เซียวหลินมองท่าทางของเฟิงเซ่าเชิน แล้วแย้มยิ้ม “หากเจ้าชื่นชมนาง กลับไปก็ไปร้องขอฮูหยินผู้เฒ่าให้ส่งคนไปสู่ขอสิ! ถ้าสู่ขอให้เข้าไปอยู่ในจวน เจ้าจะได้คอยเฝ้ามองนางตลอดเวลา จะได้ไม่ต้องทำให้เจ้าเฝ้าคิดถึงนางอย่างทรมานใจเช่นนี้”
“เจ้าคิดว่าข้าไม่อยากหรือ” เฟิงเซ่าเชินเบะปาก ใบหน้าเคล้าด้วยความอ้างว้าง
“อยาก? อยากแล้วเหตุใดถึงไม่ไปบอก”
“บอกไปก็ไม่มีประโยชน์” เฟิงเซ่าเชินถอนหายใจอย่างสิ้นหวัง “คุณหนูเหยาคือบุตรีอนุภรรยา ฮูหยินผู้เฒ่าไม่มีทางยอมให้ข้าสู่ขอนางเป็นภรรยาหรอก”
เซียวหลินพยักหน้า หลานชายของอัครเสนาบดี แน่นอนว่าไม่สามารถสู่ขอแม่นางที่เป็นบุตรีอนุภรรยามาเป็นภรรยาเอกอยู่แล้ว ดังนั้นจึงให้คำแนะนำ “เช่นนั้นเจ้าก็สู่ขอนางเป็นอนุภรรยาสิ ก็แค่ให้นางเป็นอนุภรรยาที่มีเกียรติ และปฏิบัติกับนางอย่างอ่อนโยนก็พอ”
“นี่คงเป็นไปไม่ได้เหมือนกัน” เฟิงเซ่าเชินส่ายหัวเหมือนป๋องแป๋งทันที
“มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้”
“นิสัยเช่นนั้นของนาง ไม่มีทางไปเป็นอนุภรรยาของใครอยู่แล้ว”
“เจ้ารู้อีกแล้วหรือ”
“ถึงแม้นางไม่เคยบอก ทว่าข้าก็สามารถเดาออก”
“เป็นภรรยาเอกไม่ได้ และเป็นอนุภรรยาที่มีเกียรติก็ไม่ได้ เช่นนั้นเรื่องนี้คงจะจัดการยากแล้ว” เซียวหลินส่ายหน้าตามทันที
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่เฟิงเซ่าเชินจะเจอคนรู้ใจ จึงได้บอกเล่าความในใจของตนออกมา แล้วเขาจะยอมปล่อยไปง่ายๆ ได้อย่างไร ดังนั้นจึงดึงแขนของเซียวหลินแล้วถาม “จื่อรุ่น หากเป็นเจ้า เจ้าจะทำอย่างไร”
ครั้งนี้กลับเป็นเซียวหลินที่เป็นคนส่ายหัวไปมาเหมือนป๋องแป๋ง “ข้าไม่เหมือนเจ้าที่ลุ่มหลงในความรัก สตรีในใต้หล้าสำหรับข้าแล้วจะมีหรือไม่มีก็ได้ อีกทั้งข้าเคยสาบานต่อหน้าสุสานของบิดาว่าหากยังไม่ได้สร้างเนื้อสร้างตัว ก็จะไม่มีทางสร้างครอบครัว ตอนนี้เจ้าคุยเรื่องพวกนี้กับข้า ข้าไม่เคยแม้แต่จะคิด”
คุณชายผู้สูงศักดิ์ทั้งสองคนพูดคุยเล่นไปและเดินเข้าไปในภัตตาคารแห่งหนึ่ง ข้างในมีเหล่าคุณชายจากตระกูลสูงศักดิ์รอคอยตั้งนานแล้ว เมื่อเห็นทั้งสองคนมัวแต่หัวเราะเสียงดัง รีบสั่งคนมารินสุราเพื่อเป็นลงโทษที่ปล่อยให้พวกเขาคอย
เหยาเยี่ยนอวี่ออกจากร้านเครื่องประดับ แล้วมุ่งหน้าไปยังร้านผ้า เพื่อมองหาเสื้อผ้าสองสามตัว และระหว่างทางกลับจวนก็ได้แวะเข้าไปร้านยาสองร้าน เพื่อหาซื้อยาสมุนไพรที่เอาไว้ผสมสูตรปรุงยาของตนเอง
ตลอดทางนางก็กำลังคิดว่าบุรุษเมื่อครู่ที่มาพร้อมเฟิงเซ่าเชินคือใครกันแน่ นิสัยเยี่ยงนั้นของอวิ๋นเหยากลับสงบเสงี่ยมไปมากตอนอยู่ต่อหน้าเขา เดิมทีนางก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ อำนาจและอิทธิพลต่างๆ ในเมืองหลวงก็แยกแยะได้ไม่ค่อยชัดเจนอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นการที่มีม้ามืดโผล่ออกมาอย่างกะทันหันเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไร
ตอนกลางคืน เหยาเยี่ยนอวี่ก็เอาเครื่องประดับของฮูหยินผู้เฒ่า ฮูหยิน พี่สะใภ้และน้องสาวออกมาให้กับเหยาหย่วนจือ แล้วพูดถึงสินน้ำใจเล็กๆ ที่ตนต้องการจะมอบให้พวกนางอย่างชัดเจน
เหยาหย่วนจือได้ยินว่าไข่มุกและพลอยพวกนี้ องค์หญิงใหญ่หนิงหวาทรงประทานให้กับบุตรีตนเอง ก็ยิ่งรู้สึกดีใจมากขึ้น ว่าไปแล้ว ถึงแม้บุตรีภรรยาเอกเฟิ่งเกอจะเตรียมของขวัญไว้ กลับไม่ได้ล้ำค่าเหมือนดั่งของเหล่านี้เลยจริงๆ ตระกูลเหยาเป็นตระกูลร่ำรวย ถึงแม้จะไม่สนใจไข่มุกและพลอยเหล่านี้ ทว่าของดีก็ยังคงเป็นของดีวันยังค่ำ สิ่งเหล่านี้เป็นของล้ำค่า อย่างไรก็ต้องมีคนชื่นชอบอยู่แล้ว
ดังนั้น ใต้เท้าเหยาจึงเอ่ยชมไม่หยุด “ถึงแม้ของเหล่านี้จะล้ำค่า ทว่าก็ไม่สามารถเปรียบกับความจริงใจของเจ้า ท่านย่าและมารดาของเจ้าต้องมีความสุขมากแน่ๆ แล้วพี่สะใภ้ทั้งสองและน้องสาวก็ต้องขอบคุณในความสัมพันธ์อันดีที่เจ้ามอบให้แน่นอน”
เหยาเหยียนอี้ที่อยู่ข้างๆ ก็คลี่ยิ้ม “ข้าต้องขอบใจน้องสาวแทนพี่สะใภ้รองของเจ้าก่อน”
เหยาเยี่ยนอวี่พลันพูดขึ้น “เราเป็นครอบครัวเดียวกัน เหตุใดถึงพูดเช่นนี้ออกมา ของของข้ามีอะไรบ้างที่ไม่ใช่ท่านพ่อและท่านแม่เป็นคนให้? ท่านย่ารักใคร่และเอ็นดูข้ามาหลายปีเช่นนี้ ข้ายังไม่ได้ทำเรื่องกตัญญูต่อท่านเลย ข้าก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นจะให้ พอคิดถึงสิ่งที่องค์หญิงใหญ่ทรงประทานให้ จึงวานให้ท่านพ่อช่วยนำกลับไปให้ท่านย่า ท่านแม่และเหล่าพี่สะใภ้ได้เห็นแล้วรู้สึกดีใจก็เท่านั้น”
เหยาหย่วนจือและเหยาเหยียนอี้มีความสุขอย่างมาก ระหว่างที่กำลังสนทนา เฉากุนซือก็เข้ามา “สิ่งของทุกอย่างได้จัดเตรียมอย่างครบครันแล้วขอรับ ใต้เท้าจะไปตรวจดูหน่อยหรือไม่”
“ไม่ต้องแล้ว เยี่ยนอวี่จัดการ ข้ารู้สึกวางใจมาก เวลาก็สายแล้ว ทุกคนรีบไปพักผ่อนกันก่อนเถอะ วันพรุ่งนี้พวกเรายังต้องเดินทางแต่เช้า” เหยาหย่วนจือผายมือ แล้วกำชับเหยาเหยียนอี้ “เจ้าตั้งใจสอบด้วยล่ะ หากการสอบคัดเลือกขุนนางช่วงวสันต์นี้ไม่มีชื่อของเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็คงไม่มีหน้ากลับเจียงหนานเสียแล้ว”
เหยาเหยียนอี้พลันค้อมตัวน้อมคำนับพลางตอบกลับ และเขากับเหยาเยี่ยนอวี่จึงส่งบิดากลับไปพร้อมกัน พอเห็นเหยาหย่วนจือพาเฉากุนซือและคนอื่นเดินจากไป เหยาเยี่ยนอวี่ค่อยเอ่ยถามเหยาเหยียนอี้ “พี่รอง วันนี้ข้าออกไปข้างนอก แล้วบังเอิญเจอกับคุณชายเฟิงและคุณชายสกุลเซียวคนหนึ่งเดินอยู่ในตลาด แม้กระทั่งจวิ้นจู่เจอเขายังต้องปฏิบัติอย่างมีมารยาท ไม่ทราบว่าตระกูลเซียวมีที่มาที่ไปอย่างไร”
เหยาเหยียนอี้มองเหยาเยี่ยนอวี่ด้วยท่าทีที่ตกตะลึง แล้วกล่าวขึ้น “คุณชายเซียวที่ไปกับคุณชายเฟิง แล้วทำให้จวิ้นจู่ปฏิบัติตัวอย่างมีมารยาท นั่นก็ต้องเป็นคนของตระกูลเซียวที่เป็นราชครูของฮ่องเต้ น้องสาวไปเจอะเจอกับพวกเขาได้อย่างไร”
“ราชครูของฮ่องเต้?” อาจารย์ของฮ่องเต้? ภายในใจของเหยาเยี่ยนอวี่กำลังคิดว่า ตอนนี้ฮ่องเต้ทรงมีพระชนมพรรษาห้าสิบพรรษาแล้ว เช่นนั้นเรื่องอาจารย์ของเขาก็คงจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งนานแล้ว?
เหยาเหยียนอี้มองดวงหน้าที่เหม่อลอยของเหยาเยี่ยนอวี่ จึงยกยิ้มอ่อน “ข้าก็เคยได้ยินเหล่าผู้อาวุโสพูดกันว่า ตอนฮ่องเต้ยังเป็นแค่องค์ชายก็ได้พบกับปัญญาชนที่มีความสามารถอย่างมาก ที่มีสกุลว่าเซียว นามว่าตั้น และนามรองคือหยวนไค ฮ่องเต้ทรงเห็นว่าเขามีวิธีการพูดการจาที่ไม่ธรรมดา และมีความสามารถที่ไร้เทียมทาน จึงได้ยกย่องเขาเป็นราชครู และทุกๆ วันพระองค์ก็มักจะพูดคุยและสนทนากับเขาเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน อีกทั้งยังเรียนรู้แนวคิดต่างๆ ของฮ่องเต้องค์ก่อนๆ หลังจากที่ฮ่องเต้ทรงขึ้นครองราชย์ ก็ได้แต่งตั้งเซียวหยวนไคเป็นไท่ฟู่[1] และให้เข้าไปเป็นขุนนางในสำนักงานซ่างซู[2] ทว่าเซียวตั้นกลับปฏิเสธอย่างสุภาพ แล้วฮ่องเต้จะทำอย่างไรได้ จึงแค่ประทานนาม ‘ราชครูของฮ่องเต้’ แล้วยังพระราชทานที่นาดีๆ สองร้อยห้าสิบไร่ให้เขา เพื่อที่เขาจะได้เกษียณอายุที่นั่น ทุกคนจึงเรียกเขาว่า ราชครูเซียว”
เหยาเยี่ยนอวี่พยักหน้า ภายในใจกำลังคิดว่า ผู้เฒ่าเซียวคนนี้ช่างมีเกียรติจริงๆ และเป็นคนที่รู้จักมองการณ์ไกล เขารู้ว่าอยู่ใกล้ฮ่องเต้ก็เหมือนอยู่ใกล้เสือ ก่อนที่ฮ่องเต้จะขึ้นครองราชย์ ก็เป็นเพียงองค์ชายเท่านั้น ไม่ว่าจะเอ่ยวาจาใดก็ไม่เป็นอะไร ทว่าหลังจากที่ขึ้นครองราชย์แล้วกลายเป็นฮ่องเต้ ผู้ที่เป็นปัญญาชนมักจะพูดจาตรงไปตรงมา ถ้าเกิดไม่ระวังปากไปทำให้ฮ่องเต้ทรงไม่พอพระทัย คงต้องเสียชีวิตแล้วยังได้กลายเป็นวิญญาณที่โง่เขลา เช่นนั้นเขากลับไปทำไร่ทำนาและร่ำเรียนตำราที่บ้านเกิดยังจะมีความสุขเสียกว่า
เหยาเหยียนอี้ไม่รู้ว่าภายในใจของเหยาเยี่ยนอวี่คิดสิ่งใดอยู่ จึงเดินกลับเรือนด้านหลังไปพร้อมกับน้องสาว ขณะเดียวกันก็ได้เล่าเรื่องต่อ “หลังจากนั้น บุตรชายของราชครูเซียวเซียวหยิ่งผ่านการคัดเลือกและได้เข้าตำแหน่งขุนนาง และใช้ความสามารถที่มีอยู่จริงของตนเองค่อยๆ ไต่เต้าขึ้นไปที่สูงทีละก้าว จวบจนถึงเขาอายุสี่สิบ ฮ่องเต้ก็ทรงให้ความสำคัญกับเขา แล้วแต่งตั้งเขาเป็นข้าหลวงใหญ่ผู้ปกครองเขตทิศตะวันออกเฉียงใต้ แล้วยังได้รับภารกิจสำคัญในการรักษาความมั่นคงของชายฝั่งฝูเจี้ยนและเกาะหลิวเฉียว หลังจากที่เกาะหลิวเฉียวถูกโจรสลัดโจมตี ข้าหลวงใหญ่เซียวโชคร้ายจึงตกน้ำจนเสียชีวิต แม้แต่ศพยังหาไม่พบ ฮ่องเต้ทรงเจ็บปวดใจยิ่งนัก เลยรีบแต่งตั้งเขาเป็นจิ้งไห่โหว และสามารถสืบทอดตำแหน่งนี้ไปชั่วลูกชั่วหลาน คุณชายเซียวท่านนี้ที่เจ้าพูดถึงคงจะเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวที่จิ้งไห่โหวทิ้งไว้ ได้ยินว่าการสั่งสอนลูกหลานของท่านราชครูนั้น หากลูกหลานของตระกูลเซียวอยากจะเข้ารับราชการ จำเป็นต้องสอบคัดเลือกขุนนางเท่านั้น ดังนั้นคุณชายเซียวท่านนี้คงจะเข้าเมืองมาสอบคัดเลือกขุนนางในช่วงวสันต์ปีหน้า”
เหยาเยี่ยนอวี่จึงอุทานคำว่า ‘อา’ ออกมาอย่างตกตะลึง แล้วถามขึ้น “หากพูดเช่นนี้ คุณชายเซียว เซียวหลินก็คือจิ้งไห่โหวน่ะสิ?” มิน่าล่ะแม้กระทั่งอวิ๋นเหยาจวิ้นจู่ยังต้องมีมารยาทกับเขา ตอนที่ออกมาเดินเที่ยวเล่นในตลาดยังต้องมีคุณชายใหญ่ตระกูลเฟิงคอยตามประกบ
“ได้ข่าวว่าเซียวหยิ่งมีบุตรชายเพียงคนเดียว จึงถูกท่านผู้เฒ่าเซียวเลี้ยงดูตั้งแต่เด็ก เลยได้ร่ำเรียนวิชาความรู้มาอย่างดี และตอนนั้นท่านผู้เฒ่าเซียวเคยไปมาหาสู่กับอัครเสนาบดีเฟิง วันนี้พอคุณชายเซียวเข้าเมืองมาสอบคัดเลือกขุนนาง อัครเสนาบดีเฟิงต้องดูแลเขาอยู่แล้ว ว่าไปแล้ว นอกจากเขาก็คงไม่มีคนอื่นอีก”
เหยาเยี่ยนอวี่แย้มยิ้มอ่อน “เขาได้กลายเป็นท่านโหวแล้วยังคิดจะมาร่วมสนุกอะไรอีก ให้เขาสอบคัดเลือกขุนนางแล้วมีประโยชน์ต่อเขาหรือ”
“ย่อมต้องมี ถึงแม้ตอนนี้เขาจะรับเบี้ยเลี้ยงของการเป็นโหว ทว่ากลับไม่มีตำแหน่งขุนนางใดเลย ผู้เฒ่าเซียวรู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ แน่นอนว่าต้องเร่งให้ลูกหลานเข้ารับตำแหน่ง เพื่อให้เขาเดินตามรอยบิดา จึงเริ่มจากการสอบคัดเลือกขุนนาง เพื่อบรรจุเป็นข้าราชการที่คอยทำงานให้ราชสำนัก”
เหยาเยี่ยนอวี่พยักหน้า ภายในใจก็รู้สึกชื่นชมในความน่ารักน่าชังกับนิสัยซื่อสัตย์ตรงไปตรงมาของผู้เฒ่าเซียว
[1] ไท่ฟู่ คือราชครู
[2] ซ่างซู คือราชเลขาธิการหรืออาลักษณ์ของราชสำนัก