ตอนที่ซุนฮูหยินน้อยเห็นเหยาเยี่ยนอวี่ นางรู้สึกดีใจและเศร้าใจในเวลาเดียวกัน จากนั้นจึงพูดขึ้น “เช้าตรู่วันนี้ฮูหยินได้ยินเรื่องของคุณหนูรองแล้วรู้สึกเป็นกังวลมาก น้องสะใภ้สามก็เอ่ยขึ้นทันทีว่าจะมาดูแลน้องสาวของนางเอง ทว่าเวลานี้นางกำลังตั้งครรภ์ ตลอดทั้งถนนหนทางก็ต้องฝ่าฟันกับหิมะที่เหน็บหนาว จะให้นางออกมาได้อย่างไร หากเกิดอุบัติเหตุขึ้นจะทำเช่นไร ดังนั้นข้าจึงขออาสามาเอง ถ้าหากให้เพียงพวกบ่าวไพร่มา ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าน้องสะใภ้สามและฮูหยินจะต้องรู้สึกไม่วางใจ แม้กระทั่งตัวข้าเองก็ไม่อาจวางใจพวกบ่าวไพร่ได้เช่นกัน”
เหยาเยี่ยนอวี่จึงรีบโน้มตัวลงพลางกล่าว “รบกวนฮูหยินรองแล้วที่ต้องเดินทางมาถึงที่นี่ ลำบากท่านแล้วจริงๆ ฮูหยินรองได้โปรดช่วยนำคำพูดของข้ากลับไปให้กับพี่สาวของข้าด้วย ข้าเพียงแค่เหน็ดเหนื่อยมากไปหน่อยเท่านั้น พักผ่อนเพียงไม่กี่วันก็ดีขึ้นแล้ว นางไม่ต้องเป็นห่วง ข้าสามารถดูแลสุขภาพร่างกายของตนเองให้ดีได้”
ซุนฮูหยินน้อยยิ้มพลางมองเฟิงเซ่าอิ่งครู่หนึ่ง จากนั้นพูดขึ้น “ความหมายของฮูหยินคือให้ข้ารับคุณหนูเหยากลับจวน บ้านสวนที่อยู่ชานเมืองไม่ค่อยสะดวกสักเท่าใด ไม่ใช่หรือไร”
เฟิงเซ่าอิ่งอมยิ้มไม่พูดจา เหยาเยี่ยนอวี่จะกลับหรือไม่กลับจวนติ้งโหว นั่นก็คือเรื่องของครอบครัวผู้อื่น ตนไม่ควรเข้าไปมากเรื่อง
“ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ ของใช้ทั้งหมดของข้าอยู่บ้านนามู่เย่ว์ ตอนนี้ให้ย้ายกลับมากะทันหันเช่นนี้ ก็ยิ่งทำให้ข้ารู้สึกไม่สะดวก อีกอย่างข้าก็ไม่ได้ป่วยหนักอะไรมากมาย เพียงแค่รู้สึกเหนื่อยจึงต้องการพักผ่อนเท่านั้น นอกจากนี้ พี่สาวกำลังตั้งครรภ์ควรที่จะพักผ่อนให้มาก ข้าที่เป็นน้องสาวไม่ได้แบ่งเบาภาระอะไรให้นาง เวลานี้หากข้ากลับไปก็ยิ่งสร้างความเดือดร้อนให้กับนาง”
ก่อนที่ซุนฮูหยินน้อยจะมา เหยาเฟิ่งเกอก็ได้พูดคุยกับนางแล้ว หากเหยาเยี่ยนอวี่ยังดื้อรั้นไม่อยากกลับจวนติ้งโหว ก็อย่าได้บังคับนาง นางเคยชินกับการใช้ชีวิตที่เป็นอิสระตามลำพังแล้ว หากกลับจวนติ้งโหวจะทำให้นางอึดอัดไม่สบายใจ เวลานี้เหยาเยี่ยนอวี่เป็นดั่งที่เหยาเฟิ่งเกอกล่าวไว้ นางจึงไม่ได้บีบบังคับอีก แค่เพียงกล่าวแนะนำตักเตือนกับเฝิงหมัวมัวและชุ่ยเวยที่คอยปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกาย
ภายในใจของเฟิงเซ่าอิ่งมัวแต่นึกถึงบาดแผลของสามีตนเอง พอได้ยินซุนฮูหยินน้อยและเหยาเยี่ยนอวี่พูดคุยกันแล้ว จึงยกยิ้มพลางกล่าวขึ้น “ทีแรกข้ายังอยากจะเชิญคุณหนูเหยาไปพักฟื้นที่จวนกั๋วกงสักสองสามวัน ตอนนี้ คาดว่าจะทำเช่นนั้นไม่ได้แล้ว”
เหยาเยี่ยนอวี่คลี่ยิ้มพลางพูด “ฮูหยินท่านซื่อจื่อไม่ต้องเกรงใจเจ้าค่ะ พวกเรายังต้องไปมาหาสู่กันอีกนาน ตอนนี้การพักฟื้นตัวของท่านซื่อจื่อเป็นเรื่องสำคัญที่สุด”
ต่างคนต่างไม่มีใจใคร่อยากจะอยู่ที่นี่ต่อ หลังจากที่กินอาหารมังสวิรัติในวัดเสร็จ จึงได้เก็บข้าวเก็บของเพื่อเตรียมตัวออกจากวัด
เฟิงเซ่าเชินเสนอว่าจะส่งเหยาเยี่ยนอวี่กลับบ้านนามู่เย่ว์ ทว่าถูกเหยาเยี่ยนอวี่ปฏิเสธกลับทันที “คุณชายเฟิงก็ออกมาข้างนอกหลายวันแล้ว เกรงว่าฮูหยินผู้เฒ่าในจวนก็คงจะคิดถึงท่านเป็นอย่างมาก ทางจากที่นี่ไปบ้านนามู่เย่ว์ ข้าก็ไม่ได้ไม่คุ้นเคย อีกทั้งยังมีหมัวมัวและคนขับรถม้าอยู่ด้วย คุณชายไม่จำเป็นต้องห่วงข้า เชิญท่านกลับจวนเถิด จะได้ไม่ต้องทำให้จวิ้นจู่และฮูหยินผู้เฒ่าต้องเป็นห่วงท่าน”
เฟิงเซ่าอิ่งห้ามปรามขึ้น “เจ้าอย่าได้สร้างความเดือดร้อนเลย รอให้เจ้าส่งคุณหนูเหยากลับ นางยังต้องคอยเป็นห่วงเจ้า ตอนนี้เจ้ากลับจวนไปกับข้าดีกว่า”
ในที่สุดซูอวี้เสียงก็พบความรู้สึกที่ตนนั้นเหนือกว่า จึงก้าวไปข้างหน้าด้วยรอยยิ้มพลางพูดขึ้น “เชิญคุณชายเฟิงกลับเข้าเมืองไปพร้อมกับฮูหยินท่านซื่อจื่อเถอะ ประเดี๋ยวข้าจะเป็นคนไปส่งน้องรองเอง”
ซุนฮูหยินน้อยมองซูอวี้เสียงอย่างรวดเร็ว และพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่เหมือนจะยิ้มและเหมือนจะไม่ยิ้ม “เช่นนี้ก็ดียิ่งนัก ให้คุณหนูเหยากลับบ้านนาไปเพียงลำพัง ข้าก็ไม่ไว้วางใจเช่นกัน”
เหยาเยี่ยนอวี่แอบถอนหายใจอยู่เงียบๆ แล้วรู้สึกว่า เรื่องส่วนตัวของตน ตนเองยังไม่มีสิทธิ์อะไรในการตัดสินใจเลย!
หลังจากพวกเขาปรึกษาหารือกันเสร็จ จึงเดินไปกล่าวอำลาท่านพระจารย์ใหญ่คงเซียง ท่านพระอาจารย์ใหญ่คงเซียงสวดมนต์สั้นๆ ด้วยความใจเย็น จากนั้นก็ส่งพวกเขาถึงหน้าประตูทางเข้าวัด ถ้าตามฐานันดรศักดิ์ที่มี แน่นอนว่าท่านฮูหยินซื่อจื่อเจิ้นกั๋วกงต้องเป็นคนเดินออกจากที่นั่นก่อน ตามด้วยซุนฮูหยินน้อย จากนั้นก็คือเหยาเยี่ยนอวี่ ทว่าทางด้านเฟิงเซ่าอิ่งก็รู้สึกซาบซึ้งในการช่วยเหลือครั้งนี้ของเหยาเยี่ยนอวี่ จึงอยากจะมองนางขึ้นรถม้าไปเสียก่อน
เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มพลางเอ่ยพูด “ท่านฮูหยินซื่อจื่อได้โปรดขึ้นรถม้าไปก่อนเถิด ข้ายังมีอะไรอยากจะสอบถามกับท่านพระจารย์ใหญ่คงเซียงเจ้าค่ะ”
เฟิงเซ่าอิ่งจึงทำได้เพียงพาเฟิงเซ่าเชินขึ้นไปนั่งบนรถม้า ตอนมานางใช้รถม้าขององค์หญิงใหญ่ ทว่าเวลานี้หันซังเกอได้นั่งรถม้าคันนั้นกลับไปแล้ว รถม้าในตอนนี้คือรถม้าของจวนเจิ้งกั๋วกงที่มารับนางแต่เช้า
หลังจากที่ส่งสองพี่น้องไปแล้ว ซูอวี้เสียงจึงเร่งเร้าซุนฮูหยินน้อย “พี่สะใภ้รองเชิญกลับก่อนเถอะ ข้าจะส่งน้องเหยากลับไปเอง”
ซุนฮูหยินน้อยพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็กำชับเหยาเยี่ยนอวี่ “ตอนอยู่บ้านนาหากมีอะไรขาดเหลือก็ส่งคนมาบอกข้า” ตอนนี้ฮูหยินรองได้เป็นใหญ่ในจวนติ้งโหวแล้ว คำพูดนี้นางไม่ได้กล่าวเกินจริงแม้เพียงน้อย
เหยาเยี่ยนอวี่ตอบกลับอย่างเกรงใจ ซุนฮูหยินน้อยก็ไม่ได้ชักช้าอีกต่อไป จากนั้นขึ้นรถม้าและพาคนของตนเองกลับไป
ซูอวี้เสียงหันข้างมองเหยาเยี่ยนอวี่ แล้วยิ้มอ่อนๆ พลางเอ่ยว่า “น้องรองอยากจะสอบถามท่านพระอาจารย์เกี่ยวกับอะไร ก็ถามเถอะ พวกเราจะได้กลับบ้านนากัน”
“ท่านพระอาจารย์เจ้าคะ” เหยาเยี่ยนอวี่น้อมทำความเคารพพระอาจารย์ใหญ่คงเซียง “ขอบพระคุณสำหรับ ‘คัมภีร์ไท่ผิง’ เล่มนั้นที่ท่านพระอาจารย์มอบให้กับข้าเมื่อคราวก่อน เพียงแต่ว่า ได้โปรดยกโทษให้กับเยี่ยนอวี่ที่โง่เขลาที่ไม่อาจไขปริศนาธรรมของคัมภีร์ได้เจ้าค่ะ”
ท่านพระอาจารย์ใหญ่คงเซียงยกยิ้มบางๆ พลางกล่าวขึ้น “เมื่อวานโยมสลบไป อาตมาจึงรู้ว่าโยมยังไม่เข้าใจถึงความอัศจรรย์ของคัมภีร์เล่มนั้น ดั่งที่อาตมาเคยกล่าว โยมทำการรักษาผู้ป่วยโดยการใช้ ‘การรมยาแบบไท่อี่’ เป็นทักษะการฝังเข็มที่ล้ำเลิศและอัศจรรย์ยิ่งนัก เพราะว่ามันอัศจรรย์ล้ำเลิศจนไม่ง่ายที่จะสืบทอด เหตุนี้การที่อยากจะได้วิชาการฝังเข็ม ก็จำต้องมีกำลังภายในเป็นพื้นฐาน ทว่าโยมเองกลับไม่มีกำลังภายในแม้แต่น้อย หากจะใช้การฝังเข็มในการรักษาโรค เกรงว่าคงจะไม่ใช่สิ่งที่สามารถคงอยู่ยาวนาน หากเป็นเพียงโรคภัยไข้เจ็บธรรมดาก็ไม่เป็นปัญหาอะไร เพียงแค่ฝังเข็มไปไม่กี่ครั้งก็สามารถรักษาให้หายขาดได้ ทว่าหากเป็นโรคที่ซับซ้อนยากจะรักษาได้ การฝังเข็มทั่วไปไม่อาจทำได้ จำต้องพึ่งพาพลังปราณของการฝังเข็มแบบไท่อี่ ซึ่ง‘คัมภีร์ไท่ผิง’ เล่มนั้นสหายคนหนึ่งของอาตมาเก็บไว้ให้ เขาคือบรรพบุรุษลัทธิเต๋าที่มีกำลังภายใน โยมจำต้องเอาไปศึกษาให้ละเอียด จึงจะสามารถใช้ประโยชน์พลังปราณของการฝังเข็มไท่อี่ได้”
คำพูดดังกล่าวทำให้เหยาเยี่ยนอวี่เหงื่อท่วมหัวด้วยความสับสน แค่ทำการรักษาและช่วยชีวิตผู้ป่วยเท่านั้น ถึงกับต้องใช้พลังปราณ ต้องทำการฝึกฝนกำลังภายในเลยหรือ? อีกอย่าง ท่านพระอาจารย์ ที่นี่ไม่ใช่วัดของศาสนาพุทธหรอกหรือ ท่านเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนา แต่ที่ท่านกล่าวออกมานั้นเกี่ยวกับปรัชญาของลัทธิเต๋า ทำเช่นนี้จะดีหรือ
“แต่ว่า ‘คัมภีร์ไท่ผิง’ เยี่ยนอวี่ไม่เข้าใจจริงๆ รู้สึกเพียงว่าคัมภีร์เล่มนี้เหมือนดั่งคัมภีร์แห่งสวรรค์ เช่นนี้ควรจะทำเช่นไรดีเจ้าคะ”
ท่านพระอาจารย์ใหญ่คงเซียงหรี่ตาพลางสวดมนต์ จากนั้นก็กล่าวขึ้น “มีสุภาษิตหนึ่งได้กล่าวเอาไว้ว่า ‘อ่านตำราสักร้อยครั้ง จึงจะรู้แจ้งด้วยตนเอง’ โยมเพียงอ่านอย่างถี่ถ้วนยามที่มีเวลาเพียงแค่นี้ก็พอแล้ว
เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มอย่างขมขื่นพลางพยักหน้า ในใจกำลังคิดว่าดูเหมือนว่าท่านพระอาจารย์ท่านนี้ก็ไม่ล่วงรู้กำลังภายใน ตนเองจึงทำได้เพียงกลับไปคิดดูด้วยวิธีของตน
หลังจากอำลาพระอาจารย์คงเซียงเป็นที่เรียบร้อย เหยาเยี่ยนอวี่จึงจับมือของชุ่ยเวยขึ้นรถม้าของตน จากนั้นเฝิงหมัวมัวและชุ่ยเวยจึงขึ้นรถม้าตาม ซูอวี้เสียงขี่ม้านำขบวนโดยมีบ่าวรับใช้สี่คนของจวนติ้งโหวร่วมเดินทางเพื่อส่งเหยาเยี่ยนอวี่กลับบ้านนามู่เย่ว์
หลังจากที่กลับถึงบ้านนา ซูอวี้เสียงไม่ได้รีบกลับ เขาเดินดูทั้งในและนอกบ้านนาหนึ่งรอบ จากนั้นก็เรียกบรรดาบ่าวไพร่ผู้มีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยและหน้าที่ทำความสะอาดมาพูดคุย เขาต้องการกำชับให้พวกเขาปรนนิบัติดูแลคุณหนูรองให้ดี ห้ามละเลยในหน้าที่เด็ดขาด หากคุณหนูรองเกิดเจ็บไข้ได้ป่วยแม้เพียงเล็กน้อยหรือเกิดอุบัติเหตุใด พวกเขาทั้งหมดที่เป็นบ่าวจะถูกถลกหนังอย่างแน่นอน
เหยาเยี่ยนอวี่จะไม่เข้าใจความคิดภายในใจของเขาได้อย่างไร ทว่านางกลับไม่พูดสิ่งใดให้มากความ และปล่อยให้ซูอวี้เสียงทำทีเหมือนนายท่านของบ้านนาไปพักหนึ่ง จากนั้นเขาก็ได้กำชับให้เหยาเยี่ยนอวี่ดูแลตนเองดีๆ จากนั้นก็ออกจากบ้านนาไป
เฝิงหมัวมัวเห็นสีหน้าของเหยาเยี่ยนอวี่ไม่ค่อยดี จึงเกลี้ยกล่อมด้วยเสียงแผ่วเบา “คุณหนูยังเหนื่อยอยู่ใช่หรือไม่ บ่าวสั่งให้คนไปต้มน้ำมาให้คุณหนูแช่ตัว จากนั้นก็กินอะไรเล็กน้อยแล้วค่อยนอนดีหรือไม่เจ้าคะ”
เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มแล้วพูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า “รีบสั่งให้คนทำความสะอาดบ้านนาน้อยวัวจวู ถือโอกาสช่วงสองสามวันนี้ที่อากาศยังดีอยู่ ขนย้ายพวกของใช้ไปก่อน หลังจากที่จัดวางทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็ย้ายเข้าไปพักอาศัยกันเถอะ”