อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม บทที่ 482 ความโง่เรื่องจำทางของจอมมาร
“ข้าเคยบอกหรือว่าจะแต่งกับเจ้า”
“แต่เจ้าก็ไม่เคยบอกว่าไม่แต่งนี่นา”
กู้ชูหน่วนถูกเขาทำให้โมโหจนหัวเราะออกมา
คิดไม่ถึงว่าจะเป็นปัญหาของนางเสียแล้ว
“ข้าไม่อยากแต่งงานกับเจ้า งานแต่งที่เจ้าเตรียมไว้ก็ยกเลิกเสียเถอะ”
“แล้วเจ้าจะแต่งงานกับข้าได้เมื่อไหร่”
“ไว้คุยกันวันหลังเถอะ ข้ามีเรื่องสำคัญต้องลงจากเขา เจ้าส่งข้าลงจากภูเขาได้หรือไม่”
จอมมารเลียนแบบท่าทางของกู้ชูหน่วน ลูบใต้คาง คิดว่าจะพานางลงเขา หรือจะบังคับให้นางอยู่ต่อเพื่อเป็นฮูหยินของจอมมาร
กู้ชูหน่วนเดาความคิดของเขาออก “ก่อนที่เจ้าคิดจะให้ข้าอยู่ต่อ เจ้าต้องคิดให้ดี ข้ากู้ชูหน่วนตลอดชีวิตนี้ชอบแต่ไม้อ่อน ไม่ชอบไม้แข็ง”
“ไม้อ่อน ง่ายมาก หลังจากนี้อาหารของเผ่าปีศาจจะทำแต่ของอ่อนๆ”
กู้ชูหน่วน “……”
กู้ชูหน่วนดึงดันจะลงจากภูเขา จอมมารก็จนใจ ได้แต่ไปส่งด้วยตนเอง แต่เขากลับใช้วิธีการออดอ้อนหญิงสาว คอยตามติดกู้ชูหน่วนไม่ห่างไปไหน คนที่ไม่รู้ คงคิดว่าจอมมารเป็นลูกน้องที่คอยเดินตามต้อยๆคนหนึ่ง
ด้านล่างภูเขาหยุนฉี จอมมารเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อผ้าสีขาวทั้งตัว เป็นเสื้อที่สาบเสื้อทบกัน บริเวณเอวมีที่คาดเอวสีขาวหนึ่งเส้น ยิ่งทำให้เรือนร่างของเขาดูปราดเปรียวมากขึ้น
จอมมารรู้สึกรังเกียจมาก
“เสื้อสีขาวเหมือนไว้ทุกข์ ไม่เหมาะกับบุคลิกข้าเลยสักนิด”
กู้ชูหน่วนค้อนให้เขาวงใหญ่
“ใส่เสื้อผ้าที่เย้ายวนขนาดนั้น เจ้าอยากจะหว่านเสน่ห์ให้ใคร”
“ข้ามีหน้าอกที่กำยำแข็งแกร่ง เสื้อตัวนี้ไม่เปิดเผยหน้าอกเลย”
“ไม่เปิดเผยก็ถูกต้องแล้ว ไม่เช่นนั้นจะมีคนสนใจไม่รู้เท่าไหร่”ผู้ชายคนหนึ่ง เอาแต่เผยหน้าอกตลอดทั้งวัน อยากจะดึงดูดใครกัน
นางอยากจะทำตัวปกติ ไม่อยากจะดึงดูดความสนใจของใคร
กู้ชูหน่วนคิด แล้วก็หยิบผ้าสีขาวผืนบางออกมาจากแหวนมิติหนึ่งผืน ปกปิดใบหน้าอันงดงามของเขาเอาไว้
“พี่สาว อาโม่ไม่ได้มีหน้าตาขี้เหร่ ไม่ต้องปิดหน้าหรอก”
“ให้เจ้าปิดเจ้าก็ปิดเถอะ ทำไมจึงได้พูดมากเช่นนี้ ถ้าเจ้าไม่ปิด เช่นนั้นก็ไม่ต้องตามข้ามา”
ถ้าหากไม่เป็นเพราะปิดตาแล้วจะเดินไม่ได้ นางคงจะปิดดวงตาคู่นั้นของเขาไปด้วย
จอมมารขมวดคิ้ว ยกแขนขึ้นมองดูตัวเองที่สวมชุดสีขาวทั้งตัว แม้แต่ผ้าที่ปิดใบหน้าก็เป็นสีขาว ผ่านไปนานแล้วก็ไม่รู้สึกดีใจเลยสักนิด
“พี่สาว พวกเราจะไปไว้ทุกข์ให้ใครใช่หรือไม่”
“ไว้ทุกข์บ้าบออะไรของเจ้า”
เสื้อผ้าไม่ได้ขาวไปหมดซะหน่อย ก็แค่สีขาวงาช้าง ธรรมดาไปหน่อยเท่านั้นเอง
“แล้วพวกเราจะไปที่ไหน”
“หุบเขาตันหุย เจ้ารู้ว่าไปยังไงหรือไม่”กู้ชูหน่วนถามเสียงขรึม
ถ้าหากเขารู้จักหุบเขาตันหุย มีเขานำทางเข้าไปจะดีที่สุด
“หุบเขาตันหุย คือหุบเขาตันหุยที่ขึ้นชื่อเรื่องการหลอมยาน่ะหรือ”
“ถูกต้อง เจ้ารู้หรือไม่ ”
“ช่างบังเอิญจริงๆ ข้า ……อาโม่รู้จักพอดี ช่วงที่ผ่านมาหุบเขาตันหุยได้ส่งบัตรเชิญมาใบหนึ่ง บอกว่าพวกเขาได้หลอมยาใหม่ขึ้นมาหลายเม็ด อยากจะให้ข้าไปร่วมชื่นชม บนบัตรเชิญนั้นมีแผนที่ของหุบเขาตันหุยแนบอยู่”
“ร่วมชื่นชม”
“บอกว่าร่วมชื่นชม ที่จริงคืออยากจะประมูลขาย คนที่ให้ราคาสูงจะเป็นคนได้ไป หุบเขาตันหุยจะจัดงานเช่นนี้ขึ้นทุกสองสามปี ที่เชิญทั้งหมดล้วนเป็นยอดฝีมืออันดับต้นๆและผู้มีอำนาจใหญ่ๆในใต้หล้านี้”
“พวกเขาเชิญคนมากมายขนาดนั้น ไม่กลัวว่าคนอื่นเขาจะปล้นชิงไปจนหมดหรือ”
“ไม่หรอก คนในใต้หล้านี้ให้ความเคารพหุบเขาตันหุย ถ้าหากหุบเขาตันหุยล่มสลายไป บนโลกก็จะไม่มียาดีๆ คนที่ทำลายหุบเขาตันหุย ก็จะถูกผู้มีอำนาจจากทั่วทุกหนแห่งโจมตี ไม่มีใครยินดีจะทำเรื่องที่ลำบากและไม่มีผลดีเช่นนี้”
กู้ชูหน่วนยื่นมือออกไป รู้สึกสนใจเพียงแผนที่ที่อยู่ในบัตรเชิญเท่านั้น
“บัตรเชิญเล่า อยู่ไหน”
จอมมารหยินบัตรเชิญใบหนึ่งออกมาจากอกเสื้ออย่างหยิ่งยโส ยื่นให้กับกู้ชูหน่วนราวกับจะโอ้อวด
กู้ชูหน่วนเปิดออกดู ตัวอักษรและแผนที่บนบัตรเชิญเลือนรางไปหมดแล้ว
รอยยิ้มของนางแข็งค้าง “ทำไมจึงได้เลอะเทอะไปหมด”
“โธ่ อาจเป็นเพราะไปแช่น้ำพุร้อนครั้งก่อน ไม่ทันระวังจึงถูกแช่น้ำไปด้วย”
“ไม่มีแผนที่แล้วพวกเราจะไปที่หุบเขาตันหุยได้อย่างไร เจ้ายังจำทางเข้าไปยังหุบเขาตันหุยได้หรือไม่”
จอมมารหลบสายตา เอ่ยด้วยเสียงอ่อนว่า”เรื่องนี้…… น่าจะจำได้กระมัง ก่อนหน้านี้ข้าเคยศึกษาแผนที่อย่างจริงจังแล้ว”
“ดี เช่นนั้นเจ้าก็นำทาง พวกเราจะออกเดินทางกันเดี๋ยวนี้เลย”
“เดี๋ยวนี้เลย”
“ใช่ ทำไม เจ้ายังมีธุระอื่นอีกหรือ ”
“คือว่า……ก็ไม่มีอะไร”
จอมมารมองยังทิศทางหนึ่งอย่างเชื่อมั่น พากู้ชูหน่วนเดินไปข้างหน้า
หลังจากเดินไปครึ่งวัน กู้ชูหน่วนก็หยุดลง ชี้ไปยังต้นหยางที่อยู่ข้างทางพูดว่า “เดี๋ยวก่อน พวกเราวกกลับมาที่เดิมใช่หรือไม่”
“ไม่ใช่กระมัง บนเขานี้มีต้นหยางปลูกเต็มไปหมด”
กู้ชูหน่วนเอามีดขึ้นมา แกะสลักเป็นสัญลักษณ์ไว้เป็นต้นหยาง
“เจ้านำทางจริงจังหน่อย อย่างวกกลับมาอีก”
“ออ……ได้……”
แล้วก็เดินต่ออีกครึ่งวัน กู้ชูหน่วนเหนื่อยล้ามาก จากนั้นนางก็มองเห็นต้นหยางที่ตนเองได้ทำสัญลักษณ์เอาไว้เมื่อครู่
กู้ชูหน่วนสีหน้าเคร่งขรึม ชี้ไปที่ต้นหยางต้นนั้น
“เห็นหรือยัง พวกเราวนกลับมาอีกแล้ว เจ้ารู้ทางจริงๆหรือไม่”
“น่าแปลก ข้าก็เดินไปยังหุบเขาตันหุยตามที่แผนที่บอกไว้นี่นา ทำไมจึงสนกลับมาได้เล่า หรือว่าภูเขาลูกนี้จะมีค่ายกลอยู่”
“ที่นี่ยังถือว่าเป็นดินแดนของเผ่าปีศาจกระมัง มีค่ายกลหรือไม่ เจ้าที่เป็นจอมมารน่าจะรู้มิใช่หรือ”
“งานของจอมมารมีตั้งมากมาย ไหนเลยจะรู้ดีไปทุกเรื่อง”
กู้ชูหน่วนสำรวจอย่างละเอียดรอบหนึ่ง “น่าแปลก ไม่มีค่ายกลนี่นา เจ้าหลงทางแล้วกระมัง”
“จะเป็นไปได้อย่างไร ข้าเป็นใคร ก็แค่หุบเขาตันหุย ข้าจะเดินหลงทางได้อย่างไร”
“เจ้าลองทบทวนดูดีๆอีกครั้งหุบเขาตันหุยไปทางไหนกันแน่”
นางเสียเวลาอยู่ที่นี่ทั้งวันแล้ว ไม่สามารถเสียเวลาได้อีกแล้ว
จอมมารใช้สมองทั้งหมดที่มี พยายามครุ่นคิด สุดท้ายก็ตบเข่าดังฉาด “ไปทางนี้”
“เจ้าแน่ใจนะ “ทำไมนางจึงรู้สึกว่าไม่น่าไว้วางใจเลย
“แน่ใจ เมื่อครู่ข้าจำผิดไป จึงเดินไปในทิศตรงกันข้าม”
“ซือโม่เฟย ทางที่ดีเจ้าอย่าหลงทางอีก ข้าไม่มีเวลามาเดินวนเวียนเป็นเพื่อนเจ้า เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์”
กู้ชูหน่วนผิวปากทีหนึ่ง เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ก็กลายร่างเป็นงูยักษ์ กะพริบตาที่ใหญ่โตเหมือนระฆังทองแดง ยิ้มออดอ้อนอย่างซื่อบื้อ หมอบอยู่ที่ขาของกู้ชูหน่วน
กู้ชูหน่วนกระโดดขึ้นไป ปีนไปอยู่บนหลังของเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ หันไปกวักมือเรียกจอมมาร
“ขึ้นมาเถอะ เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์รวดเร็วกว่า”อย่าว่านางที่เร่งทำเวลาเลย แม้นางจะไม่รีบ แต่ถ้ายังเดินต่อไปเช่นนี้ สองขาของนางคงต้องหักแน่
จอมมารไม่เกรงใจ หายตัวอย่างรวดเร็วไปอยู่บนหลังของเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์
“พาหนะเดินทางนี้ดูแล้วไม่เลว พรุ่งนี้ข้าก็จะไปจับงูอัปลักษณ์มาเป็นพาหนะสักตัว”
“ฟ่อฟ่อฟ่อ……”
เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์คัดค้านอย่างไม่พอใจ
มันเป็นราชาแห่งงู มีหัวถึงเก้าหัว ไม่ใช่งูทั่วไป ยิ่งไม่ใช่งูอัปลักษณ์
งูในใต้หล้านี้ ไม่มีตัวไหนเทียบมันได้
เสียงฟิ้ว……ดังขึ้น เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ไปตามทิศทางที่เขาชี้ ด้วยการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วมาก
ร่างงูของมันใหญ่มาก แต่การเคลื่อนไหวกลับปราดเปรียวรวดเร็วมาก ฝ่าไปในดงไม้อย่างไม่หยุด
และหลังจากผ่านไปหนึ่งก้านธูป……
พวกเขาก็มาถึงข้างๆต้นหยางต้นนั้น
กู้ชูหน่วนหน้าบึ้ง “นี่เจ้านำทางเป็นหรือไม่ ซือโม่เฟย เจ้าคงไม่ได้ล้อข้าเล่นใช่หรือไม่”
“น่าแปลก ทำไมจึงวนกลับมาอีกแล้ว ข้าเดินไปทางนั้นแล้วชัดๆ เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์พาไปผิดทางหรือเปล่า”
“เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ไปตามทางที่เจ้าชี้ ถ้าหากเจ้าชี้ไม่ผิด มันจะพาไปผิดได้อย่างไร”
เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์พยักหน้าแรงๆ
ก็ใช่ก็ใช่
คนที่ชี้ทางผิดเป็นเขาแท้ๆ