รุ่งสางในวันถัดมา หลิงจือถูกส่งตัวออกไปจากจวนโหว ขณะที่ออกไปนั้นนางได้พาผัวจื่อคนหนึ่งไปด้วย ทั้งยังเป็นผัวจื่อที่เหยาเฟิ่งเกอเป็นผู้จัดเตรียมเอาไว้ให้ เพียงแค่คิดก็รู้แล้วว่าเมื่อไปถึงวัดประจำตระกูลชีวิตของนางจะเป็นเช่นไร
เหยาเยี่ยนอวี่เกียจคร้านไปสนใจเรื่องเหล่านั้น เวลานี้ภายในใจของนางมีเพียงเรื่องเดียว ซึ่งก็คือควรเร่งรักษาเหยาเฟิ่งเกอ เพื่อให้เหยาเฟิ่งเกอหายป่วยในเร็ววันแล้วส่งนางออกไปจากจวนโหวโดยเร็ว
วันนี้ เหยาเยี่ยนอวี่ได้ยินมาว่าซูอวี้เสียงออกไปด้านนอกจวน อีกทั้งยังจะไม่กลับมาในสองสามวันนี้ นางจึงกำชับหลี่หมัวมัวคอยจับตามองคนในเรือนให้ดี แล้วนางก็นำชุดฝังเข็มเข้าไปในเรือนของเหยาเฟิ่งเกอ พร้อมสั่งให้หู่พั่วเฝ้าอยู่ภายนอกประตู ไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามเข้าออกเรือน
หู่พั่วยกเก้าอี้ลายครามมานั่งตรงหน้าประตูพร้อมนำเอาเข็มและด้ายของนางมาเย็บปักถักร้อยด้วยจิตใจที่สงบ บรรดาสาวใช้และผัวจื่อในเรือนต่างถูกแบ่งหน้าที่ให้ไปทำงานต่างๆ เหยาเยี่ยนอวี่บอกให้หลี่หมัวมัวถอดชุดตัวในของเหยาเฟิ่งเกอออก ทำให้เห็นซี่โครงใต้ราวอก
เหยาเยี่ยนอวี่ใช้เข็มเงินในมือฝังลงบนจุดเทียนทู จุดกวนหยวน จุดจิ้วเหว่ยซึ่งเป็นจุดฝังเข็มบนเส้นลมปราณที่อยู่บนแผ่นอกของเหยาเฟิ่งเกออย่างรวดเร็ว เข็มที่ฝังลงไปนั้นลึกบ้างตื้นบ้าง นางฝังเข็มลงไปแล้วดึงเข็มออกมา โดยนางได้ทำการฝังเข็มเงินกว่าสิบแปดเข็มในครั้งเดียว อีกทั้งนางยังฝังเข็มลงบนเรือนร่างของเหยาเฟิ่งเกอด้วยความรวดเร็วและดึงเข็มออกมาด้วยความรวดเร็วเช่นเดียวกัน ไม่มีการหยุดพักระหว่างที่ทำ การกระทำของนางนั้นเปรียบดั่งการแสดงกล
หลี่หมัวมัวที่อยู่ด้านข้าง คอยเป็นลูกมือถึงกับใจเต้นแรงด้วยความหวาดกลัว นางอยากจะถามเหลือเกินว่าการที่คุณหนูรองทำเช่นนี้ จะทำให้เกิดปัญหาใหญ่ขึ้นหรือไม่ แต่เมื่อมองดูสีหน้าอันแน่วแน่จริงจังของเหยาเยี่ยนอวี่ หลี่หมัวมัวก็ไม่กล้าที่จะถาม
หลังจากที่เหยาเยี่ยนอวี่รักษาโดยการฝังเข็มให้กับเหยาเฟิ่งเกอเรียบร้อยแล้วนั้น นางก็ได้ถอนหายใจยาวๆ และก็เพิ่งสังเกตเห็นว่าเสื้อตัวในได้เปียกโชกไปหมดแล้ว
นี่เป็นครั้งแรกที่นางรักษาคนป่วยด้วยวิธีการฝังเข็ม ก่อนหน้านี้นางเคยลองใช้วิธีนี้กับกระต่ายและสุนัข ทว่าไม่ได้มีสิ่งใดผิดปกติ แต่อย่างไรก็ตามครั้งนี้เป็นการรักษามนุษย์ แม้ว่านางในชาติภพที่แล้วจะเป็นแพทย์แผนตะวันตก เคยใช้มีดผ่าตัดในการผ่าตัดหลอดเลือดหัวใจได้อย่างไม่มีความลังเล ทว่าการฝังเข็มลงบนเรือนร่างของมนุษย์เช่นนี้นางเพิ่งเคยทำเป็นครั้งแรก
อย่างไรก็ตาม จากการมองดูอาการของเหยาเฟิ่งเกอ ถือว่าผลลัพธ์นั้นไม่เลว เหยาเยี่ยนอวี่ถึงขั้นแอบคิดว่า หากมีเวลาว่างนางควรจะเขียนตัวอย่างการรักษานี้เป็นเอกสารวิจัยดีหรือไม่
ครั้งนี้หลังจากที่รักษาโดยการฝังเข็มเสร็จแล้วนั้น เหยาเยี่ยนอวี่ได้สั่งให้ชุ่ยเวยนำเข็มเงินไปเก็บได้เลย อาการป่วยของเหยาเฟิ่งเกอ ชี่ของตับ หัวใจติดขัดและไฟปอดลุกโชนได้หายไปจนหมดแล้ว หลังจากนี้เพียงแค่ดื่มยาต้มเพื่อปรับสมดุลในร่างกายก็เพียงพอ ไม่จำเป็นต้องฝังเข็มอีก
สองวันหลังจากนั้น หมอหลวงที่คอยตรวจชีพจรให้กับเหยาเฟิ่งเกอมาถึง เหยาเฟิ่งเกอเปลี่ยนชุดจากนั้นเดินออกไปจากเรือนนอน นางนั่งอยู่หลังฉากกั้นภายในห้องทางทิศตะวันออกเพื่อให้หมอหลวงจับชีพจร หลังจากที่ตรวจชีพจรดูแล้วนั้นหมอหลวงตกตะลึงเป็นอย่างมาก ถึงขั้นพูดไม่ออกไปนานครู่หนึ่ง
ซุนฮูหยินน้อยที่มาพร้อมกับหมอหลวง ในชั่วขณะนั้นนางคิดว่าเหยาเฟิ่งเกอเจียนตายแล้ว จึงถามขึ้น “ท่านหมอหลวง เป็นอย่างไรบ้าง”
หมอหลวงรีบขานตอบ “อาการป่วยของฮูหยินน้อยสามดีขึ้นมาก แม้ว่าร่างกายจะยังคงอ่อนแรง ทว่าเป็นเพียงอาการปกติทั่วไปของการที่ร่างกายเริ่มฟื้นตัวหลังจากหายป่วยก็เท่านั้น ขอเพียงดูแลสุขภาพให้ดีใช้เวลาเพียงหนึ่งถึงสองเดือน ก็จะหายดีเป็นปลิดทิ้ง”
“…” ซุนฮูหยินน้อยนิ่งค้างไปครู่หนึ่ง หมอหลวงพูดเช่นนี้ ก็หมายความว่าผู้ที่ป่วยเจียนตาย…กลับมามีชีวิตอีกครั้ง?!
คำพูดนี้ของหมอหลวงเท่ากับลูกปืนไฟขนาดใหญ่ตกลงในจวนติ้งโหวอย่างไม่ต้องสงสัย คนทั่วทั้งจวนนับตั้งแต่ติ้งโหวและลู่ฮูหยิน ตลอดจนถึงบรรดาผัวจื่อที่ทำหน้าที่จุดฟืนไฟและผ่าฟืนต่างก็รู้สึกคาดไม่ถึง เพียงชั่วครู่ ข่าวลือที่ว่าฮูหยินน้อยสามมีพระพุทธองค์คอยคุ้มครองก็แพร่ออกไป ถูกบรรดาผัวจื่อปากพล่อยพูดกันไปต่างๆ นานา
ภายในหอสงบใจของลู่ฮูหยิน ณ เรือนหลัก รูปเคารพของพระโพธิสัตว์กวนอิมผู้มีดวงหน้าเปี่ยมไปด้วยความเมตตาประทับนั่งอยู่บนดอกบัว บนโต๊ะบูชามีผลไม้และน้ำชาวางเอาไว้ อีกทั้งในแจกันลายครามยังมีดอกบัวตูมและฝักบัวหลวงอย่างละหนึ่งก้านประดับเอาไว้
ลู่ฮูหยินจุดธูปบูชาพระโพธิสัตว์กวนอิม จากนั้นประสานนิ้วมือทั้งสิบเข้าด้วยกันแล้วอธิษฐานอย่างเงียบๆ เมื่ออธิษฐานเสร็จ นางก็หมุนตัวหันหลังเดินไปนั่งบนตั่งไม้
เหลียนหมัวมัวเดินเข้ามาด้วยความเงียบพร้อมยกชาหอมกรุ่นมาหนึ่งกา นางยื่นน้ำชาไปตรงหน้าลู่ฮูหยินด้วยความเคารพ “ฮูหยิน ดื่มชาสักหน่อยเจ้าค่ะ”
ลู่ฮูหยินรับถ้วยน้ำชามาทว่าไม่มีใจคิดอยากจะดื่ม นางทำเพียงทอดถอนหายใจเบาๆ
เหลียนหมัวมัวเดินไปข้างกายลู่ฮูหยินจากนั้นบีบนวดไหล่ให้กับนาง พร้อมพูดกล่อม “ฮูหยินเจ้าคะ นี่คือความประสงค์จากสวรรค์ ฮูหยินอย่าได้เป็นกังวล หลังจากที่ผ่านความเป็นความตายครั้งนี้ไปแล้ว บางทีฮูหยินน้อยสามอาจจะกลับตัวกลับใจก็ได้นะเจ้าคะ”
“นี่คือความประสงค์ของสวรรค์จริงๆ เช่นนั้นหรือ? ผู้ที่มีจิตใจโสมมเช่นนั้น คู่ควรที่จะได้รับการคุ้มครองจากพระพุทธองค์ด้วยหรือ! ” ลู่ฮูหยินขมวดคิ้วเป็นปม
เหลียนหมัวมัวลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพูดขึ้นเสียงเบา “บางที สิ่งที่ฮูหยินเห็นในวันนั้นอาจจะไม่ใช่เรื่องจริงก็ได้นะเจ้าคะ”
“วันนั้น ภายในป่าอิงฮวา ด้านหลังซุ้มจัดงานพิธีพระบรมศพของไทเฮา ข้าเห็นองค์ชายสามกุมมือของนางกับตาตนเอง!” ลู่ฮูหยินพูดเสียงเบาอย่างสะกดกลั้น “หรือจะบอกว่าตาของข้าบอดไปเสียแล้ว?!”
เหลียนหมัวมัวก้มหน้าลง ไม่กล้าพูดมากอีก
อาการป่วยของเหยาเฟิ่งเกอหายดีแล้ว เหยาเยี่ยนอวี่แนะนำให้นางออกไปเดินเล่นด้านนอกให้มากขึ้นหากออกไปไหว การเอาแต่อุดอู้อยู่ในเรือนเช่นนี้ไม่ช่วยส่งผลดีต่อร่างกายที่กำลังพักฟื้น ดั่งเช่นคำพูดหนึ่งที่บอกเอาไว้ว่าชีวิตขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหว เฉกเช่นกับก่อนหน้านี้ทั้งๆ ที่นางไม่ได้ป่วยหนัก ทว่านางนอนดมกลิ่นธูปหอมผ่อนคลายทั้งกลางวันและกลางคืน การนอนซมอยู่แต่บนเตียง ทำให้อวัยวะต่างๆ ในร่างกายนั้นหลับใหลใกล้ตายกันหมด แน่นอนว่าคำพูดประโยคหลังๆ นี้เหยาเยี่ยนอวี่ทำได้เพียงคิดในใจเท่านั้น
ฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ช่างร้อนยิ่งนัก ทั้งที่เข้าสู่เดือนแปดแล้ว ทว่าอากาศยังคงไม่เย็นลงเลย เหยาเฟิ่งเกอพาเหยาเยี่ยนอวี่เดินเล่นอยู่ในสวนหย่อมหลังจวน ทั้งสองพี่น้องพูดคุยกันตลอดทางและชื่นชมทิวทัศน์ภายในสวน
ถึงอย่างไรเสียก็เพิ่งหายดีจากการป่วยหนัก ร่างกายของเหยาเฟิ่งเกอจึงอ่อนแอเป็นเรื่องปกติ บนเรือนร่างของเหยาเฟิ่งเกอคลุมด้วยผ้าฝ้ายสีรากบัว นางที่นอนซมอยู่บนเตียงมานานกว่าครึ่งค่อนปี ทำให้ร่างกายซูบผอมจนเห็นได้ชัด ถึงอย่างไรนางก็เป็นสตรีที่เกิดมามีรูปโฉมงดงาม ยามที่สีหน้าของนางสดชื่นขึ้นมาทำให้นางแลดูงดงามยิ่งนัก เวลานี้สภาพของนางแลดูอ่อนแอบอบบางน่าสงสาร เหยาเฟิ่งเกอจับมือของซานหูเอาไว้แล้วค่อยๆ ก้าวเดิน เป็นไปตามคำพูดที่ว่า ‘ต้นหลิวพลิ้วไหวไปตามแรงลมอย่างอ่อนโยน คล้ายสตรีร่ายรำ มวลกล้วยไม้แต้มไปด้วยน้ำค้าง คล้ายสตรีร่ำไห้เปื้อนผ้าเช็ดหน้า หัวเราะเพียงลำพังด้วยความขมขื่น’
เหยาเยี่ยนอวี่พูดถึงเรื่องเดิมอีกครั้ง พูดถึงเรื่องที่จะออกจากจวนไปอยู่ในบ้านสวน
เหยาเฟิ่งเกอเดินจนเหนื่อยแล้ว จึงเดินเข้าไปนั่งในศาลาที่ร่มเย็น พร้อมกับยื่นมือมาจับมือของนางเอาไว้แล้วพูด “อีกไม่กี่วันก็จะถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้ว แม้ว่าน้องสาวจะไม่ชื่นชอบที่แห่งนี้ ก็ย่อมต้องรอให้ผ่านเทศกาลไปก่อนจึงจะไปได้ อีกทั้งข้ายังได้รับจดหมาย เนื้อความในจดหมายบอกไว้ว่าอีกเพียงไม่กี่วัน พี่รองก็จะเข้ามาในเมืองหลวง หรือเจ้าไม่อยากเจอเสียหน่อย?”
เหยาเยี่ยนอวี่ได้ยินคำพูดนี้ทำได้เพียงพยักหน้า นึกถึงท่านพ่อและท่านแม่ แม้ว่าพวกท่านจะไม่ได้รักใคร่และตามใจนางไปเสียทุกอย่าง ทว่านางเองก็ไม่เคยต้องเป็นกังวลถึงเรื่องอาหารการกินและเสื้อผ้า อีกทั้งนางยังเติบใหญ่ขึ้นมาอย่างแข็งแรง มนุษย์ทุกคนล้วนมีหัวใจ ไม่ว่าอย่างไรเหยาเยี่ยนอวี่ก็ไม่ใช่คนอกตัญญู
พี่น้องทั้งสองพูดคุยเสวนากันในศาลา ซานหูนั้นเป็นสาวใช้ที่มีความละเอียดอ่อน นางสั่งให้คนไปยกชาร้อนและขนมหวานมาให้ ในเวลานี้เหยาเยี่ยนอวี่ก็รู้สึกหิวอยู่พอดี จึงหยิบขนมมะพร้าวอ่อน เข้าปากหนึ่งชิ้นอย่างไม่เกรงใจ
เสียงหัวเราะด้านหลังป่าเขียวชอุ่มลอยมาตามสายลม เหยาเฟิ่งเกอที่ถือถ้วยน้ำชาอยู่นั้นนิ่งค้างไปครู่หนึ่ง นัยน์ตาของนางเผยความเย็นยะเยือกออกมาแวบหนึ่ง
ผู้ที่มานั้นคือเฟิงฮูหยินน้อยผู้เป็นฮูหยินท่านซื่อจื่อ ที่มาพร้อมกันคือซุนฮูหยินน้อยสะใภ้รอง ด้านหน้าพวกนางทั้งสองมีเด็กหญิงน้อยนามซูจิ่นอวิ๋นอายุห้าขวบ เด็กน้อยอีกคนนั้นคือบุตรชายคนโตของซุนฮูหยินน้อย นามซูจิ่นเซวียนมีอายุเพียงสามขวบ พวกนางพาแม่นม สาวใช้และผัวจื่อร่วมสิบกว่าคนมาด้วยกัน ระหว่างที่เดินผ่านไปนั้นพวกนางพูดคุยไปด้วยและหัวเราะไปด้วย
ซูจิ่นอวิ๋นและน้องชายซูจิ่นเซวียนวิ่งอยู่ด้านหน้า จึงพบเห็นสองสาวพี่น้องตระกูลเหยาที่นั่งอยู่ในศาลาเป็นคนแรก ซูจิ่นอวิ๋นวิ่งมาในทันใด และร้องเรียกด้วยความเชื่อฟัง “ท่านอาสะใภ้สาม” จากนั้นจึงมองดูขนมหวานในมือของเหยาเยี่ยนอวี่
เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้ม จากนั้นหักขนมในมือไปครึ่งหนึ่งแล้วเอาเข้าปาก ส่วนขนมไข่มะพร้าวอ่อนอีกครึ่งที่เหลือก็ยื่นให้กับเด็กน้อย แม่นมจู้ซื่อเห็นเช่นนั้น จึงรีบวิ่งเข้ามาในศาลา แล้วคว้าตัวซูจิ่นอวิ๋นมาอุ้มเอาไว้ นางยกยิ้มจอมปลอมให้กับเหยาเยี่ยนอวี่ แล้วพูดขึ้น “ขอบคุณคุณหนูรอง แต่หลายวันนี้คุณหนูท้องไส้ไม่ดีนัก เมื่อครู่กินข้าวต้มไปเพียงสองคำก็อาเจียนออกมาแล้ว เวลานี้เริ่มมีลมพัด บ่าวไม่กล้าให้คุณหนูกินอาหารในที่ที่มีลมพัดเช่นนี้หรอกเจ้าค่ะ”
Related