กู้ชูหน่วนหัวเราะ “เงินหนึ่งล้านกว่าตำลึงนั่น ข้าชนะมาด้วยความสามารถของตัวเอง ทำไมต้องให้ท่านด้วย?”
“ไร้สาระ เจ้าวางแผนแย่งไปต่างหาก” กู้ชูหลันพูดอย่างโมโห ถ้าเอาเงินสองแสนตำลึงกลับมาไม่ได้ นางอย่าคิดจะมีชีวิตต่อไปอีกเลย
“อ้อ……ข้าวางแผนงั้นเหรอ? ข้าบังคับให้เจ้าเดิมพันงั้นเหรอ? หรือข้าร่วมมือกับอาจารย์ซ่างกวน ให้อาจารย์ซ่างกวนช่วยข้าโกง?”
กู้ชูหลันพูดไม่ออก
อาจารย์ซ่างกวนเป็นคนยังไง?
นั่นเป็นถึงหนึ่งในนักปราชญ์ทั้งสี่เชียวนะ เชี่ยวชาญในหลายๆด้าน น่าเกรงขาม ทั้งยังเป็นคนสำคัญขององค์ฮ่องเต้อีก จะมาช่วยนักเรียนโกงได้ยังไง
อนุภรรยาห้าเห็นแบบนี้แล้ว ก็เปลี่ยนไปอีกเรื่องทันที “ในเมื่อเจ้าชนะแล้ว แต่ยังไงเจ้าก็ยังเป็นคนของจวนเฉิงเซี่ยงอยู่ จวนนี้เลี้ยงเจ้ามานานหลานปี เจ้าน่าจะตอบแทนอะไรบ้างนะ”
กู้ชูหลันได้สติ ก็พยักหน้าแรงๆ “ใช่แล้ว เป็นอย่างที่ว่าเลย”
กู้ชูหน่วนลดมือขวาลงและเก็บป้ายประกาศิตไว้ที่กระเป๋า จากนั้นก็เดินไปหาอนุภรรยาห้า แล้วพูดอย่างหยิ่งผยอง
“ตอบแทนงั้นเหรอ? ถ้าไม่ใช่เพราะท่านแม่ของข้า เขาจะเป็นเฉิงเซี่ยงได้เหรอ? ถ้าไม่ใช่เพราะสมบัติก่อนแต่งงานของท่านแม่ข้า จวนเฉิงเซี่ยงจะรุ่งเรืองได้เหมือนทุกวันนี้เหรอ? ที่พวกเจ้ามีกินมีใช้ทุกวันนี้ได้? แต่จวนเฉิงเซี่ยงทำอะไรกับข้าไว้บ้าง? กินอาหารเหลือจากพวกเจ้า เอาเศษผ้ามาเป็นเสื้อผ้าใส่ เทียบไม่ได้กับข้ารับใช้ด้วยซ้ำ ตอนที่ข้าป่วยจนแทบตาย เคยมีใครเชิญหมอมารักษาให้ข้า หรือต้มยาให้ข้ากินสักถ้วยไหม?”
อนุภรรยาห้าถอยหลังไปเรื่อยๆ ตะคอกอย่างหน้าเสียว่า “ข้าไม่ได้ยุ่งเรื่องในจวนเสียหน่อย เจ้าจะตะโกนใส่ข้าทำไม?”
คำพูดนี้ เหมือนกับโทษไปที่ฮูหยินใหญ่ทั้งหมด
ฮูหยินใหญ่มองค้อนนาง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “พวกคุณชายคุณหนูและฮูหยินในจวน ข้าก็เอาเบี้ยเลี้ยงให้อย่างเข้มงวดทุกเดือน ส่วนเรื่องที่ทำไมคุณหนูสามถึงไม่ได้รับนั้น งั้นก็คงต้องถามเซี่ยเฟิงแล้ว เพราะยังไงอาหารและที่พักอาศัยของคุณหนูสาม ก็มีแต่เซี่ยเฟิงที่ไปส่งให้”
ใครก็รู้ว่าเซี่ยหยู่กับเซี่ยเฟิงเป็นมือซ้ายขวาของอนุภรรยาห้า ถ้าสืบได้ว่าเซี่ยเฟิงมีปัญหา งั้นเรื่องทุกอย่างก็ต้องตกไปที่อนุภรรยาห้า
อนุภรรยาห้าโกรธจนกัดฟันกรอด
ทุกคนในจวนต่างก็รู้กันดีว่า นอกจากพวกนางจะรังแกคุณหนูสามแล้ว ฮูหยินใหญ่ก็รังแกเหมือนกัน แต่ฮูหยินใหญ่ทำได้ลึกลับกว่า เรื่องนี้ถ้าสืบลงไป ฮูหยินใหญ่อาจจะผลักเรื่องทุกอย่างไปที่ข้ารับใช้ และพวกนางจะต้องซวยแน่
อนุภรรยาห้าพูดไม่ออก อนุภรรยาสามกลับจับเล็บตัวเองเล่นอย่างเกียจคร้าน พูดโดยไม่กลัวว่าเรื่องจะใหญ่ขึ้น “อยากรู้ว่าใครแอบเอาเบี้ยเลี้ยงในทุกเดือนของคุณหนูสามไป แค่สืบก็รู้แล้ว”
“อนุแม่ เรื่องเล็กแบบนี้สืบทีหลังก็ได้ แต่กู้ชูหน่วนต้องเอาเงินหนึ่งล้านกว่าตำลึงออกมาก่อน” กู้ชูหลันพูด
“เหอะ เบี้ยเลี้ยงของคุณหนูสามบุตรภรรยาเอกถูกหักไปขนาดนี้ ยังเป็นเรื่องเล็กอีกเหรอ?” อนุภรรยาสามพูดประชด
“พอแล้ว ทะเลาะอะไรกัน กู้ชูหน่วน เจ้าถูกหักเบี้ยเลี้ยงข้าจะสืบเองทีหลัง แต่เงินหนึ่งล้านกว่าตำลึงนั่น เจ้าจะต้องเอาออกมาตอนนี้”
กู้ชูหน่วนแสยะยิ้ม
ผู้ถ่อมตนย่อมอยู่ยงคงกระพัน
ในสายตาเขา ไม่ว่านางจะถูกรังแกแค่ไหน กู้เฉิงเซี่ยงก็ไม่เคยรู้สึกผิดเลยด้วยซ้ำ
ในสายตาเขา มีแค่เงินหนึ่งล้านกว่าตำลึง
กู้ชูหน่วนหาวอย่างขี้เกียจ มองดูพวกเขาโมโหอย่างดีอกดีใจ
“น่าเสียดาย ท่านพูดช้าเกินไป ข้าให้คนอื่นๆไปหมดแล้วล่ะ”
ทุกคนสีหน้าเปลี่ยนไปทันที
“เจ้า……เจ้าว่ากระไรนะ? ให้คนอื่นๆไปหมดแล้ว? เป็นไปได้ยังไง นั่นหนึ่งล้านกว่าตำลึงเชียวนะ”
“ทำไม ท่านไม่เชื่อเหรอ? พวกท่านทุกคนก็ไปตรวจเองได้เลยนะ”
กู้เฉิงเซี่ยงตะคอก “ชิวเอ๋อร์ เจ้าว่ามาสิ เงินหนึ่งล้านกว่าตำลึงไปไหนหมดแล้ว?”
ชิวเอ๋อร์ตกใจจนตัวสั่นเทา “คุณหนูให้คุณชายเซียวไปห้าแสนตำลึง ต่อมาก็ให้คนอื่นอีกสามแสนตำลึง รวมแล้วแปดแสนตำลึงเจ้าค่ะ คุณหนูก็ให้คุณชายหลิวอีกสองแสนตำลึง คุณชายอวี่อีกสองแสนตำลึง รวมถึงซื้อยาบำรุงอีก ใช้ไปทั้งหมดหนึ่งแสนสองหมื่นตำลึงเจ้าค่ะ”
ทรุด……
ทุกคนในจวนเฉิงเซี่ยงแทบทรุดกันหมด ทุกคนต่างมองกู้ชูหน่วนด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ
พ่อบ้านรีบวิ่งเข้ามา กระซิบข้างหูกู้เฉิงเซี่ยง
กู้เฉิงเซี่ยงได้ยินแล้วก็แทบเป็นลม
เจ้าลูกทรพีให้เงินคนอื่นไปถึงหนึ่งล้านกว่าตำลึงอย่างง่ายดาย นางรู้หรือว่าว่าเงินพวกนั้นหมายถึงอะไร?
นั่นเป็นเงินที่สามารถช่วยตระกูลที่กำลังจะล้มละลายให้กลับมารุ่งเรืองได้อีกครั้ง
กู้ชูหลันตะคอกอย่างโมโห “งั้นเงินสองแสนตำลึงข้าล่ะ? กู้ชูหน่วน เจ้าเอาเงินสองแสนคืนมาให้ข้านะ”
“ทำไม เจ้าอยากเบี้ยวเหรอ? หลักฐานลายลักษณ์อักษรที่เขียนไว้ข้ายังเก็บไว้อยู่เลยนะ ต่อไปถ้าเดิมพันไม่ไหว ก็อย่าเดิมพัน เดี๋ยวถ้าแพ้ จิ๊ๆๆ จะขายขี้หน้าเอา”
“นั่นเป็นเงินที่ท่านตาเก็บไว้ให้ข้า เจ้าต้องคืนมาให้ข้านะ”
“ได้เลย เจ้าไปฟ้องเลย ขอแค่เจ้าฟ้องชนะ ข้าจะคืนให้เจ้าทันที”
“ท่านพ่อ……”
กู้ชูหลันมองกู้เฉิงเซี่ยงอย่างน้อยใจ น้ำตารื้นขึ้นเต็มขอบตาอย่างน่าสงสาร เหมือนกำลังฟ้องว่ากู้ชูหน่วนเป็นคนที่ชั่วช้ามากแค่ไหน
ตั้งแต่กลับมาจากวัด กู้ชูหน่วนทำให้นางเสียหน้าหลายครั้งแล้ว นางไม่สนใจอะไรแล้วล่ะ นางแค่อยากได้เงินสองแสนนั่นคืนมา นั่นเป็นเงินที่พวกนางสองแม่ลูกจะใช้ในครึ่งชีวิตนี้
“เจ้าลูกอกตัญญู ข้าไม่เชื่อว่าวันนี้ข้าจะสั่งสอนเจ้าไม่ได้ พวกเจ้า เอาบทลงโทษของตระกูลมา ข้าจะตีเจ้าลูกคนนี้ให้ตายคามือ”
“ใครกล้าตีพระชายาของข้าให้ตายคามือกัน?”
ทันใดนั้น เสียงทุ้มต่ำที่ไพเราะก็ดังขึ้นช้าๆ
ต่อมาก็มีเตะประตูปังดังๆ
ด้านนอกมีทหารที่สายตาเฉียบคมจนน่าหวาดกลัวอยู่หน้าประตู
พวกทหารยืนเรียงเป็นแถมอย่างเรียบร้อย แบ่งยืนเป็นสองแถว และมีคนเดินตรงกลางเข้ามา
ทุกคนต่างหันหน้าไปมองพร้อมกัน
ไม่ดูไม่เป็นไร พอเห็นแล้วทุกคนก็ตกใจจนแทบทรุด
นั่นมัน……ท่านอ๋องหานเทพสงครามนี่……
เขามาที่นี่ได้ยังไง?
เห็นแค่เทพสงครามนั่งอยู่บนรถเข็น มีหนุ่มรูปหล่อเข็นอยู่ด้านหลังช้าๆ เป็นภาพที่ยิ่งใหญ่มาก
เทพสงครามสวมหน้ากากผี ดูหน้าตาไม่ออก แต่พลังที่แผ่ซ่านออกมาจากรอบกายนั้นกลับเหมือนกลิ่นอายของความตาย
กู้เฉิงเซี่ยงตกใจมาก เลือดในตัวสูบฉีดอย่างหนัก เขาขาอ่อนทรุดลงกับพื้น พูดเสียงดังว่า
“ข้ากระหม่อมกราบบังคมทูลอ๋องหาน ขอท่านอ๋องทรงพระเจริญพันปีพันปีพันพันปี”
ทุกคนในจวนเฉิงเซี่ยงต่างก็ตกใจกันใหญ่ ทุกคนคุกเข่าลงพร้อมกัน ใจเต้นตึกตักจนแทบกระเด็นออกมา
ไหนว่าท่านอ๋องหานเทพสงครามป่วยหนัก จนไม่ค่อยออกจากบ้านไง? ทำไมถึงเสด็จมาที่จวนเฉิงเซี่ยงกะทันหันล่ะ?
เขาพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง?
หรือว่าเขาอยากช่วยกู้ชูหน่วน?
ให้กู้ชูหน่วนแต่งงานกับเขา ก็เพื่อเหยียดหยามเขา ทำไมเขาถึงมาช่วยกู้ชูหน่วนล่ะ?
กู้เฉิงเซี่ยงพูดเสียงสั่น ไม่รู้ว่าเทพสงครามหมายถึงอะไร “ท่านอ๋อง กระหม่อมไม่ได้หมายความเช่นนั้น……กระหม่อมแค่……แค่จะขู่ขอรับ”
“ขู่พระชายาข้างั้นรึ?”
เสียงของเย่จิ่งหานลากยาว คำพูดแฝงนัยยะ สายตาเรียวยาวคู่นั้นกวาดตามองไปที่กู้ชูหน่วน เหมือนมองกู้ชูหน่วนทะลุทุกอย่างแล้ว
กู้เฉิงเซี่ยงกลัวจนเหงื่อไหลพราก
เป็นขุนนางมานาน เขาไม่เคยเข้าใจสิ่งที่เทพสงครามพูดเลยสักครั้งเดียว
เขากำลังช่วยกู้ชูหน่วน
แม้จะไม่ใช่ แต่กู้ชูหน่วนก็เป็นพระชายาของเขา ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถลบหลู่ได้
กู้เฉิงเซี่ยงปาดเหงื่อออก พูดด้วยน้ำเสียงสั่นคลอนว่า “กระหม่อมมิบังอาจขอรับ……”
กู้ชูหน่วนกุมขมับ
อยากจะหาปี๊บมาคลุมหัวจริงๆ
ทุกคนต่างคุกเข่ากันหมด หรือนางจะต้องคุกเข่าด้วย?