พระพันปีที่อวิ๋นเหยาพูดถึงคือไทเฮาที่เสด็จสวรรคตไปแล้ว เมื่อปีที่แล้ว อวิ๋นเหยามีอายุสิบห้าปี นางเข้าร่วมพิธีจีหลี่ในเมืองอวิ๋นซึ่งมีการจัดอย่างยิ่งใหญ่ ฮองเฮาและองค์หญิงใหญ่ต่างก็ไปร่วมงาน ไทเฮาทรงพระราชทานของล้ำค่ามากมายแก่นาง ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ ‘กู่เจิงต้าเสิ้งหยียิน’
“อืม ตอนนั้นเคยได้ยินได้ฟังมาก่อน ทว่าไม่มีวาสนาได้เห็น” หันหมิงชั่นยิ้มแล้วพยักหน้า
ซูอวี้เหิงเดินขึ้นหน้าเพื่อที่จะมองดูอย่างละเอียด กู่เจิงนี้มีรูปทรงที่ดูแข็งแรงและสวยงาม เคลือบด้วยสีที่สดและเก่าแก่ สายของกู่เจิงนั้นยืดตรงและแข็งแกร่งดั่งมังกร ลวดลายที่แกะสลักราวกับมีชีวิต เป็นสัญลักษณ์สีทองและหยกดูโอ่อ่างดงาม ทั้งยังเปล่งเสียงอันนุ่มนวล ทั้งยังคงความหรูหรางดงาม นี่ไม่ใช่สิ่งที่กู่เจิงทั่วไปสามารถมีได้ ด้วยเหตุนี้ซูอวี้เหิงพลันพูดอย่างเร่งเร้า “เชิญจวิ้นจู่บรรเลงให้พวกเราฟังสักเพลงเถิด พวกเราใคร่อยากฟังเสียงที่น่าอัศจรรย์ของกู่เจิงนี้แล้ว”
ทว่าอวิ๋นเหยากลับไม่ได้ใส่ใจกับคำชื่นชมของคนรอบข้าง นางยิ้มบางๆ ยกมือขึ้นแล้วลูบไล้บนสายของกู่เจิงไปสองคราโดยไม่ตั้งใจ เสียงกู่เจิงนั้นช่างเสนาะหู ผู้ที่เข้าใจเสียงกู่เจิงล้วนรู้ดีว่ากู่เจิงนี้ ไม่ใช่กู่เจิงโบราณทั่วไปที่จะสามารถเทียบชั้นได้
เพียงชั่วครู่ เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะของคุณหนูทั้งหลายค่อยๆ หยุดลง ทุกคนนั่งหรือเอนกายในท่วงท่าที่สบาย เพื่อเตรียมเพลิดเพลินไปกับบทเพลงจากกู่เจิงอันเลื่องชื่อ
นิ้วมืออ่อนช้อยดุจต้นหอมวางลงบนกู่เจิง ทว่าบทเพลงนั้นยังไม่ทันเริ่ม ก็ได้ยินเสียงตะโกนขึ้นด้วยความตกใจจากไม่ไกล “อ๊า เจ็บจัง!” จากนั้นก็มีเสียงตะโกนอย่างหวาดหวั่น “ใครก็ได้มาเร็วเข้า! แย่แล้ว! ใครก็ได้มาเร็วเข้า!”
เหล่าคุณหนูนิ่งงัน จากนั้นจึงพากันลุกขึ้นแล้วมองออกไปตามต้นเสียง เหยาเยี่ยนอวี่ดึงสติตนเองได้ก่อนใคร จากนั้นพลันวิ่งไปตามทิศทางเสียง
“คุณหนูสามของพวกบ่าว!” หนึ่งในสาวใช้จวนเยี่ยนอ๋องพูดขึ้นด้วยสีหน้าตื่นตกใจ “คุณหนูสามเพิ่งไปล้างมือทางด้านนั้น เร็วเข้า…”
เมื่อคำพูดนี้ดังขึ้น ทุกคนดึงสติกลับมาในทันที อวิ๋นเคอและอวิ๋นซีพลันลุกขึ้น จากนั้นจับชายกระโปรงแล้ววิ่งตามหลังเหยาเยี่ยนอวี่
ที่ไม่ห่างจากสถานที่งานเลี้ยงมีกระโจมเล็กๆ ที่ปูผ้าสักหลาดสีเทาหม่นที่สร้างขึ้นชั่วคราว เพื่อให้คุณหนูทั้งหลายสะดวกในการล้างมือ และผู้ที่ตะโกนขอความช่วยเหลือในเวลานี้คืออวิ๋นยั่ง ระหว่างทางที่นางเดินกลับมาจากล้างมือนั้น เหตุเพราะเห็นลูกพลับมากมายจึงมีใจคิดอยากเล่นขึ้นมา นางสั่งให้สาวใช้สองคนยกก้อนหินมาสองก้อนแล้ววางซ้อนกัน จากนั้นก็จับหัวไหล่ของสาวใช้พลางเหยียบขึ้นไปเด็ดลูกพลับ ทว่านางใช้แรงมากเกินไป จึงทำให้กิ่งไม้หัก เมื่อกิ่งไม้หัก คนจึงวูบในทันที อวิ๋นยั่งตกลงมาจากก้อนหิน ทว่าเรื่องที่โชคร้ายที่สุดคือกิ่งไม้ของต้นพลับบาดใบหน้าของนาง
ตอนที่เหยาเยี่ยนอวี่ไปถึงนั้น สาวใช้ได้พยุงตัวอวิ๋นยั่งขึ้นมา นางไม่ได้รับบาดเจ็บมากมาย ทว่าดวงหน้าของนางมีเลือดไหลจึงทำให้น่าตกใจยิ่งนัก อีกทั้งอวิ๋นยั่งที่เอาแต่ร้องไห้ด้วยความหวาดกลัว น้ำตาและเลือดไหลนองรวมกัน ดวงหน้าของนางจึงเปรอะเปื้อนไปหมด ทำให้อวิ๋นเคอและอวิ๋นซีตกใจแทบตาย
“ยั่งเอ๋อร์! สวรรค์! เจ้าเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร!” อวิ๋นเคอเดินหน้า ดวงหน้าเปื้อนด้วยเลือดของอวิ๋นยั่งทำให้นางวิตกกังวลจนอยู่ไม่เป็นสุข พร้อมหยิบผ้าออกมาอย่างกระวนกระวาย เพื่อเช็ดดวงหน้าของนาง
อวิ๋นยั่งก้าวถอยหลังเพื่อหลบเลี่ยง “ฮือฮือ…มันเจ็บ พี่สาว…ไม่เอา! เจ็บเหลือเกิน!”
อวิ๋นซีเห็นเช่นนั้นจึงตำหนิสาวใช้ทันที “พวกเจ้าดูแลเช่นไร! เหตุใดอยู่ดีๆ ถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้!”
สาวใช้ทั้งสองไม่กล้าพูดสิ่งใด ทำได้เพียงก้มหน้าลงฟังคำด่าทอ
เหยาเยี่ยนอวี่พลันออกคำสั่งกับชุ่ยเวยในทันที “ไปเอาสิ่งของของข้ามา! จากนั้นสั่งให้คนไปเอาขี้ผึ้งไข่มุกบำรุงผิวที่ข้าปรุงเมื่อก่อนหน้านี้มาด้วย!”
ชุ่ยเวยขานรับและรีบวิ่งไปเอาของตามคำสั่ง ทางด้านเหยาเยี่ยนอวี่ก็สั่งให้คนยกน้ำสะอาดมาหนึ่งกะละมัง นางเกลี้ยกล่อมด้วยเสียงอ่อนโยน “คุณหนูสามอย่าได้กลัวเลย เจ้าต้องไม่เป็นอะไร ข้ามียารักษาแผล ขอเพียงใช้ยานี้แล้วก็จะไม่เป็นอะไร อีกทั้งข้าสัญญาว่าจะไม่ทิ้งรอยแผลเป็นไว้ เวลานี้มาเช็ดหน้าให้สะอาดเสียก่อน จากนั้นให้ข้าดูว่าบาดแผลอยู่ที่ใด ดีหรือไม่”
อวิ๋นยั่งอายุเพียงเก้าขวบ นางยังเป็นเพียงเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง เมื่อพบเจอกับเรื่องเช่นนี้ก็ต้องตกใจเป็นอันดับแรก จากนั้นเมื่อรู้ว่าได้รับบาดเจ็บบริเวณดวงหน้า นางก็คงกลัวว่าจะทิ้งรอยแผลเป็น พอครุ่นคิดถึงหันหมิงชั่น ธิดาคนโตขององค์หญิงใหญ่ และเพราะนางมีรอยแผลเป็นอยู่บนใบหน้า จึงทำให้ตอนนี้นางที่มีอายุย่างเข้าสิบเจ็ดปีแล้ว ก็ยังไม่มีการสู่ขอให้แต่งงาน ด้วยเหตุนี้นางจึงร้องไห้โวยวาย
ก่อนหน้านี้สาวใช้ก็นำผ้ามาเช็ดให้กับดวงหน้าของนาง แต่เพราะน้ำตาไหลไปโดนแผล ทำให้นางรู้สึกเจ็บปวดมากกว่าเดิม ทว่านางไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุนี้ นางจึงคิดว่าเป็นสาวใช้เช็ดแผลจึงทำให้เจ็บ อีกทั้งกลัวว่าพี่สาว-บุตรีมารดาเอกจะตำหนิที่ตนเองซุกซน เมื่อกลับไปยังต้องถูกหวังเฟยตำหนิ จึงทำให้หวาดกลัวมากกว่าเดิม ด้วยเหตุนี้นางจึงไม่ให้อวิ๋นเคอแตะต้องตนเอง
แต่ในเวลานี้ เหยาเยี่ยนอวี่ย่อตัวลงตรงหน้าแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน อีกทั้งยังรับปากว่าจะไม่ทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้ นางจึงวางใจขึ้นมาเล็กน้อย จึงระงับการร้องไห้และนั่งอยู่บนก้อนหินด้วยความหวาดกลัว เหยาเยี่ยนอวี่นำผ้าชุบน้ำ จากนั้นเช็ดคราบน้ำตาและคราบเลือดรอบๆ บาดแผลของนางอย่างเบามือ จึงเห็นบาดแผลยาวบนแก้มข้างซ้ายของเด็กน้อยอย่างชัดเจน
หลังจากที่เห็นบาดแผลอย่างชัดเจน ทุกคนอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ความคมของกิ่งไม้ที่หักลงมา คิดไม่ถึงว่าจะทำให้เกิดบาดแผลลึกถึงเพียงนี้
เหตุเพราะคางของหันหมิงชั่นก็มีรอยแผลเป็น เมื่อเห็นดวงหน้าเล็กๆ ของอวิ๋นยั่ง ภายในใจของนางก็รู้สึกเสียใจยิ่งนัก อดไม่ได้ที่จะเดินขึ้นหน้าแล้วปลอบโยน “ยั่งเอ๋อร์ไม่ต้องหวาดกลัว เจ้าต้องไม่เป็นอะไรแน่นอน พวกเราจะให้หมอหลวงจางที่เก่งที่สุดในสำนักหมอหลวงปรุงยาให้เจ้า เจ้าต้องไม่เป็นอะไรแน่นอน”
หากไม่เป็นอะไรก็คงจะแปลกประหลาดแล้ว รอยแผลเป็นบนดวงหน้าของนางยังชัดเจนเช่นนี้ หากหมอหลวงมีวิธีรักษา ด้วยอำนาจขององค์หญิง เหล่าหมอหลวงพวกนั้นจะกล้าซ่อนความสามารถหรือ? คำพูดนี้ไม่อาจเกลี้ยกล่อมให้นางเชื่อแม้แต่น้อย!
ดวงตากลมโตของอวิ๋นยั่งเต็มไปด้วยน้ำตาอีกครั้ง นางเงยหน้าขึ้นมองอวิ๋นเคอด้วยความหวาดหวั่น
อวิ๋นเคอถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “ไม่เป็นอันใดหรอก เจ้าอย่าได้กลัว เจ็บมากหรือไม่”
อวิ๋นยั่งส่ายหน้า จากนั้นมองเหยาเยี่ยนอวี่ เหยาเยี่ยนอวี่จึงรีบปลอบโยนนาง “ข้ารับปากว่าประเดี๋ยวหากเจ้าได้ทายารักษาแผลของข้า จะไม่ทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้อย่างแน่นอน อีกทั้ง บาดแผลนี้ใช้เวลาเพียงเจ็ดวันก็หายดีแล้ว หลังจากยี่สิบแปดวันถัดไปก็จะตกสะเก็ด จะไม่เห็นว่าเคยได้รับบาดเจ็บมาก่อน”
“จริงหรือ” อวิ๋นยั่งยังคงไม่วางใจ
เหยาเยี่ยนอวี่มองไปที่ดวงตาของอวิ๋นยั่งอย่างจริงใจ นางพยักหน้าแล้วพูดขึ้น “จริงสิ ตอนนี้พวกเรากลับกันก่อนเถอะ ประเดี๋ยวสาวใช้ของข้าก็นำยามาแล้ว ข้าจะได้ทายาให้เจ้า แต่จำต้องนั่งพิงอยู่บนตั่งไม้จึงจะทาได้”
“เช่นนั้นก็ได้” อวิ๋นยั่งจับมือของเหยาเยี่ยนอวี่แล้วค่อยๆ เหยียดกายลุกขึ้น
แน่นอนว่าอวิ๋นเคอไม่เชื่อคำพูดของเหยาเยี่ยนอวี่ เพียงแค่เวลานี้เรื่องมันก็ได้เกิดขึ้นแล้ว อีกทั้งเป็นเพราะอวิ๋นยั่งซุกซนเอง จึงไม่อาจกล่าวโทษผู้ใดได้
อวิ๋นเหยาขมวดคิ้วแล้วปรายตามองซูอวี้เหิง คล้ายว่าไม่พอใจที่นางเลือกจัดงานเลี้ยงในป่าเขาเช่นนี้
ภายในใจของซูอวี้เหิงอัดอั้นยิ่งนัก นางทำด้วยความปรารถนาดี จะไปคาดคิดได้อย่างไรว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น
อวิ๋นเหมยและอวิ๋นซีเดินขึ้นหน้าเพื่อมาช่วยพยุงอวิ๋นยั่ง ทว่าอวิ๋นยั่งกลับเอาแต่จับมือของเหยาเยี่ยนอวี่เอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย คล้ายว่าหากนางปล่อยมือไปแล้วนั้น ดวงหน้าของตนก็จะทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้
หันหมิงชั่นถอนหายใจแล้วกล่าวอย่างช่วยไม่ได้ “เช่นนั้น…ส่งคนไปตามหมอหลวงมาดูอาการดีหรือไม่”
อวิ๋นยั่งจับมือเหยาเยี่ยนอวี่แน่นขึ้นมาในทันที “ไม่! ยาของหมอหลวงพวกนั้นจะทำให้ใบหน้าของข้ามีรอยแผลเป็นทิ้งไว้!”
“ยั่งเอ๋อร์!” อวิ๋นเคอเลิกคิ้วขึ้น “อย่าได้เอาแต่ใจตนเอง”
“พี่สาว! ดวงหน้าของพี่หญิงหัน พวกเขายังไม่สามารถรักษาให้หายได้ แล้วผู้ใดสามารถรับปากได้ว่าพวกเขาจะรักษาบาดแผลบนดวงหน้าของข้าได้ ข้าไม่อยากให้แผลทิ้งรอยไว้ มิเช่นนั้นวันข้างหน้าข้าก็คงไม่อาจออกเรือนได้…ฮือฮือ…” อวิ๋นยั่งกล่าวขึ้น จากนั้นก็ร้องไห้อีกครา
“ยั่งเอ๋อร์อย่าร้องไห้เลย!” อวิ๋นซีรีบก้มหน้าลงแล้วปลอบโยน นางใช้ผ้าเช็ดน้ำตาให้อวิ๋นยั่ง จากนั้นหันไปทำสีหน้าขอร้องอวิ๋นเคอ เพื่อหวังว่าพี่สาว-บุตรีมารดาเอกอย่าได้ตำหนิด่าทอน้องสาว-บุตรีอนุภรรยาซึ่งยังเด็กคนนี้เลย
สีหน้าของอวิ๋นเคอไม่ดีเท่าใดนัก อย่างหนึ่งก็เป็นเพราะอวิ๋นยั่งซุกซนจึงทำให้ได้รับบาดเจ็บ อีกทั้งตนที่เป็นพี่สาวก็รู้สึกปวดใจ แล้วยังไม่อาจกล่าวโทษผู้ใดได้ ประเดี๋ยวกลับจวนยังต้องอธิบายให้กับท่านพ่อและท่านแม่ ส่วนอีกอย่างหนึ่งซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุด การที่อวิ๋นยั่งกล่าวเช่นนั้น เห็นได้ชัดว่าทำให้สีหน้าของหันหมิงชั่นผิดปกติ