อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม บทที่ 438 แข่งม้า
สุดท้ายยังเป็นขันทีขานเสียงดังทีหนึ่ง ถึงดึงสติของทุกคนกลับมาได้
“พระชายาหาน ยิงเข้ากลางเป้าทั้งสิบดอก”
เงียบ
ยังคงเป็นความเงียบงัน
พักหนึ่ง องค์หญิงตังตังถึงตะโกนขึ้น “เจ้าโกง!”
กู้ชูหน่วนแบมือทั้งสองออก ถูกปรักปรำเล็กน้อย “องค์หญิงตังตัง ทรงเริ่มเล่นแง่อีกแล้วนะเพคะ หม่อมฉันโกงที่ไหน ทรงลองว่ามาสิ หม่อมฉันขอให้คนช่วยหม่อมฉันยิงหรือ? หรือว่าขอให้ใครเก็บลูกธนูปักที่ใจกลางเป้า?”
องค์หญิงตังตังสะอึก
คนจำนวนไม่น้อยต่างตำหนิองค์หญิงตังตัง
ก่อนหน้านี้นางประลองกับกู้ชูหน่วนหลายครั้ง แต่ก็แพ้ให้กับกู้ชูหน่วน ทุกครั้งก็เล่นแง่ใส่ความว่าคนอื่นโกง
โกงหรือไม่ ทุกคนเห็นอย่างชัดเจน
หลิวเยว่กับอวี่ฮุยเอ่ยอย่างเลื่อมใส “ลูกพี่ เรานึกว่าท่านชำนาญบุ๋นมาตลอด คิดไม่ถึงว่าการยิงธนูท่านก็เก่งกาจขนาดนี้ เมื่อไรท่านจะสอนพวกเราได้ เราก็อยากยิงสิบเข้าสิบเหมือนกัน ไม่ ยิงร้อยเข้าร้อย!”
“วางใจ เวลาเยอะแยะ เอาไว้พรุ่งนี้มีเวลา ข้าค่อยสอนพวกเจ้า” กู้ชูหน่วนกะพริบตา
องค์หญิงตังตังตะคอกด้วยโทสะ “ยังมีอีกรอบ ได้ใจอะไร ในเมื่อเป็นการแข่งยิงธนู ข้าย่อมไม่กลับคำไปแข่งอย่างอื่น รอบที่สามยังเป็นการยิงธนู”
“ได้สิเพคะ จะแข่งอย่างไร?”
“ข้าจะเพิ่มวงล้อไฟสิบอัน วงล้อไฟที่ลุกไหม้ เจ้าขี่ม้า ข้ามวงล้อไฟทั้งสิบทั้งคนทั้งม้า แล้วยิ่งธนูคราวละสิบดอก สิบดอกต้องเข้าใจกลางเป้า”
“ฉะนั้น หม่อมฉันยิงคราวละสิบดอก ครั้งเดียวก็พอ?”
“ผิด ครั้งละสิบดอก ข้าต้องการให้เจ้ายิงสิบครั้ง หนึ่งร้อยดอก และทุกครั้งก็ต้องข้ามวงล้อไฟสิบวงทั้งคนทั้งม้า”
ครั้นวาจานี้ออกมา คนในที่นี้จำนวนไม่น้อยต่างเดือดดาล
การนี้องค์หญิงตังตังทำเกินไปแล้ว!
แม้นเป็นเย่จิ่งหานเทพสงครามก็ยากจะทำได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอิสตรี
หลิวเยว่กับอวี่ฮุยเดือดเป็นคนแรก “องค์หญิง! นี่จะกลั่นแกล้งกันเกินไปแล้วกระมังพ่ะย่ะค่ะ ใครก็รู้ว่าม้ากลัวไฟ วงล้อไฟมากมายเช่นนั้น ม้าจะกล้าข้ามไปได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”
“นั่นสิพ่ะย่ะค่ะ แล้วยังทรงต้องการให้นางยิงครั้งละสิบดอก นางเป็นเพียงสตรีอ่อนแอ อย่าว่าแต่สิบดอก ถึงจะครั้งละสามดอก นางก็ไม่แน่ว่าจะดึงคันศรได้ เช่นนี้เป็นการรังแกคนชัดๆ!”
“หากนางทำไม่ได้ ก็ยอมแพ้ได้นี่ ข้ามิได้บังคับนาง”
“องค์หญิง…!”
หลิวเยว่กับอวี่ฮุยโมโหจนอยากเอาชีวิตเข้าแลกกับนาง
กู้ชูหน่วนส่งสายตาทีหนึ่ง ไม่ให้พวกเขาทำตามอำเภอใจ ส่วนตนเองก็เอ่ยอย่างสดชื่น “ในเมื่อองค์หญิงนึกสนุกเช่นนี้ หม่อมฉันก็จะเล่นเป็นเพื่อนองค์หญิงสักหน่อย เฮ้อ ถ้าแพ้ ก็หวังว่าองค์หญิงจะออมมือไว้ไมตรีหน่อยนะเพคะ”
ทุกคนพากันวิพากษ์วิจารณ์
“ผู้หญิงคนนี้บ้าไปแล้วหรือ? ทั้งที่รู้ว่าต้องแพ้แน่ นางยังไปให้ขายหน้า ยอมแพ้เสียยังจะดีกว่า จะไม่ได้ขายหน้าต่อหน้าผู้คน”
“บางทีนางยังนึกว่าตัวเองยังชนะได้อีกกระมัง?”
“พูดเป็นเล่น! ยากขนาดนั้น นางจะทำได้อย่างไร? หากนางทำได้ ข้าจะบั่นคอเป็นบอลให้พวกเจ้าเตะเลยเอา!”
“จะกล่าวเช่นนั้นก็ไม่ได้ มีกี่ครั้งที่ทุกคนนึกว่าพระชายาหานทำไม่ได้ แต่นางก็ทำได้หมด ครั้งนี้ บางทีนางอาจจะสร้างความอัศจรรย์อีกครั้งก็เป็นได้”
“เช่นนั้นเจ้าเชื่อว่างนางทำได้หรือ?”
“เออ…ตอนนี้ยังไม่เชื่อ”
“ก็นั่นอย่างไร”
ฮ่องเต้เย่ขมวดคิ้ว ใบหน้าอ่อนเยาว์ปรากฏความทนไม่ได้เสี้ยวหนึ่ง “มิเช่นนั้นก็ช่างเถอะ วันนี้เป็นพิธีบรรลุนิติภาวะขององค์หญิงตังตัง ดาบธนูอะไร มีอะไรน่าสนุก ยังมิสู้ดูการขับร้องฟ้อนรำ”
“เสด็จพี่ ทรงเป็นเชษฐาของผู้ใดเพคะ? ก่อนหน้านี้ตอนที่ขนิษฐาของพระองค์ถูกนางรังแกน่าอนาถ เหตุใดไม่เห็นพระองค์มาช่วยบ้าง หม่อมฉันไม่สนใจ ถึงอย่างไรก็เป็นพิธีบรรลุนิติภาวะของหม่อมฉัน หม่อมฉันอยากดูการขี่ม้ายิงธนูเพคะ”
ฮ่องเต้เย่ถูกอุดจนสะอึกทันที
หากเขายังกล่าวอีก เสด็จแม่คงต้องมีความคิดเห็นกับเขาแล้ว
มุมปากกู้ชูหน่วนยกขึ้น ยังถือว่าฮ่องเต้น้อยองค์นี้มีมโนธรรมอยู่บ้าง รู้จักปกป้องนาง
“ขอบพระทัยฝ่าบาท แต่นี่เป็นเกมระหว่างหม่อมฉันกับองค์หญิงตังตัง ให้พวกเราเล่นกันเองเถอะเพคะ”
เอ่ยถึงขั้นนี้แล้ว การแข่งรอบที่สามจึงได้แต่เริ่มดำเนินต่อ
“พระชายาหานทรงจะคัดเลือกม้าเอง หรือจะให้ข้าน้อยช่วยพระองค์เลือกพ่ะย่ะค่ะ?”
“ข้าเลือกเองเถอะ ที่นี่มีม้าอะไรบ้างล่ะ เอาออกมาดูหน่อย”
เหล่าขันทีรับคำสั่งไปจูงม้ามา ม้าที่มา แต่ละตัวทั้งผอมทั้งดำ ไม่มีชีวิตชีวาสักนิด ดูแล้วก็คือม้าตกระดับ
อวี่ฮุยเกรี้ยวขึ้นทันที “นี่จะรังแกกันเกินไปแล้วกระมัง? วังหลวงม้าอะไรก็มีหมด แต่กลับจูงม้าแก่ ม้าเด็ก ม้าผอม ม้าป่วยเหล่านี้มา”
ขันทีกล่าวอธิบาย “คุณชายอวี่ คือเช่นนี้ ระยะก่อนมีการแข่งขันม้า ม้าดีทั้งหมดถูกเอาไปเข้าร่วมหมดแล้ว จวบจนวันนี้ก็ยังไม่กลับมา ม้าที่เหลือในวังล้วนไม่ใช่ม้าดี ม้าเหล่านั้นยังคัดสรรเลือกเฟ้นมาแล้วนะขอรับ”
อวี่ฮุยเดือดพลุ
เห็นเขาเป็นอะไร?
เป็นถึงแคว้นเย่ หรือว่าแม้แต่ม้าดีสักตัวก็ไม่มี?
ถึงจะหาข้ออ้าง ก็หาข้าอ้างที่ดีหน่อยเถอะ
หลิวเยว่ดึงเขาไว้แน่น “ไทเฮากับฝ่าบาทต่างอยู่ที่นี่ เจ้าใจเย็นหน่อย พวกเขากล้าเอาม้าตกระดับมา ต้องเป็นการยินยอมของไทเฮาแน่ ถ้าเจ้าไป ก็ต้องเป็นปรปักษ์กับไทเฮาอย่างเปิดเผย”
“แต่พวกเขารังแกกันมากเกินไปแล้วกระมัง?”
รังแกกันเกินไปจริง เขาก็ทนดูไม่ได้เช่นกัน แต่หากเข้าไป ทั้งตระกูลของเขาก็จะรับเคราะห์ไปด้วย
กู้ชูหน่วนกวาดตามองม้าตกระดับรอบหนึ่ง ใบหน้าไม่มีอารมณ์เคืองโกรธแต่อย่างใด ทั้งยังเอ่ยเรียบ “ถึงข้าจะดูม้าไม่เป็น แต่ข้าดูแล้วม้าเหล่านี้ดีมาก ร่วมการแข่งขันครั้งนี้ ข้ารู้สึกว่าเพียงพอแล้ว”
ดี…ดีมาก?
นางตาบอดหรือ?
ถึงจะดูม้าไม่เป็น แต่ก็ดูได้ว่าม้าเหล่านี้ทั้งแก่ ทั้งอ่อนแก่ ทั้งป่วยกระมัง?
กลับเห็นกู้ชูหน่วนลูบคาง เดินวนม้าสองสามรอบแล้ว ก็เลือกม้าเด็กตัวหนึ่ง
ม้าตัวนั้นทั้งผอมทั้งเตี้ย ยังเป็นม้าที่เด็กมากตัวหนึ่งชัดๆ ดีไม่ดียังไม่หย่านมด้วย
กู้ชูหน่วนถึงกับเลือกม้าตัวนี้ สายตานางจะแย่เกินไปแล้วกระมัง?
อวี่ฮุยกระทืบเท้า “ลูกพี่ ในม้าหมู่นี้ ข้าว่าม้าตัวนี้เป็นตัวที่แย่ที่สุดเลยนะ มันยังเป็นลูกม้าอยู่เลย ท่านเลือกม้าแก่ก็ไม่ควรไปเลือกม้าเด็กกระมัง?”
“ก็นั่นนะสิ ม้าผอมเล็กเช่นนี้ จะทำอะไรได้?”
ฮ่องเต้เย่เตือนด้วยความหวังดี “มิเช่นนั้น เจ้าก็เปลี่ยนอีกตัวเถอะ”
เขาก็รู้สึกว่าม้าตัวนั้นแย่เกินไป
กู้ชูหน่วนลูบหัวม้า หัวเราะเอ่ย “ลูกม้าสิดี ที่ว่าวัวเกิดใหม่ไม่กลัวเสือ บางทีมันอาจกล้ามาก กล้าข้ามวงล้าไฟเหล่านั้นล่ะเพคะ”
บ้าไปแล้ว นางคนนี้ต้องบ้าแน่ๆ
องค์หญิงตังตังหัวเราะอย่างได้ใจ เอ่ย “ข้าให้โอกาสเจ้าเลือกอีกครั้ง เจ้าจะได้ไม่ว่าข้ารังแกเจ้า”
“มิต้องเพคะ ตัวนี้แหละ หม่อมฉันเชื่อสายตาแรกของตัวเอง อีกอย่างหม่อมฉันรู้สึกว่าม้าตัวนี้มีวาสนากับหม่อมฉันนักเพคะ”
องค์หญิงตังตังหัวเราะเย้ย
มีวาสนากับผีสิ
เดรัจฉานตัวหนึ่งจะรู้อะไร
“ได้ หวังว่าเจ้าจะไม่เสียใจภายหลังก็พอ”
กู้ชูหน่วนลูบม้า ลูบขนมันอย่างอ่อนโยน ยิ้มเอ่ย “พวกเขาเหล่านี้ มีตาไม่รู้จักม้าพันหลี่ เจ้าไปกับข้า เรามาสู้ให้งดงามไปเลย เปล่งประกายต้องตาสุนัขพวกเขา”
“ฮี่…”
ก็ไม่รู้ว่าม้าตัวนั้นที่ทั้งผอมทั้งเด็กฟังรู้เรื่องหรืออย่างไร กลับร้องฮี่กับฟ้าเสียงหนึ่ง