ดวงอาทิตย์ลอยเหนือท้องนภา ท้องฟ้ายังคงเป็นสีฟ้าสดใส
แสงแดดที่อบอุ่นแผ่ซ่านมาที่คฤหาสน์จิ้งหูแห่งนี้ ราวกับกำลังปลุกฤดูใบไม้ผลิที่กำลังหลับไหลอยู่ ทันใดนั้นก็มีเสียงจักจั่นที่ใสดังกังวาลขึ้นมารอบด้าน
คูฉานดูสง่างาม เคร่งขรึมคฑาฉานที่อยู่ด้านหลังของเขาเกิดประกายเจ็ดสีใต้แสงแดด ประกายนั้นราวกับกำลังปกคลุมคูฉาน
เขานั่งอยู่ในจวนอย่างเห็นได้ชัด แต่ในสายตาของฟู่เสี่ยวกวน เงาของร่างนั้นกลับดูเลือนรางไปเล็กน้อย
มันสว่างจ้าจนทำให้ตาของเขาแทบจะบอด !
เกรงว่าไข่มุกเม็ดนั้นจะเป็นสมบัติที่ล้ำค่า
ต่อจากเสียงจักจั่นที่ดังกังวานขึ้นมา ทันใดนั้นร่างของคูฉานก็แผ่ประกายสีทองอร่ามออกมา มันเคลื่อนไหวออกมาคล้ายระลอกคลื่น แต่แล้วเขาก็เก็บกลับไปอย่างรวดเร็ว
ดังนั้น แสงอันมีค่าบนร่างของเขาได้หายแล้วไป และประกายเจ็ดสีจากคทาฉานนั้นก็ได้หายไปด้วย
เขาในตอนนี้สามารถมองเห็นได้ชัดเจนอย่างไร้ที่เปรียบ ราวกับพระพุทธรูปสีขาวที่ผ่านการชำระล้างด้วยฝนฤดูใบไม้ผลิ
เขาลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า ในดวงตามีประกายแล่นผ่าน เขาได้กลายเป็นพระอรหันต์ที่รูปงาม
คูฉานลุกขึ้นยืน หันหน้ามองไปทางฟู่เสี่ยวกวน สองมือยกขึ้นพนม และโค้งคำนับ “อาตมา คูฉาน ขอบคุณโยมที่มีจิตเมตตาสั่งสอนอาตมาให้บรรลุได้”
รถม้าห้าคันได้ออกไปจากคฤหาสน์จิ้งหู
สองคันรถม้าในกลุ่มนั้นติดตามเหวินสิงโจวไปยังจวนเหวิน อีกหนึ่งในนั้นคือฝานเทียนหนิงและคูฉาน ทั้งสองคนจะไปยังสถานทูตของแคว้นฝาน ส่วนอีกคันหนึ่งมีหยูเวิ่นหวิน ต่งชูหลาน และซูซู พวกนางต้องการไปยังจวนโหวเพื่อเข้าพบองค์หญิงรองหยูหยู ยามเว่ยพวกนางต้องการไปดูรอบ ๆ เมืองกวนหยุน เพื่อดูทำเลในการตั้งร้านค้า
บนรถม้าของฝานเทียนหนิง ทั้งสองคนได้สนทนากันว่า
“เจ้าจะเข้านิกายฝูจริง ๆ เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“พ่ะย่ะค่ะ หลังจากได้ฟังบทสวดพระโพธิสัตว์ ก็รู้สึกถึงบางอย่างขึ้นมาในใจ และตรัสรู้ถึงสัจธรรมบางอย่างขึ้นมาได้ทันพลัน”
“ลองเล่าให้ข้าฟังหน่อย ในตอนนั้นเจ้าจับสัมผัสอันใดได้บ้าง และได้รับสัจธรรมเยี่ยงไรมาบ้าง ? ”
คูฉานอ้าปากพะงาบ ในแววตาดูงุนงงเล็กน้อย…ข้าสัมผัสอันใดได้เยี่ยงนั้นหรือ และข้าได้รับสัจธรรมเยี่ยงไรน่ะหรือ ?
เขามิรู้หรอก มันช่างเลอะเลือนยิ่ง กลับกันในยามนี้เขากลับมีวรยุทธ์อย่างแท้จริง ในส่วนของกระบวนการนั้น เป็นกระบวนการที่สับสนและมึนงงมิสามารถอธิบายออกมาได้
ดังนั้นเขาจึงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ “ทูลฝ่าบาท ในชั่วขณะนั้น ราวกับมีการรดน้ำมนต์ของพระไตรปิฎก ราวกับมีแสงแห่งพระพุทธลอยลงมาจากฟากฟ้า ราวกับมีเสียงสวดที่นุ่มนวลดังอยู่ข้าง ๆ หู ราวกับได้เห็นอาณาจักรพระธรรมสีทอง ราวกับได้ฟังบทสวดพระโพธิสัตว์มาสามภพสามชาติ”
ฝานเทียนหนิงอ้าปากค้างแต่กลับพูดอะไรไม่ออก ลึกลับเพียงนั้นเลยหรือ เพราะบทสวดพระโพธิสัตว์เยี่ยงนั้นหรือ ?
ฟู่เสี่ยวกวนนำบทสวดมาประพันธ์เป็นบทกวี เพื่อเผยแพร่คำสอนเยี่ยงนั้นหรือ ?
“บทสวดพระโพธิสัตว์มีจริงเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
คูฉานจะไปทราบได้เยี่ยงไร แต่เขากลับพยักหน้ารับอย่างจริงจัง “มีจริง ๆ ! ”
“เยี่ยงนั้นคนที่เผยแพร่ใต้ต้นโพธิ์นั้นเป็นผู้ใดกัน ? ”
“…คาดว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า แต่จากที่ดูแล้วกลับเหมือนฟู่เสี่ยวกวน…คาดว่านี่น่าจะเป็นเหตุผลที่ฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้กล่าวบทสวดพระโพธิสัตว์ ในใจของข้าเลยคิดถึงภาพของเขา”
“…” ฝานเทียนหนิงจ้องคูฉานเขม็ง หากผู้นำนิกายมาได้ยินคำเอ่ยเยี่ยงนี้ของเจ้าเข้า เจ้าจะต้องโดนตีก้นเป็นแน่ !
“แล้วเจ้าล่ะ ? หรือว่าเจ้าจะเป็นเด็กชายใต้ต้นโพธิ์นั่นกัน ? ”
“ไม่ ข้าเป็นเพียงจักจั่นที่อยู่ใต้ต้นโพธิ์”
ทันใดนั้นฝานเทียนหนิงก็รู้สึกไม่ดีไปทั่วร่าง คูฉานฉีกยิ้ม จักจั่นกับผีเจ้าสิ มันกลายเป็นเช่นนี้ไปได้เยี่ยงไร ข้ามิได้รับรู้อันใดเลยอย่างแท้จริง
แต่รอยยิ้มนั้นที่ตกอยู่ในสายตาของฝานเทียนหนิง มันกลับดูล้ำลึกยิ่ง รู้สึกว่าผู้ที่นับถือนิกายฝูเยี่ยงคูฉานแม้แต่รอยยิ้มก็ดูน่าเลื่อมใสยิ่งนัก…
หรือว่า ข้าเองก็ควรไปเป็นพระด้วย ?
มองพระพุทธเจ้าที่เหมือนกับฟู่เสี่ยวกวนอยู่ใต้ต้นโพธิ์ มองจักจั่นที่พักพิงอยู่ใต้ต้นโพธิ์ตัวนั้น !
ในฐานะนักปราชญ์แห่งราชวงศ์อู๋ จวนของเหวินสิงโจวมิเพียงใหญ่กว่าจวนของฉินปิ่งจงเท่านั้น แม้แต่ภายในนี้ก็มีผู้คนอยู่เยอะกว่ามาก
“บุตรชายคนโตของข้าเหวินชังไห่อยู่ในสำนักศึกษาฮ่านหลิน บุตรชายคนรองเหวินซิ่วจงอยู่ในสำนักอัครมหาเสนาบดี บุตรคนที่สามเหวินซิงจ้าวอยู่ในซือหลี่เจี้ยน พวกเขามิได้แยกตัวออกไป ดังนั้นบ่าวรับใช้ภายในเรือนจึงมีเยอะเสียเล็กน้อย ข้ามิชอบอยู่ที่เรือนด้านหน้า มันเสียงดังมากเกินไป ข้าจะพาเจ้าไปยังห้องอักษรที่อยู่ด้านหลังเรือน ในนั้นสงบมากยิ่งนัก”
ต้นไม้ใหญ่แตกแยกกิ่งก้านบุตรเติบใหญ่แยกจากเรือน หรือว่าราชวงศ์อู๋จะมิมีแนวคิดเยี่ยงนี้กัน ?
ฟู่เสี่ยวกวนย่อมมิได้ไถ่ถามอันใด แต่ราวกับเหวินสิงโจวอ่านความคิดของเขาออก จึงกล่าวขึ้นมาว่า “มิใช่เรื่องง่ายเลย ที่จะซื้อจวนในเมืองหลวง จวนแต่ละหลังนั้นราคาแพงมากยิ่งนัก เบี้ยหวัดที่พวกเขาได้รับนั้นน้อยนิด มิสามารถซื้อจวนเยี่ยงนี้ได้ จึงต้องตัดใจไป ที่นี่ถือว่ากว้างขวาง ในตอนนี้ก็มิได้แออัดอันใดมากมาย”
อ่า…ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมิว่าจะเรื่องอันใด ก็เกี่ยวข้องกับเงินทั้งสิ้น
ฟู่เสี่ยวกวนเข้าใจเป็นอย่างยิ่ง เขาพาซูเจวี๋ยเดินตามเหวินสิงโจวไปยังด้านหลังเรือน และเข้าห้องอักษรไป
ในห้องอักษรมีหญิงสาวที่งดงามอยู่ผู้หนึ่ง ในยามนี้นางกำลังนั่งเขียนบางอย่างอยู่ที่โต๊ะ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า นางมิได้หันกลับมา แต่กลับกล่าวว่า “ท่านปู่ ข้าได้เรียบเรียงตำราหลี่เสวียเรียบร้อยแล้ว ประเดี๋ยวท่านลองอ่านดูอีกครานะเจ้าคะ”
“ซีรั่ววางมือก่อน ข้ามีคนที่อยากจะแนะนำให้เจ้าได้รู้จัก แล้วประเดี๋ยวเจ้าช่วยไปทำอาหารเลิศรสสักสองสามอย่างมาด้วยล่ะ”
หญิงสาวผู้นั้นขมวดคิ้วและหันหลังกลับมา จึงได้เห็นเข้ากับฟู่เสี่ยวกวน นางรู้สึกโมโหขึ้นมาทันพลัน มุมปากกระตุกเบา ๆ “ท่านปู่ ข้าสามารถจัดการเรื่องของข้าเองได้ ท่านมิต้องเป็นกังวลจะดีกว่าหรือไม่ ? ”
ก่อนหน้านี้ ท่านปู่มักจะพาชายหนุ่มที่เขาคิดว่าเป็นผู้มีความสามารถกลับมาด้วย เป้าหมายก็คือหวังให้นางได้พิจารณาดู
ชายผู้นี้มิได้แตกต่างจากชายหนุ่มเหล่านั้น รูปลักษณ์มิขัดตา การแต่งกายก็เหมาะสม กิริยาท่าทางสุภาพ แต่ทว่า…แต่คนเหล่านี้นางหาได้สนใจไม่ !
“มิได้เกี่ยวข้องกับตรงนั้น เขาคือฟู่เสี่ยวกวนจากราชวงศ์หยู”
ฟู่เสี่ยวกวนเยี่ยงนั้นหรือ ?
เหวินซีรั่วตกตะลึง และพินิจพิจารณาฟู่เสี่ยวกวนอีกครา ชายผู้นี้คือคนที่ท่านปู่ยกยอให้เป็นถึงนักปราชญ์แต่กลับมิได้ดูมหัศจรรย์แต่อย่างใด
ในฐานะที่เคารพในชื่อเสียงเรียงนาม นางลุกขึ้นคำนับและกล่าวอำนวยพรแก่ฟู่เสี่ยวกวน คิดว่าคนผู้นี้มีค่าพอให้นางทำอาหารให้ทานสักมื้ออยู่เช่นกัน
นี่คือการทำอาหารหนึ่งมื้อ มิใช่การทำอาหารสำหรับตลอดชีวิต !
เพราะฟู่เสี่ยวกวนก็มิใช่ผู้ที่เหวินซีรั่วสนใจเช่นกัน !
“เยี่ยงนั้นข้าขอตัวเข้าโรงครัวก่อน…คุณชายฟู่ รบกวนท่านช่วยอยู่สนทนากับท่านปู่ด้วย สนทนากันเรื่องวรรณกรรมนะเจ้าคะ มิต้องสนทนากันเรื่องของข้า”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะขึ้นมา และลูบจมูกไปมา “เรื่องนั้นแม่นางโปรดวางใจเถิด”
“เยี่ยงนั้นก็ดีเจ้าค่ะ ! ”
เหวินซีรั่วเดินออกไป เหวินสิงโจวจึงได้เชิญฟู่เสี่ยวกวนนั่งลง ในขณะที่ต้มชาก็ถอนหายใจไปด้วย “ข้าเองก็มิทราบว่านางต้องการหาแบบใดกัน นางเป็นบุตรีคนโตของเหวินชังไห่ หลังจากที่นางเกิดมา ภรรยาของเหวินชังไห่ก็มิได้ตั้งครรภ์เป็นเวลานาน ดังนั้นถึงได้เลี้ยงดูนางเฉกเช่นเป็นบุตรชาย เลี้ยงดูจนมีนิสัยคล้ายกับบุรุษ ภายหลังเหวินชังไห่ก็ได้มีบุตรชาย ให้ซีรั่วเปลี่ยนมาใส่ชุดสตรี แต่ก็แก้นิสัยของนางมิได้ ข้าล่ะปวดศีรษะอย่างแท้จริง ! ”
“ในกรณีเยี่ยงนี้ คาดว่านางน่าจะชอบเหล่าชาวยุทธ์”
“เฮ้อ…ก็เคยหาแล้ว เคยให้นางลองศึกษาดูจอหงวนด้านบู๊หลายปีที่ผ่านมาแล้ว” เหวินสิงโจวส่ายหน้า “มิเข้าตานางเลย ช่างมันเถิด มิต้องสนทนาเกี่ยวกับเรื่องของนางแล้ว มาสนทนากันเรื่องตำราหลี่เสวียเถิดวานเจ้าโปรดชี้แนะให้ข้าด้วย”
ทันใดนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็เกิดความคิดบางอย่างขึ้นมาว่า ไป๋ยู่เหลียนที่วิ่งวุ่นอยู่ในภูเขาเฟิ่งหลินปีนี้ก็อายุมิน้อยแล้ว เหวินซีรั่วผู้นี้ก็เป็นสตรีมีรูปลักษณ์ที่งดงาม หากทำให้นางสามารถตบแต่งกับไป๋ยู่เหลียนได้…รูปลักษณ์ของทั้งสองถือว่าเข้ากันได้เป็นอย่างดี หากมีบุตรชายหรือบุตรี ก็คงงดงามมิต่างจากดอกบัว !
เยี่ยงนั้นควรเริ่มลงมือจากที่ใดก่อนดี ?