ในที่สุด
เข็มทิศเปิดฟ้าก็ไม่หมุนอีก
แสงเรืองรองก็หยุดด้วย
ลวดลายและภาพบนเข็มทิศเปิดฟ้าก็ไม่เหมือนแต่ก่อนอีก จุดเดียวที่เหมือนกัน ก็คือเข็มทิศเปิดฟ้ายังคงมีร่องรูปดาวสามร่อง
ด้านล่างของเนตรเข็มทิศเปิดฟ้า ปรากฏภาพสัญลักษณ์หนึ่ง
ผู้คนในภาพสัญลักษณ์เคารพบูชาอีกาเป็นเทพวิหค หมอบอยู่บนแท่นบูชาห้าสีแท่นหนึ่ง
กู้ชูหน่วนจ้องภาพสัญลักษณ์อยู่ค่อนวัน ก็ไม่เห็นอะไร
“ฝูกวง เข้ามา”
“นายหญิง เรียกหาข้าน้อยหรือขอรับ?”
“ดูนี่ รู้ว่าที่แสดงอยู่ในภาพสัญลักษณ์นี้คือที่ใดหรือไม่?”
ฝูกวงมองอย่างตั้งอกตั้งใจ ครู่หนึ่งแล้วเขาก็ส่ายหน้า “ข้าน้อยก็ไม่ทราบเหมือนกันขอรับ มิเช่นนั้น ข้าน้อยจะวาดออกมา ให้คนของหอหนึ่งในหล้าตรวจสอบ”
“ก็ได้ อย่าเล็ดลอดออกไปเด็ดขาด”
“ขอรับ”
ขณะที่ฝูกวงกำลังจะจากไป ทันใดนั้นก็นึกอะไรขึ้นได้ เขาย้อนกลับมาอีก “จริงสิ นายหญิง ถึงข้าน้อยจะไม่รู้ว่านี่คือที่ไหน แต่แดนต้องห้ามของเผ่าปีศาจก็มีอีกามาก เกรงว่าเป็นสถานที่ชุมนุมอีกามากที่สุดในหล้าแล้ว อีกอย่าง เห็นว่าชนรุ่นก่อนของเผ่าปีศาจหวาดกลัวอีกามาก แต่ช่วงร้อยปีมานี้ เผ่าปีศาจไม่บูชาอีกาแล้วขอรับ
“ฉะนั้น ความหมายเจ้าคือ สถานที่ที่ปรากฏในภาพสัญลักษณ์นี้ เป็นได้มากว่าจะเป็นเผ่าปีศาจ?”
“ข้าน้อยไม่กล้ารับประกัน แต่เป็นไปได้มากว่าจะเป็นเผ่าปีศาจขอรับ”
มือข้างหนึ่งกู้ชูหน่วนกอดอก อีกข้างหนึ่งลูบคางอย่างเคยชิน นางวนรอบเข็มทิศเปิดฟ้าสามรอบ สุดท้ายจึงตัดสินใจร่องเรื่องกุญแจรูปดาวอันถัดไป เอ่ยด้วยความมุ่งมั่น “เช่นนั้นเป้าหมายต่อไปของเรา ก็คือไปหากุญแจรูปดาวที่เผ่าปีศาจ”
“นายหญิง เวลานี้อ๋องหานจับตาดูท่านเข้มงวดเช่นนี้ เราจะไปเผ่าปีศาจอย่างไรขอรับ? อีกอย่าง ระยะนี้เผ่าปีศาจก็เกิดความวุ่นวาย ทำศึกกับแคว้นฉู่จนไฟเพลิงพุ่งฟ้า หน่วยหลักของเผ่าปีศาจก็เข้าได้ยาก”
“สำนักอสุรามีไว้ทำอะไร?”
คำพูดเดียวทำจนฝูกวงสะอึกพูดไม่ออก
ติดตามอยู่ข้างกายนายหญิง เคลื่อนไหวตามลำพัง เหตุใดจึงลืมไปเสียได้?
ขณะกู้ชูหน่วนกำลังจะเก็บเข็มทิศเปิดฟ้า จู่ๆ ภาพในเข็มทิศเปิดฟ้าก็เปลี่ยนแปลงอีก ร่องกุญแจรูปดาวที่เหลือทั้งสอง ปรากฏภาพสัญลักษณ์สองภาพอีกครั้ง
ภาพสัญลักษณ์แปลกประหลาดหนักกว่าเดิม
ภาพหนึ่งเป็นภูเขาลักษณะกระบี่ ยอดเขาคล้ายกระบี่คมที่ออกจากฝัก ปลายกระบี่ชี้ขึ้นฟ้า
อีกภาพหนึ่งเป็นปิ่นระย้าอันหนึ่ง ตัวปิ่นขาวหิมะ ปลายสุดเป็นผีเสื้อกางปีกบินสองตัว ที่ฐานของผีเสื้อห้อยเม็ดหยกเป็นอันๆ
“ภูเขาทรงกระบี่นี้กับปิ่นระย้านี้ เจ้าเคยพบเจอมาก่อนหรือไม่”
“ไม่ขอรับ”
ฝูกวงส่ายหน้างามน่ารัก
ภูเขาทรงกระบี่ยังพอเข้าใจได้ ของเพียงไปหาที่ภูเขาลูกนั้นก็พอ
แต่ปิ่นระย้าอันนี้มันอย่างไร? คงมิใช่ภูเขาระย้าลูกหนึ่งกระมัง?
“ให้คนของหอหนึ่งในหล้าไปตรวจสอบ ต้องไว เวลาของพี่เฉินเฟยไม่มากแล้ว ทุกนาทีที่ล่วงเลย เขาจะอันตรายมากขึ้นอีกส่วน”
นางแทบอยากรวบรวมมุกมังกรทั้งเจ็ดเม็ดเสียตอนนี้
แต่ยากเกินไป จะหามุกมังกรเม็ดหนึ่งต้องหาส่วนประกอบมากมายขนาดนั้น
อีกทั้งส่วนประกอบแต่ละชิ้นล้วนตกทอดมาหลายพันปี ได้เบาะแสมาอย่างลำบาก เวลาหลายพันปีผ่านไปแล้ว ลักษณะภูผาลำน้ำก็แปรผันชนิดพลิกฟ้ากลบดิน
“หง่างเหง่ง…”
เสียงระฆังของวิทยาลัยดังขึ้น หมายถึงจะเริ่มเข้าชั้นเรียนแล้ว
กู้ชูหน่วนได้ยินเสียงนี้ หนังศีรษะก็เริ่มชาแล้ว ขณะกำลังคิดจะออกจากวิทยาลัย คนรับใช้ของวิทยาลัยก็เข้ามาเตือนอย่างไม่ทันตั้งตัว
“พระชายาหาน อาจารย์ซ่างกวนบอก ว่าในเมื่อท่านกลับวิทยาลัยมาแล้ว ก็เชิญไปเข้าเรียนด้วย ก่อนจะหมดเวลาเรียน ไม่อนุญาตให้ออกจากวิทยาลัยพ่ะย่ะค่ะ”
“…”
นางโดดเรียนมานานขนาดนี้แล้ว หรือว่าไม่ควรไล่นางออก?
ทำไมยังให้นางไปเรียนอีก?
“เออคือ อ๋องหานยังไม่ได้บอกกล่าวกับวิทยาลัยหรือ ว่าข้าไม่ต้องเรียนต่อแล้ว?”
“อาจารย์ซ่างกวนบอก ว่าวิทยาลัยมีระเบียบของวิทยาลัย มิใช่ท่านอยากเรียนก็เรียน ไม่อยากเรียนก็ไม่เรียนได้ แม้นเป็นองค์ฮ่องเต้ ก็ไม่มีสิทธิ์เรียกร้องให้คนของวิทยาลัยลาออกพ่ะย่ะค่ะ”
“ซ่างกวนฉู่ผู้นี้โอหังนัก ช่างเถอะ ข้าไปคุยกับเขาให้รู้เรื่องแล้วกัน”
ในห้องเรียน
ครั้นนางปรากฏตัว ทั้งห้องก็เงียบกริบ ทุกคนต่างใช้สายตาต่างออกไปมองนาง
มีความอิจฉา มีความริษยา มีความเลื่อมใส มีความคาดไม่ถึงและไม่อาจเชื่อ
หลิวเยว่และอวี่ฮุยเข้าล้อมทันที “ลูกพี่ ในที่สุดท่านก็กลับวิทยาลัยแล้ว เรายังคิดว่าท่านจะไม่กลับมาอีกแล้วแน่ะ เมื่อวานท่านสุดยอดไปแล้ว ทักษะการธนูนั่นแม่นยำยิ่งนัก ท่านกลับมาสอนเราขี่ม้ายิงธนูหรือ?”
เห็นพวกเขาสองคน แต่กลับไม่เห็นเซียวหยู่เซวียน กู้ชูหน่วนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“ยังไม่มีที่อยู่ของเซียวหยู่เซวียนหรือ?”
สีหน้าทั้งสองเหวอ “ไม่นี่ ก็ไม่รู้เฮียใหญ่ไปไหนแล้ว แต่ได้ยินว่าช่วงก่อนมีคนปล้นคุก ไม่รู้ว่าใช่เฮียใหญ่ทำหรือเปล่า”
“ครั้งนี้ฮ่องเต้ให้แม่ทัพใหญ่เซียวเป็นผู้นำทัพอีกครั้ง ขอเพียงแม่ทัพใหญ่เซียวออกรบได้รับชัยชนะ เฮียใหญ่ก็กลับมาได้แล้ว”
“กู้ชูหน่วน เจ้าเอาสร้อยคอคืนข้ามานะ ข้าจะให้เจ้าที่มีค่ามากกว่าเส้นนั้นสิบเส้น” จู่ๆ องค์หญิงตังตังก็ปรากฏตัว หน้าขมึงตึงจะเอาสร้อยคอ
กู้ชูหน่วนหัวเราะ “องค์หญิง ดูพระองค์ตรัสสิเพคะ ก่อนหน้านี้เป็นองค์หญิงรับปากมอบให้หม่อมฉันเอง ตอนนี้จะกลับคำอีกแล้ว? ดีที่หม่อมฉันรู้ล่วงหน้า ก็เลยเอาสร้อยคอเส้นนั้นทิ้งไปแล้วเพคะ”
“ทิ้งแล้ว?”
“เพคะ!”
“ทิ้งที่ไหน?”
“ในแม่น้ำเพคะ แม่น้ำสายนั้นทั้งเชี่ยวทั้งอันตราย ในนั้นยังมีน้ำวน ต้องหากลับมาไม่ได้แน่แล้วเพคะ”
“เจ้าไม่ใช่ชอบมากหรือ? เหตุใดจึงโยนทิ้งไปเล่า?” องค์หญิงตังตังร้อนรน
กู้ชูหน่วนฉงนใจ “ก็ทรงตรัสว่าสร้อยคอเส้นนั้นเป็นของอัปมงคลมิใช่หรือเพคะ? ในเมื่อเป็นของอัปมงคล แล้วหม่อมฉันจะเก็บไว้กับตัวทำไม? หลายวันนี้อารมณ์ไม่ค่อยดี หม่อมฉันก็เลยเอาสร้อยเส้นนั้นโยนลงแม่น้ำเป็นขยะไปแล้ว อย่าว่าแต่อย่างอื่นเลย หม่อมฉันเอาทิ้งแล้ว รู้สึกสบายไปทั้งตัว ความขุ่นเคืองในใจก็อันตรธานหายไปหมด ต้องขอบพระทัยจริงๆ เพคะองค์หญิงตังตัง ”
องค์หญิงตังตังตวาด “เจ้าเอาไปทิ้งแม่น้ำสายไหน?”
“ต้องดุเช่นนี้เลยหรือเพคะ? หม่อมฉันก็ทิ้งๆ ไป ไหนเลยจะรู้ว่าทิ้งที่ไหน คงเป็นแม่น้ำเฟิงจื่อกระมัง?”
แม่น้ำเฟิงจื่อ?
แม่น้ำสายนั้นขึ้นชื่อว่าเป็นแม่น้ำสายอันตรายของแคว้นเย่
ทุกปีมีคนจนน้ำตายที่นั่นไม่รู้เท่าไร
องค์หญิงตังตังอยากอัดนางให้ตายไปเสีย
นางสะบัดแขนเสื้อจากไป
หลิวเยว่กล่าวอย่างกังวล “ลูกพี่ องค์หญิงตังตังรีบร้อนไปเช่นนี้ นางคงไม่เกิดเรื่องกระมัง?”
“คงเพราะรู้ว่าสร้อยคอเส้นนั้นไม่ใช่สร้อยคอธรรมดา อยากไปควานกลับมากระมัง ปล่อยนางไปเถอะ”
“อาจารย์ซ่างกวนถึงแล้ว…”
“คารวะอาจารย์ซ่างกวน” นักเรียนทุกคนทำความเคารพอย่างพร้อมเพรียง
กู้ชูหน่วนก็ทำความเคารพอย่างมีมารยาทด้วย
“นั่งเถอะ”
ซ่างกวนฉู่ยังคงสุภาพสง่างามอย่างเช่นเคย ดวงหน้าแขวนรอยยิ้มจางๆ คล้ายอบอุ่น คล้ายเย็นชา คล้ายเป็นมิตร ทุกท่วงท่ากิริยา มีความรู้สึกสง่าอย่างบอกไม่ถูก
ร่างกายเรียวยาวสมมาตร โฉมหน้าเหนือผู้คน องคาพยพที่แยกชัดกับไรผมราวกับผลงานชินเอกแห่งสวรรค์ ชวนให้เห็นเพียงครั้งเดียวก็ตราตรึงจิต
โดยเฉพาะความพ้นราคะบนตัวเขา บุคลิกสง่าดั่งเทพเซียน
ไม่รอให้ซ่างกวนฉู่เอ่ยปาก กู้ชูหน่วนก็เอ่ยตัดหน้า “ท่านอาจารย์ซ่างกวน ข้าเป็นพระชายาหานแล้ว วิชานี้ที่วิทยาลัย ข้าก็ไม่ต้องเข้าเรียนแล้วกระมัง? เพราะข้าก็ออกเรือนแล้ว”
ซ่างกวนฉู่มองหนังสือเรียนในมือ ไม่แม้แต่จะเงยหน้า เพียงกล่าวเรียบ “เจ้าถามพวกเขาดู ในบ้านมีกี่คนที่ไม่มีบุตร”