อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม บทที่ 725 ดูท่าไม่ดีข้าจึงหนี
“ข้าเป็นหัวหน้าเผ่าสิ่งที่ข้าพูดถือว่าเด็ดขาด พาเย่จิ่งหานกับเจี่ยวเสวียกลับไปที่เผ่าหยกพร้อมกัน”
กู้ชูหน่วนพูดด้วยเสียงเย็นชาไม่แฝงแววให้ต่อรอง ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด
มุมปากของเสี่ยวลู่ขยับ รู้สึกท้อใจจนไม่พูดอะไรอีก
รถม้ายังคงวิ่งต่อไป ยิ่งมุ่งไปข้างหน้ากลิ่นคาวเลือดก็ยิ่งรุนแรงขึ้น
ระยะทางด้านหน้าได้ถูกคนของพวกเขาช่วยกำจัดอุปสรรคแล้ว ตอนนี้ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคู่ต่อสู้มีมากเกินไปใช่หรือไม่ คนของพวกเขาไม่สามารถกำจัดศัตรูเหล่านั้นให้หมดไปก่อนที่รถม้าของพวกเขาจะไปถึง เสียงฆ่าฟันดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า
ยอดฝีมือของเผ่าหยกที่คอยคุ้มกันอยู่ข้างรถม้าของกู้ชูหน่วนก็ลดจำนวนลงไปเรื่อยๆ คิดว่าคงเป็นการรั้งท้ายเพื่อให้นางเดินทางต่อไปได้
“ย๊าก……”
เจี่ยงเสวียดึงม้าให้หยุดอย่างกะทันหัน รถม้าเกือบจะพลิกคว่ำกลางอากาศ
กู้ชูหน่วนเลิกผ้าม่านขึ้น ตรงหน้าเป็นผู้อาวุโสทั้งแปดของเผ่าเทียนเฟิ่น ผู้อาวุโสทั้งแปดคนนี้ล้วนมีอายุหกสิบกันแล้ว เพียงแต่เมื่อยืนอยู่ตรงนั้น กลิ่นอายแห่งความสูงศักดิ์และไอสังหารได้ปรากฏให้เห็นอย่างเลือนราง ทำให้พวกเขาไม่กล้าจะมองตรงๆ
ไม่ต้องใช้เวลาคิดมาก กู้ชูหน่วนก็รู้ว่าทั้งแปดคนนี้มีตำแหน่งที่ไม่ธรรมดาในเผ่าเทียนเฟิ่นแน่
“นายหญิง ท่านไปก่อน พวกข้าจะรั้งท้ายเอง”
ไม่รอให้กู้ชูหน่วนพูด ผู้อาวุโสที่อยู่ข้างกายกู้ชูหน่วนต่างก็หมายตาศัตรูที่อยู่ตรงหน้าคนละหนึ่งคนและพุ่งเข้าไปโจมตีทันที ช่วยกู้ชูหน่วนในการถ่วงเวลาที่มีค่ามหาศาล
ถ้าหากการต่อสู้เป็นหนึ่งต่อหนึ่งคงจะดี แต่ทางด้านกู้ชูหน่วนเหลือผู้อาวุโสแค่ห้าคน อีกฝ่ายมีถึงแปดคน เมื่อต่อสู้ในเป็นเวลานาน คงต้องพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย
แววตาของเจี่ยงเสวียเข้มขึ้น เปลี่ยนทิศทาง ขับรถม้าพุ่งชนออกไป
เสี่ยวลู่ถือแส้อ่อนเอาไว้ คุ้มกันอยู่หน้ากู้ชูหน่วน ทำการสะบัดอาวุธลับและพลังฝ่ามือออกไปเป็นระยะ
พวกเขาเคยคิดว่าการคุ้มกันมุกมังกรกลับเผ่าหยกเป็นเรื่องที่ลำบากมาก แต่ไม่คิดว่าจะยากลำบากขนาดนี้
แม้แต่เจี่ยงเสวียยังอดไม่ได้ที่จะก่นด่า”สมควรตายจริงๆ เจ้าคนชั่วคนไหนไปกระจายข่าวเรื่องมุกมังกรกันแน่ ถึงได้ดึงดูดให้กลุ่มผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งทั้งหลายรุมกันมาแย่งชิง ถ้าหากข้ารู้ ข้าจะใช้ดาบตอนให้มันไม่เหลือลูกหลานไว้สืบสกุลเลย”
เจี่ยงเสวียที่แต่ไหนแต่ไรไม่ชอบพูดมาก และไม่เคยจะพูดจาหยาบคาย ครั้งนี้เขาโกรธจนแทบคลั่ง ด่าคำหยาบเป็นออกมาไม่หยุด
“ข้างหน้ามีไอสังหาร อีกอย่างคนที่มาก็ไม่น้อยด้วย”
ทันใดนั้นกู้ชูหน่วนก็พูดขึ้น ตัดบทคำหยาบของเจี่ยงเสวีย
เสี่ยวลู่กับเจี่ยงเสวียเย็นวาบขึ้นมาในใจ ทำไมพวกเขาจึงไม่รู้สึกเลย
“เช่นนั้นจะให้ข้าเปลี่ยนไปอีกทางหรือไม่”เจี่ยงเสวียถาม
“ตรงไปเป็นเส้นทางที่ใกล้เผ่าหยกที่สุด ถ้าหากอ้อมไปอีก ยังต้องอ้อมอีกนาน ไม่สามารถอ้อมได้อีกแล้ว บุกไปเลย”กู้ชูหน่วนดึงดาบอ่อนออกมา เตรียมเข้าสู่การต่อสู้
เสี่ยวลู่ถามอย่างสงสัย”เส้นทางที่ไปสู่เผ่าหยกนอกจากพวกเราแล้ว ไม่มีใครรู้ แล้วคนเหล่านี้มาซุ่มโจมตีอยู่ตลอดทางกลับเผ่าหยกได้อย่างไร ”
กู้ชูหน่วนส่ายหน้า
นี่ก็เป็นจุดที่นางสงสัยเช่นกัน
ถ้าหากเผ่าหยกไม่มีคนทรยศ ก็คือตอนที่พวกเขากลับเผ่าหยก ถูกคนสะกดรอยตาม
“มุกมังกรอยู่บนตัวพวกเขา ทุกคนรีบเข้าไปชิงมา”
ไม่รู้ว่าใครตะโกนขึ้น ทุกคนจากทั่วทุกทิศพุ่งตรงเข้ามาโจมตีทันที ล้อมรถม้าเอาไว้อย่างแน่นหนา
เสี่ยวลู่มองแล้วก็รู้สึกขนลุกขึ้นมา
คนเหล่านี้มีวรยุทธที่นับว่าไม่สูงมากนัก เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็แตกต่างกันไป ไม่ว่าคนอะไรก็ผสมปนเปอยู่ด้วยกัน
เดิมทีคนเหล่านี้ไม่น่ากลัวเลย แต่ที่เหนือกว่าคือพวกเขามีจำนวนมากกว่า
เสี่ยวลู่ใช้แส้กวาดออกไปทำให้คนกลุ่มหนึ่งล้มลง คนที่อยู่ข้างหลังก็พุ่งเข้ามาแทนที่ ไม่มีที่สิ้นสุด เหมือนกองทัพทหารในสงครามที่บุกเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย
“ฟิ้วๆๆๆ……”
ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่ยิงธนูใส่รถม้า คิดจะหยุดรถม้าเอาไว้
กู้ชูหน่วนถ่ายทอดพลังไปยังดาบ ทุกดาบที่ฟาดฟันลงไปทำให้คนกลุ่มใหญ่ล้มลง ไม่ง่ายเลยกว่าจะเปิดเส้นทางได้ ไม่ช้าก็มีกลุ่มคนใหม่กำลังบุกมาจากที่ไกลออกไป ล้อมพวกเขาไว้อีกครั้ง
การต่อสู้แบบเวียนเทียนเช่นนี้ ไม่เป็นผลดีต่อพวกเขาเลย
ในขณะที่พวกเขาถูกล้อมอย่างไร้ทางหนี มีดอกลำโพงที่เบ่งบานเต็มที่โจมตีมาจากที่ไกลออกไป ดอกลำโพงมีสีสันหลากหลาย สวยงามดึงดูดตา เดิมทีดูเป็นความสุขที่มองเห็น แต่พวกมันกลายเป็นกะโหลกที่กระหายเลือดขึ้นมาอย่างกะทันหัน อ้าปากกว้าง ตลอดทางที่เลื้อยผ่าน คนไม่น้อยถูกกะโหลกโลหิตกลืนกินจนไม่เหลือแม้แต่ซาก เหลือแค่กองเลือดกองใหญ่เท่านั้น
แต่ที่น่ากลัวที่สุดคือ ดอกลำโพงที่เดิมทีมีเพียงหนึ่งเถาเท่านั้น แต่มันกลับกลายเป็นเถาวัลย์นับสิบอย่างรวดเร็วซึ่งสามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า
เถาวัลย์ทุกเส้นล้วนรวดเร็วมาก พวกเขาหนีไม่พ้นเลยแม้แต่น้อย
ในช่วงเวลาสั้นๆเพียงชั่วครู่เท่านั้น ก็มีคนนับร้อยถูกกะโหลกโลหิตกลืนกินเข้าไป
“เป็นท่านจอมมาร ……เป็นปีศาจร้ายของเผ่าปีศาจ ทุกคนรีบหนี”
“อ๊า……”
“พี่ใหญ่……”
“ถอย รีบถอยเร็วเข้า……”
“พี่ใหญ่ แล้วมุกมังกรจะทำอย่างไร พวกเรายังจะแย่งชิงอีกหรือไม่”
“แย่งอะไร เจ้าไม่เห็นหรือว่าจอมมารมาแล้ว นั่นมันปีศาจร้ายที่ฆ่าคนโดยไม่กะพริบตาเชียวนะ ขืนยังไม่รีบถอย พวกเราทุกคนได้ตายอยู่ที่นี่แน่”
“เจ้าสำนัก พวกเขาถอยกันหมดแล้ว พวกเราจะถอยไปพร้อมกันหรือไม่”
“จะถอยทำไม ไม่ง่ายเลยกว่าจะรู้ว่ามุกมังกรอยู่ที่ไหน ครั้งนี้ถ้าหากแย่งมาไม่ได้ ครั้งหน้าคิดอยากจะชิงก็ไร้โอกาสแล้ว ก็แค่จอมมาร พวกเรามีคนตั้งมากมาย ยังต้องกลัวเขาที่มีแค่คนเดียวด้วยหรือ ทุกคนต้องร่วมมือร่วมใจกัน ฆ่าจอมมารให้ได้ก่อน ของเพียงเขาตาย ก็ไม่มีใครมาขัดขวางการชิงมุกมังกรของพวกเราได้แล้ว”
“เจ้า……เจ้าสำนัก……ไม่ได้ จอมมารร้ายกาจเกินไป พวกเรา……พวกเราสูญเสียคนไปมากแล้ว ถ้ายังไม่ถอยพวกเราต้องตายอย่างอนาถอยู่ที่นี่แน่ ถ้าท่านจะอยู่ ท่านก็อยู่ต่อไปเองเถอะ ข้าขอไปก่อน”
“โธ่……เจ้าคนขี้ขลาดรักตัวกลัวตาย ”
สถานการณ์วุ่นวายไปหมด
บางคนรีบหนีออกไปเพราะเกรงจะหนีไม่ทัน
บางคนไม่พอใจ ยังคงอยากจะชิงมุกมังกร
แต่แล้ว มีเพียงคนที่อยากจะชิงมุกมังกรเท่านั้น ที่ได้กลายเป็นเป้าหมายหลักในการโจมตีของกะโหลกโลหิตโดยไม่มีข้อยกเว้น
เสียงร้องโหยหวน เสียงฆ่าฟันดังขึ้นไม่หยุด ในป่าที่กว้างใหญ่ยังสามารถได้ยินอย่างชัดเจน
เลือดสดๆไหลมารวมกันราวกับสายน้ำ แค่ชั่วพริบตาคนมากมายนับไม่ถ้วนก็ถูกกะโหลกโลหิตกลืนกินโดยไม่เหลือแม้แต่กระดูก
และเมื่อกะโหลกโลหิตยิ่งกินคนไปมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งใหญ่โตมากขึ้นกะโหลกโลหิตใหญ่ตามไปด้วย
กู้ชูหน่วนดีใจ
อาโม่……
เขามาแล้ว……
แต่เขามา……แล้วผู้อาวุโสใหญ่ที่ต้องรับมือกับศัตรูถึงสามคนจะทำอย่างไร
แล้วมองดูคนที่ยังคงตายอย่างต่อเนื่อง กู้ชูหน่วนก็รู้สึกทนไม่ไหว
ห่างออกไปเสียงสดใสของจอมมารดังขึ้น
“พี่สาว ในที่สุดข้าก็ตามท่านจนทัน คนเหล่านี้ไม่เจียมตัวซะเลย กล้ามาชิงมุกมังกรของพี่สาว ดูซิว่าอาโม่จะฆ่าพวกเขายังไง”
“พอเถอะ อย่าทำลายชีวิตคนอื่นมากเกินไป ก็แค่พวกโง่ที่ถูกหลอกใช้เท่านั้นเอง”
“ในเมื่อพี่สาวพูดเอง เช่นนั้นข้าก็จะยอมฝืนใจไว้ชีวิตพวกเขาสักครั้ง”
รูปแบบการโจมตีของกะโหลกโลหิตเปลี่ยนไป ไม่กินคนอีกต่อไป แต่ทำร้ายพวกเขาจนบาดเจ็บสาหัส และโยนทุกคนออกไป จะได้ไม่ขวางหูขวางตา
ขณะเดียวกันจอมมารก็ค่อยๆเหาะลงไปที่รถม้า ฉีกยิ้มกว้าง เผยให้เห็นเขี้ยวทั้งสองซี่และจ้องมองไปยังกู้ชูหน่วน
“ผู้อาวุโสใหญ่เล่า แล้วสุดยอดผู้อาวุโสของเผ่าเทียนเฟิ่นเล่า”
“คือ……ข้าก็ไม่รู้ ตอนที่ข้าต่อสู้ถึงกลางคันก็นึกขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน ระหว่างทางที่พี่สาวเดินทางแล้วเจอคนทำร้ายจะทำอย่างไร ด้วยเหตุนี้ข้าจึงรีบออกมาจากการต่อสู้ ไล่ตามหาพี่สาว……
กู้ชูหน่วนโมโหจนแทบกระอักเลือด
“เพราะฉะนั้น เจ้าก็เคยทิ้งผู้อาวุโสใหญ่ไว้ที่นั่นคนเดียวหรือ”
“ใช่แล้ว”
“เจ้าทิ้งผู้อาวุโสใหญ่ไว้ที่นั่นคนเดียว เช่นนั้นเขาจะสามารถต่อกรกับสุดยอดผู้อาวุโสทั้งสามได้อย่างไร”
“ความเป็นความตายของผู้อาวุโสใหญ่เกี่ยวอะไรกับข้า ท่านบอกเองไม่ใช่หรือว่าเห็นท่าไม่ดีให้รีบเผ่น นี่ข้าก็เห็นว่าท่าจะไม่ดีจึงรีบหนีมา”
“……”