แม้มือกู้ชูหน่วนจะกำหญ้านรกอยู่ แต่กลับไม่มีอารมณ์อยากฟื้นคืนโฉมหน้าแล้ว จึงโยนหญ้านรกเข้าแหวนมิติไปเสีย แล้วไปเหม่อลอยอยู่ในศาลาวัดอยู่คนเดียว
ไม่รู้ว่าเมื่อใดฝูกวงปรากฏตัวอยู่ข้างกายนาง เอ่ยปลอบ “นายหญิงกู้ คุณชายเย่เฟิงจิตใจดี สวรรค์ต้องเมตตากับเขาแน่ขอรับ”
กู้ชูหน่วนหัวเราะเย้ย
ชีวิตข้า ข้ากำหนดเอง!
นางไม่เคยเชื่อเรื่องสวรรค์อะไร
หากสวรรค์มีตา ก็ต้องกรรมสนองคนที่รังแกเขาให้ลงนรกไปแล้ว ยังจะโลดแล่นเช่นนี้ได้อีกหรือ?
“ฝูกวง ช่วยข้าเรื่องหนึ่งได้ไหม?”
“นายหญิงกู้เชิญสั่งได้ แม้ต้องบุกน้ำลุยไฟข้าน้อยก็จะไม่เกี่ยง”
“ช่วยข้าสืบชาติกำเนิดของเย่เฟิง ข้าอยากรู้ว่าพ่อแม่แท้ๆ ของเขาเป็นใคร” บางทีอาจมีแต่หาพวกเขาให้พบ ถึงประโลมหัวใจที่บอบช้ำของเขาได้บ้าง
“ขอรับ ข้าน้อยต้องสืบเบื้องหลังชาติกำเนิดของคุณชายเย่มาให้ได้ นายหญิงกู้รอฟังข่าวเถอะ”
“ดี”
ผ่านไปอีกหลายถ้วยชา จู่ๆ ประตูห้องของเย่เฟิงก็เปิดออก
กู้ชูหน่วนส่งสายตาให้ฝูกวง บอกเป็นนัยให้เขารีบหลบไปพร้อมกับนาง เย่เฟิงจะได้ไม่เห็นพวกเขาบั่นทอนความหยิ่งในศักดิ์ศรีของเขา เพราะเขาร้องไห้จนดวงตาบวมมาก พวกเขาอยากทำเป็นมองไม่เห็นก็ทำไม่ได้
แต่…
เย่เฟิงเรียกหยุดพวกเขาไว้
กู้ชูหน่วนยิ้มแห้งๆ “เออ…ดวงจันทร์คืนนี้งดงามนัก เจ้านอนไม่หลับหรือ?”
เย่เฟิงใช้ผ้าปิดหน้า แต่ก็ยังไม่อาจปกปิดความบวมแดงและเส้นเลือดฝอยในดวงตา
บางทีอาจเป็นเพราะร้องไห้มา เสียงจึงแหบแห้ง เอ่ยเรียบ “ให้ข้ายืมเงินสักหน่อยได้ไหม?”
“อะ…อะไรนะ…” กู้ชูหน่วนอึ้ง
“ให้ข้ายืมเงินหน่อยได้ไหม? อีกระยะหนึ่งข้าจะคืนเจ้า”
“ดะ…ได้ เจ้าต้องการเท่าไร?”
“ประมาณ…ยี่สิบตำลึงแล้วกัน”
กู้ชูหน่วนเอาเงินออกมาจากแหวนมิติสองร้อยตำลึงแล้วยื่นให้เขา แต่เย่เฟิงหยิบเพียงยี่สิบตำลึง เอ่ยขอบคุณแล้วก็หันตัวเดินจากไป
กู้ชูหน่วนเกือบกัดถูกลิ้นตัวเอง นางเลิ่กๆ ลั่กๆ มองฝูกวง เอ่ยถาม “ข้าไม่ได้ฟังผิดไปกระมัง? เย่เฟิงยืมเงินข้า?”
“นายหญิงกู้ ท่านไม่ได้ฟังผิดไป คุณชายเย่เฟิงยืมเงินยี่สิบตำลึงจากท่านจริงๆขอรับ”
“เขายืมเงินไปทำอะไรกัน?”
“ข้าน้อยก็ไม่ทราบเหมือนกันขอรับ”
“คงมิใช่ซื้อยาฆ่าตัวตายหรอกนะ?”
กู้ชูหน่วนตื่นตระหนก รีบตามไป “เย่เฟิง! เจ้าจะเอาเงินยี่สิบตำลึงไปทำอะไรหรือ?”
“ไปจ่ายตลาดสักหน่อย”
จ่ายตลาด? หรือจะทำอาหารเต็มโต๊ะให้ตัวเอง แล้ววางยาในอาหารฆ่าตัวตาย?
“เออ…เจ้าอยากกินอะไร ข้าให้หลวงจีนในวัดทำให้เจ้าก็ได้ นี่ฟ้ายังไม่สางเลย คนขายผักก็ยังไม่ออกมาเลยมิใช่หรือ?”
“ไม่ได้ทำกับข้าวนานแล้ว อยากลงมือเข้าครัวสักหน่อย แล้วลวดทำอาหารเจให้ไต้ซือกับเหล่าผู้มีจิตศรัทธาในวัดด้วย”
เจ้านี่…
คงมิใช่จะลากคนในวัดไปตายด้วยหรอกนะ?
ถุย…!
นางคิดเพ้อเจ้ออะไรเนี่ย!
เย่เฟิงมีเมตตาเพียงนั้น เขายอมให้ตัวเองรับทุกขเวทนาเอง ไม่เคยโกรธแค้นคนอื่น แล้วจะทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร?
“เจ้าไม่ได้พักผ่อนดีมาหลายวันหลายคืน ในวัดแต่ละคนก็มีรสปากไม่เหมือนกัน ถึงเจ้าจะทำ ก็ไม่แน่ว่าจะถูกใจพวกเขา ข้าว่า…เรื่องทำอาหารเจก็ช่างเถอะ เจ้ายังบาดเจ็บอยู่ รักษาตัวให้หายถึงจะเป็นเรื่องเร่งด่วน”
เย่เฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ค่อยเข้าใจความหมายของกู้ชูหน่วน
หรือกลัวว่าเขายืมแล้วจะไม่คืน?
“อย่างมากหนึ่งเดือน ภายในหนึ่งเดือนข้าจะคืนเงินให้เจ้า”
อยู่นานกู้ชูหน่วนถึงจะเข้าใจ “ข้าไม่ได้กลัวว่าเจ้าจะไม่คืนเงิน ข้าแค่…แค่กลัวว่าเสียเวลาที่นี่นาน เจ้าจะห่วงยายของเจ้า”