“ขอรับๆๆ…!”
หอแรกถือว่าราบรื่น ฉีโส่วพวกนั้นกุมตัวคนไปที่แท่นจุดสัญญาณไฟตามที่เขาต้องการ
กู้ชูหน่วนไม่วางใจให้อี้เฉินเฟยไปพาทาสบำเรอออกมาจากหออีกสองแห่งตามลำพัง จึงให้ทาสบำเรออื่นประคองเย่เฟิงที่เมาไปที่แท่นจุดสัญญาณไฟ ส่วนตัวเองก็ตามอยู่ข้างหลังอี้เฉินเฟย
หอที่สองก็ราบรื่นมาก
หอที่สามพอลงถึงชั้นที่หนึ่งก็ไม่พบกับปัญหาอะไรมาก แต่ขณะที่พวกเขานึกว่าจะนำคนไปที่แท่นจุดสัญญาณไฟได้
ทันใดนั้นก็มีคนตะโกนเรียกพวกเขาหยุด
“หยุดนะ! พวกเจ้าเอาทาสบำเรอมากมายขนาดนั้นไปทำอะไร?”
“เรียนถันจู่หลิน ท่านหัวหน้ากองธงมีคำสั่ง ให้นำทาสบำเรอในหอทั้งหมดส่งไปที่ยอดเขาขอรับ”
“ทาสบำเรอทั้งหมด? ทำไมข้าไม่ได้รับคำสั่งนี้ล่ะ?”
“เออ…”
ฉีโส่วมองทางอี้เฉินเฟยด้วยความลำบากใจ
พวกเขาก็ไม่ได้รับคำสั่งเหมือนกัน และพวกเขาก็ไม่อยากปล่อยคน แต่ท่าทีถันจู่เจียงแข็งกร้าว หากพวกเขาไม่ทำตาม ทุกคนก็ต้องรับเคราะห์ ครั้นเห็นท่าทางของถันจู่เจียง ก็ไม่เหมือนกับปลอมแปลงคำสั่ง พวกเขาจึงได้แต่ปฏิบัติตาม
“ที่แท้ก็เป็นถันจู่เจียงนี่เอง ข้ายังคิดว่าใคร ถันจู่เจียง ท่านจะยุ่งมากไปหน่อยกระมัง? แม้แต่ทาสบำเรอในหอเฟิงหยุนของข้าก็จะยุ่งหรือ?”
อี้เฉินเฟยที่แปลงโฉมหันไปพร้อมกับกู้ชูหน่วน
แต่กลับเห็นถันจู่หลินที่กล่าวอายุเพียงสามสิบกว่าเท่านั้น ท่าทางชั่วร้ายนัก แค่เห็นก็รู้ว่าไม่ใช่คนดีอะไร
น้ำเสียงของเขาเสียดสีไร้น้ำใจ ราวกับกำลังถากถางว่าพวกเขายุ่งมากเกินไป อยากควบคุมโยกย้ายคนในหอที่เขาดูแล และไม่ได้ผ่านความเห็นชอบของเขา
อี้เฉินเฟยหัวเราะเอ่ย “ท่านหัวหน้ากองธงต้องการเร่งด่วน ข้าเองก็จนใจจึงได้แต่พาคนไปแล้วค่อยบอกท่าน”
ถันจู่หลินยิ้มเยอะ น้ำเสียงเจือความสงสัย
“ข้าเป็นผู้ดูแลหอเฟิงหยุน หากท่านหัวหน้ากองธงต้องการคน ไยจึงไม่บอกข้าแต่กลับไปบอกเจ้า?”
อี้เฉินเฟยหน้าขรึม “เจ้าสงสัยว่าข้าโกหก?”
“จะโกหกหรือไม่ เอาป้ายคำสั่งออกมาก็ไม่ใช่รู้แล้วหรือ?”
เมื่อได้ยินดังนั้น อี้เฉินเฟยก็เดินเข้าประชิดเรื่อยๆ จ้องถันจู่หลิน มองเขาอย่างเย่อหยิ่ง “ท่านหัวหน้ากองธงก็แค่ต้องการทาสบำเรอเท่านั้น หรือว่ายังต้องเอาป้ายคำสั่งให้ข้าไปเอาคนมา?”
แค่ต้องการทาสบำเรอไม่จำเป็นต้องใช้ป้ายคำสั่งจริงๆ หัวหน้ากองธงเอ่ยมาเพียงคำเดียว คนระดับล่างก็จะนำไปส่ง
แต่ไม่มีเหตุผลที่หัวหน้ากองธงจะให้เจียงซวี่ข้ามเขตมาพาทาสบำเรอที่เขาดูแลไปนี่
“ไม่มีป้ายคำสั่งของท่านหัวหน้ากองธง ไม่ว่าใครก็เอาทาสบำเรอพวกนี้ไปไม่ได้!”
“กระทบกับอารมณ์ของท่านหัวหน้ากองธง ท่านรับผิดชอบไหวหรือ?”
“ข้ารู้แต่เพียง หากท่านหัวหน้ากองธงไม่ออกคำสั่งมาเอง ไม่ว่าใครหน้าไหนก็พาทาสบำเรอพวกนี้ไปไม่ได้ รวมถึงเจ้าด้วย!”
ท่าทีอี้เฉินเฟยแข็งกร้าว แต่ท่าทีของถันจู่หลินแข็งกร้าวยิ่งกว่า
ทั้งสองเผชิญหน้ากัน ตึงเครียดอยู่ตรงนั้น
ครั้นเห็นว่าจวนถึงยามจื่อเต็มที
กู้ชูหน่วนจึงเดินขึ้นหน้ามาเสียเลย สองมือคำนับ เอ่ยอย่างจริงจัง “ถันจู่หลิน ท่านว่าที่ท่านหัวหน้ากองธงไม่ได้สั่งให้ท่านส่งคนไป หรือท่านไม่ควรพิจารณาสักหน่อยหรือขอรับ?”
“ไอ้บัดซบ! เจ้าเป็นแค่อะไร? แค่ฉีโส่วเล็กๆ ก็กล้ามาพูดกับข้าเช่นนี้หรือ?!”
“ข้าน้อยแค่อยากเตือนสติถันจู่หลิน หากถันจู่หลินคิดว่าคำพูดสัตย์จริงของข้าน้อยไม่เข้าหู เช่นนั้นข้าน้อยก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก”
คำพูดของกู้ชูหน่วนล้ำลึกยากจะคาดเดา
ถันจู่หลินฟังแล้วรู้สึกแปลก ครั้นเห็นดวงตาอี้เฉินเฟยเจือความได้ใจและโอหังแล้ว
ใจเขาก็เต้นตุบตับขึ้นมา
หรือว่า…ท่านหัวหน้ากองธงรู้ว่าเขาแอบส่งทาสบำเรอให้หัวหน้ากองธงคนอื่นลับหลังจำนวนไม่น้อย ก็เลยโกรธเขา ถึงไม่ได้ให้เขาส่งทาสบำเรอไปเองหรือ?
ดังนั้น…
ถึงได้เอาทาสบำเรอในหอเฟิงหยุนไป?
ถันจู่หลินยิ่งคิดก็ยิ่งเป็นไปได้
สีหน้าแย่ลงอย่างห้ามไม่อยู่ประมาณหนึ่ง
กู้ชูหน่วนส่งสายตาให้อี้เฉินเฟย ให้คะแนนเต็มกับความได้ใจและความโอหังที่เขาแสดงออกเมื่อครู่
รอยยิ้มอี้เฉินเฟยแวบมา จากนั้นก็ยิ้มเย็น “ถันจู่หลิน ใกล้จะถึงยามจื่อแล้ว จะให้ไปหรือไม่ให้ไป?”
“หากไม่ให้ก็ไม่เป็นไร เราก็ไปพูดเหตุผลกับท่านหัวหน้ากองธงที่นั่นก็พอ ถึงอย่างไรก็แค่ทาสบำเรอไม่กี่สิบคนเท่านั้น เชื่อว่าถันจู่หลินปฏิเสธ ท่านหัวหน้ากองธงก็โยกย้ายจากที่อื่นมาได้”