าสาง”
ทั้งสองได้เข้าไปนั่งในห้องโถงใหญ่ จากนั้นมีบ่าวรับใช้อีก 4 คนเดินถือกล่องอาหารกล่องใหญ่เข้ามาติด ๆ
“เมื่อลองคิดดูแล้วเช้าเยี่ยงนี้ท่านคงยังมิได้รับประทานอาหารเช้า ข้าเลยจัดเตรียมมาให้เล็ก ๆ น้อย ๆ นี่เป็นมื้อเช้าที่ดีที่สุดแห่งราชวงศ์อู๋ มีเพียงร้านซิ่งหลินจี้เท่านั้นที่สามารถปรุงรสชาติแสนเลื่องลือนี้ออกมาได้…แล้วพี่สาวทั้งสองเล่า ? ”
“เมื่อค่ำพวกนางทั้งสองต่างก็อ่อนล้ารู้สึกมิสบายตัว บัดนี้คงนอนหลับอยู่ที่เรือนด้านหลัง ”
“หม่อมฉันขอไปดูเสียหน่อย”
อู๋หลิงรีบขึ้นไปดูอย่างรีบร้อน ฟู่เสี่ยวกวนมองแผ่นหลังของนางที่เดินจากไปแล้วยิ้มร่าออกมาพร้อมกับส่ายหัว
กระบวนท่ากระบี่นั้นคงฝึกมิสำเร็จเสียแล้ว เขาเดินเข้าไปในเรือนแล้วจึงอาบน้ำอาบท่า เมื่อเดินออกมาก็ได้พบอู๋หลิง ต่งชูหลาน และหยูเวิ่นหวินเดินจับกลุ่มหัวเราะอย่างเริงร่าเข้ามา
ทั้งสี่ได้นั่งลงตรงโต๊ะเบื้องหน้า ฟู่เสี่ยวกวนได้มองสีหน้าของต่งซูหลานและหยูเวิ่นหวินดีขึ้นกว่าวันก่อนพอสมควร เขาจึงเอ่ยถามว่า “เจ้าทั้งสองรู้สึกเยี่ยงไรบ้าง ? ”
ต่งซูหลานฟื้นตัวเร็วเป็นอย่างมาก บัดนี้นางได้กลับมาร่าเริงแจ่มใสแล้ว “ข้าดีขึ้นเยอะแล้ว แต่ทว่าเวิ่นหวิน…”
หยูเวิ่นหวินหน้าแดงเรื่อ นางจึงเอ่ยขัดว่า “เมื่อคืนข้านอนหลับมิสนิท บัดนี้มิได้ปวดศีรษะเฉกเช่นวันก่อนแล้ว แต่รู้สึกมิค่อยมีเรี่ยวแรงมากนัก ”
นางหันไปมองอู๋หลิงแล้วจึงเอ่ยออกมาต่อ “น้องสาวอู๋หลิงกล่าวไว้ว่าจะพาพวกข้าไปชมเมฆที่กวนหยุนถาย ได้ยินมาว่าทะเลหมอกที่นั้นงดงามเหลือเกิน ข้าชักอยากจะไปชมให้เห็นกับตาตนเองแล้วสิ”
แท้ที่จริงก็อยากไปดูทะเลหมอก
ทะเลหมอกมันน่าดูตรงไหนกัน ?
ทั้งสี่ทานอาหารเช้าด้วยกัน ทั้งสามนางพูดคุยกันตามประสตรี ส่วนฟู่เสี่ยวกวนนั้นเพียงนั่งฟังอย่างเงียบ ๆ
มื้อเช้านี่รสชาติช่างถูกปากเขาเสียจริง ๆ กินได้มิทันไร กลิ่นอาหารอันเย้ายวนนี้ก็ได้ส่งกลิ่นหอมเข้าจมูกของซูซูจอมตะกละเข้าจนได้
ซูซูยังคงแต่งกายด้วยชุดกระโปงสีขาวบาง ๆ ตัวนั้น เท้าเปล่าขาวเรียวคู่นั้นรีบวิ่งเข้ามาในห้องโถงทันที ดวงตาทั้งสองข้างของเบิกโผลง “ไอหยา ฟู่เสี่ยวกวน ! ท่านมีของอร่อยอยู่ก็มิรู้จักเรียกข้าสักคำ ! ”
เอ่ยเสร็จก็มิได้พูดพร่ำทำเพลง นางนั่งลงบนโต๊ะนั้นแล้วกินอย่างตั้งอกตั้งใจในทันที
ไร้ซึ่งคำบรรยาย ทว่าสาวน้อยผู้ตะกละมูมมามยามนี้นางกลับดูน่ารักยิ่งนัก
อู๋หลิงไม่ทราบว่าซูซูและฟู่เสี่ยวกวนมีความสัมพันธ์เช่นใดกัน แต่ซูซูได้เอ่ยกับฟู่เสี่ยวกวนอย่างเป็นกันเองยิ่งนัก หรือว่าศิษย์น้องคนที่หกนี้จะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับฟู่เสี่ยวกวนด้วยเช่นกัน
ชายหนุ่มผู้นี้มีหญิงสาวข้างกายกี่คนกันแน่ ?
อู๋หลิงได้หันไปมองฟู่เสียวกวน บัดนี้สายตาของนางมิได้ดูเรียบเฉยอีกต่อไป สายตาคู่นั้นดูมีความกังวลขึ้นมามิน้อย
ทว่าเมื่อมองต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินสองนางนั้นมิได้ท่าทีเยี่ยงนั้นเลยแม้แต่น้อย อู๋หลิงจึงคลายความกังวลนี้ไป นางคิดว่ายังมีเวลาอีกมากที่ให้นางได้แอบถามเรื่องหัวใจของฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้
หยูเวิ่นหวินรู้สึกไม่อยากอาหาร นางจึงทานได้น้อยมาก ส่วนต่งชูหลานนั้นชื่นชมรสชาติอันยอดเยี่ยมนี้มิขาดปาก นางจึงทานเข้าไปเยอะเป็นอย่างมาก
ซูซูนั้นไร้ซึ่งวาจาใด ๆ แต่นางได้ใช้อิริยาบถของนางแสดงท่าทีที่แสนจะดื่มด่ำกับอาหารมื้อนี้
หลังจากรับประทานมื้อเช้าเสร็จเรียบร้อยทั้งห้าคนก็ได้ออกเดินทาง แน่นอนว่าซูซูนั้นอยากจะติดตามออกไปด้วย นางมิได้เอ่ยเหตุผลอันใด แต่ฟู่เสี่ยวกวนรู้ดีว่านางต้องการอารักขาพวกเขาทั้งสี่คน
เพียงแต่อู๋หลิงมิเข้าใจว่าเหตุใดซูซูจึงต้องแบกฉินกล่องใหญ่ปานนั้นไว้บนหลังด้วย หรือนางอยากจะบรรเลงฉินยามที่ชมทะเลหมอกกัน
นี่ช่างเป็นความคิดที่วิเศษมากยิ่งนัก มิหยั่งรู้ว่าฝีมือบรรเลงฉินของแม่นางผู้นี้จะเป็นเยี่ยงไร ถึงตอนนั้นแล้วตนจักขอบรรเลงสักเพลงได้หรือไม่ ?
ขบวนรถม้าได้เคลื่อนผ่านเมืองกวนหยุนที่บัดนี้ยังมิตื่นจากห้วงนิทรา รถเคลื่อนไปยังตัวเมืองแล้วอ้อมพระราชวังอันโออ่าจากนั้นได้ตรงไปยังทิศตะวันออก
กวนหยุนถายนั้นตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของพระราชวัง ลักษณะของสถานที่แห่งนั้นเป็นที่สูงเหมาะสำหรับชมเมฆและทิวทัศน์
ด้วยเหตุนี้กวนหยุนถายจึงเป็นที่ตั้งของสำนักดาราศาสตร์ และมีเพียงมิกี่คนเท่านั้นที่จะมีอภิสิทธิ์เข้ามาชมทะเลหมอกบนที่แห่งนี้
แขกผู้ทรงเกียรติของงานชุมนุมวรรณกรรมครานี้ ผู้ซึ่งมีฐานันดรศักดิ์เป็นองค์ชายสิบสามผู้สูงส่งแห่งแคว้นฝานเยี่ยงฝานเทียนหนิงนั้นมิได้ร่วมขบวนในครานี้ด้วย เพราะเขาได้ล่วงหน้ามาก่อนขบวนของฟู่เสี่ยวกวนแล้ว
พระสงฆ์คูฉานก็ได้ติดตามเขามาด้วยเช่นกัน นอกเหนือจากนี้ยังมีผู้อาวุโสในชุดสีเขียวแกมน้ำเงินอีกท่านหนึ่งอยู่ด้วย ผู้ที่ฟู่เสี่ยวกวนมิเคยพบเห็นมาก่อน
ทว่าฝานเทียนเองนั้นก็คาดคิดมิถึงว่าเหยียนหานยู่องค์ชายหกแห่งแคว้นอี๋และท่าป๋ายวนรัชทายาทแห่งแคว้นฮวงนั้นได้ล่วงหน้ามาถึงกวนหยุนถายก่อนตนเสียอีก
ฝานเทียนหนิงนั้นเป็นเด็กหนุ่มที่ฉลาดหลักแหลม เขามิต้องการมีความบาดหมางอันใดกับเหยียนหานยู่และท่าป๋ายวน แม้ว่าทั้งสองคนนี้จะได้ข่าวคราวมาว่าฝานเทียนหนิงได้เชิญฟู่เสี่ยวกวนและคณะไปยังตำหนักเสียนฉิง แต่ลึก ๆ แล้วในใจทั้งสองนั้นไร้ความพยาบาทใด ๆ ต่อฝานเทียนหนิง
ในเมื่อต่างฝ่ายต่างมิมีเรื่องใดผิดใจกัน และต่างฝ่ายต่างก็มีผลประโยชน์ร่วมกันในอนาคต เช่นนั้นแล้วทั้งสามคนจึงพูดคุยกันตามปกติ
ขณะที่ฟู่เสี่ยวกวนเดินทางมาถึงกวนหยุนถายนั้น ทั้งสามหนุ่มก็กำลังคุยกันอย่างเข้าขาพอดิบพอดี
“เมืองกวนหยุนนั้นมีห้าสุดยอดทิวทัศน์ที่ห้ามพลาด หนึ่งคือชมกลุ่มเมฆลอยล่องบนกวนหยุนถาย สองชมแสงสุริยันกระทบภูเขาจินซานบนที่ราบสูงหลีลั่ว สามฟังเสียงกลองบอกเวลายามรุ่งอรุณและสนธยาที่วัดหานหลิง สี่ฟังเสียงลมพัดและเสียงฝนพรำบนศาลาริมลำธารหลานหลิง ห้าหยุดพักผ่อนกายาที่หลิวหยุนถาย ณ ทะเลสาบสิบลี้ กระหม่อมขอเอ่ยตามตรงว่ามิคาดหวังสิ่งใดต่อการแข่งขันครานี้ สิ่งที่กระหม่อมคาดหวังคือจะต้องมาเชยชมทิวทัศน์เหล่านี้ให้เห็นกับตาให้จนได้ ”
เหยียนหานยู้หัวเราะเยาะฝานเทียนหนิง “ท่านน้องฝานโดนชื่อเสียงของฟู่เสี่ยวกวนข่มเสียจนขวัญเสียถึงเพียงนี้เชียวหรือ ? ”
ฝานเทียนหนิงหัวเราะเบา ๆ คิดว่าเจ้าพวกนี้ล้วนแต่เป็นกบในกะลา หากได้เชยชมบทกวีบทใหม่ที่ฟู่เสี่ยวกวนได้ประพันธ์ที่ตำหนักเสียนฉิง ความคาดหวังของพวกเจ้าทั้งหมดจักต้องหายเข้ากลีบเมฆไปเฉกเช่นข้า
คำพูดของท่าป่ายวนนั้นยิ่งตรงไปตรงมาและดูโอหังเสียเหลือเกิน “น้องฝานอย่าได้สรรเสริญเจ้าฟู่เสี่ยวกวนนั่นนักเลย หากมีพวกเราทั้งสามร่วมมือกัน ไหนจะมีสุดยอดนักปราชญ์แห่งหลานซีได้อีก หากเจ้าฟู่เสี่ยวกวนอยากคว้าชัยชนะ ข้ามองแล้วคาดว่าคงเป็นไปได้ยากนัก จริงเสียว่าประพันธ์กวีบทหนึ่งได้วิจิตรบรรจงนั้นแสนง่ายดาย หากแต่ต้องประพันธ์เป็นสิบหรือเป็นร้อยบทเล่า ท่านคิดว่าความคิดของเขาจักพรั่งพรูดั่งสายน้ำได้ตลอดเยี่ยงนั้นรึ พวกข้าล้วนแต่ฝึกวรยุทธ์กันมาทั้งสิ้น พวกข้าย่อมรู้ดีว่าหนึ่งหัวนั้นมิอาจเทียบเท่าสองหัว พยัคฆ์ที่ดุร้ายยังต้องพ่ายแก่สุนัขหมู่ ต่อให้มันมีพรสวรรค์ถึงเพียงใดก็มิอาจเอาชนะหลาย ๆ มันสมองรวมกันได้ ”
“แต่ทว่าฟู่เสี่ยวกวนก็ยังนำเหล่าปัญญาชนมากว่าร้อยชีวิต ! ”
“ราชวงศ์อู๋หาได้มีเพียงแค่สุดยอดเจ็ดนักปราชญ์แหล่งหลานซีเสียทีเดียว ! ”
“หมายความว่าท่านพี่ท่าป๋ายวนนั้นรู้ถึงกฎการแข่งขันแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ” ฝานเทียนหนิงถามออกไปด้วยความสงสัย