บทที่ 243 เสแสร้ง จอมมารท่านเสแสร้งต่อไป
ความกดดันแห่งความตายชนิดหนึ่งได้ครอบคลุมตัวของกู้ชูหน่วน ความกดดันที่ทรงพลังทำให้ร่างกายของพวกเขาหยุดนิ่ง ทำให้พวกเขาเคลื่อนไหวไม่ได้ ได้แต่มองดูพี่ใหญ่หยินที่พุ่งหมัดปลิดชีวิตเข้ามาทางพวกเขาตาปริบๆ
เสี้ยววินาทีนี้ กู้ชูหน่วนรับรู้ถึงความน่ากลัวของความตายขึ้นมาอย่างแท้จริง
และเป็นครั้งแรกหลังจากที่นางทะลุมิติมาแล้วรู้สึกไร้สิ้นพลังที่สุด
พลังต่อสู้ระหว่างพวกเขาห่างชั้นกันเกินไปแล้ว ห่างกันราวกับมีแม่น้ำขนาดใหญ่ขวางอยู่
ชั่วขณะที่มีอันตรายใหญ่หลวง อาวุธลับหลานสิบชิ้นที่แฝงไปด้วยพลังภายในอันแข็งแรงพุ่งตรงมา พี่ใหญ่หยินทำเอาพี่ใหญ่หยินจำเป็นต้องเก็บฝ่ามือ หลบอาวุธลับที่ถึงแก่ชีวิตสิบกว่าชิ้นนั้น
“ฟิ้วๆๆ……”
“ปังๆๆ……”
คนที่ปล่อยอาวุธลับนับสิบออกมานั้นเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง ในมือของชายหนุ่มถือพัดเอาไว้ พอลงมือก็ใช้กระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุด ใช้ความเร็วตอบโต้ความเร็ว ใช้ความโหดเหี้ยมตอบโต้ความโหดเหี้ยม แต่ละกระบวนท่าไม่มีช่องว่าง บีบให้พวกเจ็ดผีแห่งภูเขาหยินไร้ทางลงมือไปชั่วขณะ
“ตูมตาม…… ”
ระเบิดควันลูกหนึ่งถูกดีดออกมา ชายหนุ่มที่ถือพัดอยู่ในมือมือหนึ่งก็คว้าตัวเย่เฟิง อีกมือก็คว้าตัวท่านยายเย่ พร้อมทั้งร้องเรียกกู้ชูหน่วน ฉวยโอกาสที่สถานการณ์วุ่นวายหลบหนี ด้วยความเร็วสูงสุด
ทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ ก็แค่ชั่วเวลาสายฟ้าฟาดเท่านั้น
แม้ว่าชายหนุ่มจะมีวรยุทธสูงส่ง แต่อาศัยแค่เขาคนเดียว ไม่สามารถต้านทานยอดฝีมือมากมายขนาดนี้ได้ ที่สามารถหลบหนีไปได้ ก็แค่อีกฝ่ายคาดไม่ถึงเท่านั้น
เจ็ดผีแห่งภูเขาหยินกับหัวหน้ากองธงกล้วยไม้โมโหมาก
เจ้าเด็กเวรนั่นมาจากไหน
ถึงกับกล้าแย่งคนไปจากมือของพวกเขา
“ไล่ตาม”
ในช่องแคบระหว่างภูเขาแห่งหนึ่งของเขาสูบวิญญาณ
พวกกู้ชูหน่วนกับชายหนุ่มคนนั้นหนีเตลิดมาตลอดทาง
นางมีบาดแผลบนร่าง วิชาตัวเบาช้ากว่าแต่ก่อนไปมาก
ชายหนุ่มสวมชุดสีฟ้าอ่อนทั้งตัว สวมหน้ากากสีฟ้า ข้างหลังมีพัดเหล็กเสียบไว้อันหนึ่ง มองไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริง แต่มีรูปร่างสูง ท่าทีสูงส่งสง่างาม คิดว่าหน้าตาก็คงไม่ได้แย่สักเท่าไหร่กระมัง
ชายหนุ่มแบกท่านยายเย่เอาไว้ มือหนึ่งก็ประคองเย่เฟิงที่บาดเจ็บสาหัส หลังจากหนีอย่างเร็วมาหลายลี้แล้ว ก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อยอยู่บ้าง
กู้ชูหน่วนหยุดลง เลือดลมกรูขึ้นมาอย่างรุนแรง
“ไม่ได้ พวกเขาแต่ละคนล้วนเป็นยอดฝีมือ พวกเรานอกจากเจ้าแล้ว ไม่บาดเจ็บก็เป็นคนแก่ ไม่มีทางหนีพ้นแน่”
“พวกเจ้าไปกันก่อน ข้าจะล่อพวกเขาออกไป”ชายหนุ่มวางท่านยายเย่ลง แทบจะไม่ลังเลใดๆเลย อยากจะล่อพวกเจ็ดผีแห่งภูเขาหยินออกไป
กู้ชูหน่วนกะพริบตาปริบๆ เอ่ยด้วยเสียงหอบหายใจหนัก”คนที่พวกเขาตามหาคือพวกเรา ไม่ใช่เจ้า แค่เจ้าคนเดียวไม่สามารถล่อพวกเขาออกไปได้ ”
คนบนโลกใบนี้ ล้วนชอบสวมหน้ากากหรืออย่างไร
เจ้าสำนักชิงสวมหน้ากาก เย่จิ่งหานสวมหน้ากาก เขาก็สวมหน้ากาก
แล้วมองรูปร่างของเขา ทำไมจึงรู้สึกเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
“เจ้าเป็นใคร ทำไมต้องช่วยเหลือพวกเรา”กู้ชูหน่วนถาม
ชายหนุ่มกวาดตามองท่านยายเย่ที่สลบไม่ตื่นแวบหนึ่ง พร้อมกับเย่เฟิงที่เสื้อผ้าไม่เรียบร้อย เลือดเปื้อนเต็มร่าง ความรู้สึกตำหนิตนเองวาบผ่านแวบหนึ่ง
แววตาของเขามีความสับสนเล็กน้อย พูดเสียงเรียบว่า “ข้าก็แค่คนผ่านทางเท่านั้น ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมต้องช่วยเหลือพวกเจ้า บางทีอาจเกิดจากน้ำใจกระมัง”
หากวันนั้นเขาพยายามสุดความสามารถ ท่านยายเย่ก็คงไม่ต้องถูกจับตัวไป
เย่เฟิงก็ไม่ถึงกับต้องการช่วยเหลือท่านยายเย่ จนต้องบุกเข้าไปในเขาสูบวิญญาณตามลำพัง และคงไม่ถึงกับได้รับบาดเจ็บสาหัส จนแทบหมดลมหายใจ อีกทั้งยังเกือบจะถูกหัวหน้ากองธงกล้วยไม้เหยียบย่ำต่อหน้าธารกำนัล
กู้ชูหน่วนอึ้งไปเล็กน้อย
น้ำใจ
น้ำใจอะไรกัน
ช่วยเหลือเพราะหลักคุณธรรมอย่างนั้นหรือ
“เจ้ารู้จักเย่เฟิงหรือ”
“ไม่รู้จัก เจ้าได้รับบาดเจ็บภายใน ให้ข้าช่วยถ่ายทอดพลังภายในรักษาเจ้าเถอะ”
“บาดเจ็บเล็กน้อย ไม่ตายหรอก”
แววตาที่สะอาดสดใสของชายหนุ่มมีแววไม่เข้าใจ
คนที่ได้ถูกประทับมือโลหิต ไม่เคยมีใครเคยมีชีวิตรอดมาก่อน
ทำไมนางแค่ได้รับบาดเจ็บภายในเท่านั้น
หรือว่า นางมีพลังภายใน
ไม่ ในร่างกายนางไม่มีคลื่นแห่งพลังภายในเลยแม้แต่น้อย
กลิ่นอายอันแข็งแกร่งที่อยู่ไกลออกไปใกล้เข้ามาเรื่อยๆ หากไม่นอกเหนือความคาดคิด ต้องเป็นพวกหัวหน้ากองธงกล้วยไม้แน่
ชายหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกลำบากใจอยู่บ้าง
เขาพาไปได้มากที่สุดแค่คนเดียว
กู้ชูหน่วนมองไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ที่นั่นสงครามไม่เคยหยุดลงเลย แต่ยิ่งอยู่ก็ยิ่งดุเดือด ปราการชั้นฟ้าแทบจะถูกพวกเขาถล่มลงแล้ว
กู้ชูหน่วนกัดฟันพูดว่า “ที่นี่มีถ้ำอยู่แห่งหนึ่ง หลังจากข้าล่อพวกเขาไปแล้ว เจ้าค่อยพาสองยายหลานเย่เฟิงหนีไป ”
บางทีอาจจะเป็นเพราะรู้อยู่แล้วว่าชายหนุ่มกับเย่เฟิงอาจไม่เห็นด้วย กู้ชูหน่วนพูดยิ้มๆว่า”วางใจเถอะ ข้าไม่ปล่อยให้ตัวเองเป็นอะไรแน่ ในเมื่อที่นั่นสู้กันรุนแรงมาก เช่นนั้นข้าจะเพิ่มเชื้อไฟ ล่อพวกเขาไปที่นั่น ”
“เจ้าคนเดียวจะไหวหรือ หรือให้พวกเขาอยู่ที่ถ้ำ ข้าจะไปพร้อมกับเจ้า”
“คนพวกนั้นฉลาดเป็นกรด ไม่แน่ว่าอาจจะแบ่งกันไปหลายทาง เย่เฟิงบาดเจ็บสาหัสเกินไป ถ้าหากพบพวกเขาเข้า คงมีแต่ต้องตายเท่านั้น ส่วนข้า แม้ข้าจะไม่มีวรยุทธ แต่โชคดีมาก ที่ข้ายังมีวิชาตัวเบา วางใจเถอะ ข้าไปก่อนล่ะ”
ไม่รอให้พวกเขาเห็นด้วย กู้ชูหน่วนใช้ตัวเองล่อพวกนั้นไป ทิ้งให้ชายหนุ่มกับเย่เฟิงที่เป็นกังวลอย่างยิ่ง
ทางด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ สงครามยังคงดำเนินต่อเนื่อง
วรยุทธของเย่จิ่งหานกับเวินเส้าหยีเสมอกันทั้งสองฝ่าย สูสีพอๆกัน
บนภูเขาทั้งลูกเต็มไปด้วยหลุมลึกขนาดใหญ่หลุมแล้วหลุมเล่า คลื่นพลังที่แข็งแกร่ง แค่เข้าใกล้เพียงเล็กน้อย ก็สลายกลายเป็นผุยผง
จอมมารรอจนรู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้าง
สองคนนี้สู้กัน ใช้เวลาไปครึ่งคืนแล้ว ยังไม่รู้ผลแพ้ชนะอีก
ถ้าขืนยังสู้ต่อไป เป็นไปได้ว่าพี่สาวของเขาคงจะไปจากเขาสูบวิญญาณแล้ว
เมื่อนึกขึ้นได้ว่ากู้ชูหน่วนอาจจะจากไป จอมมารก็ไม่สามารถนิ่งเฉยได้อีก
เขาค่อยๆลุกขึ้น มองทั้งสองคนที่ต่อสู้กันอย่างดุเดือด น้ำเสียงทุ้มกังวานค่อยๆดังขึ้น
“เวินเส้าหยี ทำไมเจ้าจึงไม่เอาไหนยิ่งนัก แม้แต่คนพิการทางขาเจ้าก็เอาไม่อยู่”
พลังฝ่ามือของเวินเส้าหยีสั่นไปหลายที
เขาเอาไม่อยู่ จอมมารจะเอาอยู่หรืออย่างไร
แน่จริง พวกเขาสองคนลองสู้กันเอง ดูสิว่าคืนนี้ จะสามารถรู้ผลแพ้ชนะหรือไม่
ที่ทำให้รู้สึกหดหู่ที่สุดคือ จอมมารไม่เพียงแต่จะไม่ช่วย ยังคอยแขวะว่าเขาวรยุทธไม่ดีตลอดทั้งคืน ควรจะออกกระบวนท่าอย่างนั้นอย่างนี้
พูดราวกับว่าเขาร้ายกาจมาก
“ข้าเอาไม่อยู่ เพิ่มท่านเข้ามา ก็เอาอยู่ได้มิใช่หรือ”
องครักษ์ลับของเย่จิ่งหานเอ่ยอย่างโมโหว่า “ต่ำช้าไร้ยางอาย พวกท่านล้วนเป็นยอดฝีมือฝืนกฎธรรมชาติ สองคนร่วมมือกัน รังแกท่านนายของพวกเรา พูดออกไปไม่กลัวว่าจะถูกหัวเราะเยาะหรืออย่างไร”
เดิมทีจอมมารอยากจะลงมือ แต่เมื่อได้ยินคำพูดขององครักษ์ลับ ก็พยักหน้าอย่างจริงจัง “ที่เขาพูดก็มีเหตุผล”
“ข้ากับเขาหากต้องการรู้แพ้ชนะ อย่างน้อยต้องหลังจากนี้สามวัน ถ้าหากท่านสามารถรอจนผ่านไปสามวัน ก็แล้วแต่ท่านเถอะ”
มือที่ลูบเส้นผมของจอมมารชะงัก “สามวัน”
หลังจากนี้สามเขาสูบวิญญาณไหนเลยจะยังมีร่องรอยของนางอีก
จอมมารเอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “เย่จิ่งหาน เจ้าส่งทหารโจมตีเผ่าปีศาจของข้าก่อน อย่าโทษว่าข้าใช้กำลังคนมากกว่ารังแกคนที่มีกำลังน้อยกว่า”
เขากำลังยิ้ม ยิ้มอย่างอ่อนโยน ยิ้มอย่างเย้ายวน ราวกับเด็กชายที่ไร้เดียงสาไม่มีพิษภัยคนหนึ่ง
แต่พอเขาลงมือ กลับทำให้สถานการณ์เปลี่ยนไปทันที
ดอกไม้กินคนมากมายรวมกันเป็นแหขนาดใหญ่ ร่วงหล่นจากท้องฟ้า ครอบลงมาบนศีรษะของเย่จิ่งหาน
ดอกไม้กินคนทุกดอกราวกับมีดวงตาที่มองเห็นได้ ต่างก็อ้าปากกว้าง รวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาด ถ้าถูกกัดเข้าไป เลือดเนื้อคงไม่เหลือ
เย่จิ่งหานเป่าขลุ่ย พลางต่อสู้กับเวินเส้าหยี พลางแววตาก็เคร่งขรึมลง เปลี่ยนขลุ่ยเป็นฝ่ามือ ทำให้เกิดพายุไฟ ที่มาพร้อมสายฟ้าฟาด พุ่งตรงไปยังดอกไม้กินคน
โครมคราม
ดอกไม้กินคนกับพายุไฟปะทะกัน แม้แต่ผืนแผ่นดินยังสั่นสะเทือนไม่หยุด อานุภาพยิ่งใหญ่คนสามารถได้ยินเสียงระเบิดดังก้องไปทั่วทั้งภูเขา
ยอดฝีมือปะทะกัน ไหนเลยจะว่อกแว่กได้
เย่จิ่งหานก็แค่ออกกระบวนท่าต่อสู้กับจอมมารเท่านั้น ก็ถูกเวินเส้าหยีหาช่องว่างได้ทันที
“ปัง……”
เย่จิ่งหานไม่ทันระวังตัวถูกโจมตีไปหนึ่งฝ่ามือ สีหน้าซีดลงทันที
แต่การโจมตีอย่างรุนแรงแทบจะทำลายทั้งฟ้าและแผ่นดินกลับยังไม่หยุดลง
เวินเส้าหยีออกกระบวนท่าติดต่อกัน โจมตีเย่จิ่งหานอย่างต่อเนื่องไม่หยุด
จอมมารเหมือนจะกระตุ้นกำลังภายในไม่หยุด เพื่อควบคุมดอกไม้ ดอกไม้ทุกดอกที่เบ่งบานอย่างสวยสดงดงาม กลายเป็นโครงกระดูก ถาโถมเข้าหาเย่จิ่งหานไม่หยุด
พลังภายในสองทาง โจมตีจากทั้งทางซ้ายและขวา เย่จิ่งหานค่อยๆเผยให้เห็นถึงท่าทีจะพ่ายแพ้
“ฟู่……”
เย่จิ่งหานยากจะต้านทานยอดฝีมือทั้งสองคนได้ กระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง
มุมปากของจอมมารมีรอยยิ้มเย็น พลิกฝ่ามือขวา ท่าไม้ตายถึงแก่ชีวิตกำลังจะประทับลงมา ทันใดนั้น บริเวณที่ห่างไกลออกไปมีเสียงที่คุ้นเคยเสียงหนึ่งดังขึ้น”เย่จิ่งหาน……”
เป็นเสียงของพี่สาว
จอมมารเก็บฝ่ามือ ถอยไปด้านข้าง เปลี่ยนเป็นเด็กน้อยที่เชื่อฟังและน่าสงสารทันที เอ่ยฟ้องว่า “พี่สาว พวกเขาน่ากลัวมาก สู้กันจนสั่นสะเทือนไปหมด”