อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม บทที่ 742 อดีตของเวินเส้าหยี
ทั้งสองยิ้มให้กัน
ศัตรูในอดีต ความสัมพันธ์ที่ผิดรูปแบบในตอนนี้
ทว่ารอยยิ้มนี้ ได้ดึงระยะห่างระหว่างทั้งสองคนให้ใกล้กันมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“การหลอมรวมมุกมังกร จำเป็นต้องใช้ร่างกายที่เป็นหยางบริสุทธิ์และหยินบริสุทธิ์ เจ้าเตรียมพร้อมที่จะเสียสละพวกเขาแล้วหรือ?”
“เจ้ารู้ได้ยังไงกัน?” กู้ชูหน่วนเลิกคิ้ว
“เพิ่งรู้เมื่อไม่นานนี้”
“เจ้ายังมีอะไรอีกที่ไม่รู้”
“ข้าไม่รู้ว่าใครคือผู้ที่มีร่างกายเป็นหยางบริสุทธิ์และหยินบริสุทธิ์ แต่….ดูจากท่าทางของเจ้า คิดว่าคงเป็นคนที่มีความสำคัญกับเจ้ามาก”
กู้ชูหน่วนล้วงอยู่นานกว่าจะได้เหล้าสองไหออกมาจากแหวนมิติ นางเปิดจุกขวด แหงนหน้าขึ้นดื่มอึกอึกอึกคำใหญ่ไปสองสามคำ จึงได้เอาอีกขวดหนึ่งโยนไปให้เวินเส้าหยี
“คนอื่นเขาล้วนบอกกันว่าบาดเจ็บไม่ควรดื่มเหล้า เจ้ากล้าดื่มเป็นเพื่อนข้าให้เต็มที่สักยกหรือไม่?”
“ข้าดื่มเหล้าไม่เป็น”
“แฮ่มแฮ่ม….ดื่มเหล้าไม่เป็น?” กู้ชูหน่วนแทบสำลัก
โดยปกติแล้วผู้ชายจะดื่มเหล้าเป็นกันหมด เขาที่เป็นหัวหน้าเผ่าน้อยผู้สูงศักดิ์กลับดื่มเหล้าไม่เป็น?
กู้ชูหน่วนต้องการดูหน้าเขาว่าเป็นการล้อเล่นหรือไม่ ทว่าสีหน้าอันซีดเผือดของเวินเส้าหยีมีเพียงความบริสุทธิ์ ไม่ได้ล้อเล่น
“เห้อ……ไม่รู้จริงๆว่าพวกเขาผลักดันและเลือกเจ้าให้เป็นหัวหน้าเผ่าน้อยได้อย่างไร?”
“อาจเป็นเพราะข้าว่านอนสอนง่าย และมีพรสวรรค์ด้านศิลปะวิทยายุทธ ทั้งยังเป็นลูกชายแท้ๆของหัวหน้าเผ่าล่ะมั้ง”
“งานเลี้ยงสำคัญของเผ่าเทียนเฟิ่น เจ้าก็ไม่ได้เข้าร่วมเลยหรือ?”
“น้อยมาก พ่อของข้าตั้งความหวังอันลึกล้ำมากมายไว้กับข้าตั้งแต่ยังเด็ก วัยเด็กของข้านอกจากฝึกวิทยายุทธก็คือฝึกวิทยายุทธ”
นึกถึงอดีตของตัวเอง เวินเส้าหยีรู้สึกขมขื่นใจทันที เปิดจุกขวด และเขาก็ดื่มไปอึกหนึ่ง เพียงแต่หลังจากที่ดื่มไปอึกหนึ่ง เขาก็สำลักจนไอไม่หยุดทันที ใบหน้าอันซีดเผือดสำลักจนแดงก่ำไปทั้งหน้า
“ดูท่าแล้ว วัยเด็กของเจ้าก็ไม่ได้ดีไปกว่าข้าเท่าไหร่นัก?”
กู้ชูหน่วนกระดกขาขวาขึ้น กรอกลงไปทีละอึกอย่างต่อเนื่อง ปากก็พูดอย่างต่อเนื่อง
“น่าเสียดายเจ้าฝึกฝนวิทยายุทธมากกว่าครึ่งชีวิต ก็ถูกข้าดูดไปหมดแล้ว ในใจของเจ้าไม่มีความขุ่นเคืองสักนิดจริงหรือ?”
“หากข้าตอบว่าใช่ เจ้าจะเอาวิทยายุทธที่เจ้าดูดไปคืนให้ข้าได้หรือ?”
“แม้ว่าเจ้าจะดูดวิทยายุทธของข้าไปทั้งหมด อย่างมากก็มีเพียงระดับสี่ เจ้าก็ฟื้นกลับไปไม่ถึงระดับหก”
“ใช่สิ….ตอนนี้ข้าก็เป็นเพียงคนไร้ประโยชน์ เป็นคนที่คนอื่นๆทุกคนดูถูกเหยียบย่ำ”
เวินเส้าหยีกวาดตามองรอยแผลทั่วร่างกายของตัวเอง และวิทยายุทธอันต้อยต่ำของตัวเอง ก็รู้สึกปวดใจขึ้นมาอย่างฉับพลันอีกครั้ง
จากวิทยายุทธในอดีตของเขา ผู้ใดจะสามารถจับเขามาได้ ไม่ว่าวิทยายุทธของไป๋จิ่นจะเก่งกาจเพียงใดก็ไม่ใช่คู่ต่อกรของเขา
ที่น่าขำคือ วันนั้นไม่ได้เป็นไป๋จิ่นที่จับเขา แต่เป็นลูกศิษย์ตัวเล็กๆคนหนึ่งของเผ่าน้ำแข็ง
แม้แต่ลูกศิษย์ธรรมดาที่ไม่สามารถธรรมดากว่านี้ได้อีกแล้วเขาก็ไม่สามารถสู้ได้
“แม่ของเจ้าล่ะ?” กู้ชูหน่วนถามขึ้นอย่างฉับพลัน
รู้จักกันตั้งนาน เหมือนว่านางไม่เคยได้ยินเวินเส้าหยีพูดถึงแม่ของเขามาก่อน
เวินเส้าหยีขมวดคิ้วแล้วดื่มอีกอึกหนึ่ง ผ่านไปนานกว่าจะกล่าวออกมาด้วยความอัดอั้นว่า “ตายแล้ว”
“ป่วยตายหรือ?”
“ถูกบังคับให้เผาตัวตาย”
กู้ชูหน่วนเอียงศีรษะ มองไปที่ดวงตาอันเจ็บปวดของเวินเส้าหยี รอให้เขาพูดต่อ
“เผ่าเทียนเฟิ่นมีกฎของเผ่าข้อหนึ่ง แม่ของหัวหน้าเผ่าน้อยคนใหม่จะต้องเผาตัวตาย ไม่ว่านางจะเต็มใจหรือไม่ และตั้งแต่ที่ข้าอายุสามขวบเป็นต้นมา ก็ถูกเลือกให้เป็นหัวหน้าเผ่าน้อย และเห็นแม่ของตัวเองถูกเผาตายในกองไฟอันโชติช่วงด้วยตาของตัวเอง”
กู้ชูหน่วนขมวดคิ้ว
นี่เป็นกฎเผ่าเฮงซวยอะไร ช่างโหดเหี้ยมเกินไปแล้วล่ะมั้ง
“หัวหน้าเผ่าน้อยของเผ่าเทียนเฟิ่นเป็นตำแหน่งสำคัญที่มีผลกระทบต่อสถานการณ์โดยรวม นอกจากหัวหน้าเผ่าและสุดยอดผู้อาวุโสแล้วพวกเขาไม่อนุญาตให้คนอื่นมีสถานะสูงกว่าหัวหน้าเผ่าน้อย บวกกับเผ่าเทียนเฟิ่นเชื่อมาเสมอว่าหลังจากที่เซ่นไหว้ด้วยการเผาร่างแล้ว จิตวิญญาณก็จะคุ้มครองเผ่าเทียนเฟิ่นตลอดไป ดังนั้น….ผู้หญิงที่เผาตัวตายในกองไฟอันโชติช่วงนั้น จึงได้รับการนับถือจากในเผ่าเป็นอย่างมาก”
เวินเส้าหยีพูดอย่างสงบ ราวกับว่ากำลังพูดเรื่องปกติธรรมดาทั่วไปเช่นนั้น แต่กู้ชูหน่วนรู้ ในใจของเขาไม่ได้สงบสักนิด
สามขวบ……
เพิ่งจะอายุได้เพียงสามขวบก็ต้องเห็นแม่ตัวเองถูกเผาตายไปต่อหน้าต่อตา นั้นเป็นความเจ็บปวดเช่นไร
โดยเฉพาะคำนั้นของเขา ถูกบังคับให้เผาตัวตาย……
พิสูจน์ได้ว่าแม่ของเขาไม่ได้เต็มใจตาย
ก็ใช่ มีแม่คนไหนที่จะทิ้งลูกของตัวเองไป แล้วเลือกไปเผาตัวเองจนตายล่ะ
“หลังจากที่ท่านแม่ตาย ข้าก็ถูกสุดยอดผู้อาวุโสไม่กี่ท่านพาไปที่แดนต้องห้าม สอนวิทยายุทธด้วยตัวเอง แม้ว่าสุดยอดผู้อาวุโสไม่กี่ท่านนั้นจะเข้มงวดไปหน่อย แต่ก็ดีกับข้ามาก นับว่าเป็นแสงสว่างในวัยเด็กอันมืดมนของข้า”
“แล้วพ่อเจ้าล่ะ?”
“พ่อของข้า…..ในสายตาของเขาข้าเป็นเพียงหัวหน้าเผ่าน้อย เป็นหัวหน้าเผ่าน้อยผู้หนึ่งที่จำเป็นต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้งของเผ่าเทียนเฟิ่น บางที……แม้แต่เขาเองก็อาจจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำ ว่าข้าเป็นลูกชายของเขา แฮ่มแฮ่ม……”
เวินเส้าหยีกรอกเข้าไปอย่างรวดเร็วอึกหนึ่ง แต่เพราะไม่ได้ช่ำชองการดื่มเหล้าจึงสำลักยกใหญ่
“ดังนั้น…….แม้ว่าตอนนี้เจ้าจะกลับไปที่เผ่าเทียนเฟิ่น อันที่จริงฐานะของเจ้าก็ค่อนข้างกลืนไม่เข้าคายไม่ออกมาก พ่อของเจ้าก็ไม่แน่ว่าจะยอมรับเจ้าสินะ?”
“ไม่รู้”
หัวหน้าเผ่าน้อยของเผ่าเทียนเฟิ่น ตั้งแต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่เคยอยากเป็น
หากว่าเป็นไปได้ เขาอยากเป็นเพียงเด็กธรรมดาเช่นนั้น มีพ่อเอ็นดู มีแม่ให้รัก
แม้ว่าจะใช้ชีวิตอย่างยากจนหน่อยก็ไม่เป็นไร
เขาเหนื่อยหน่ายกับชีวิตความเป็นอยู่ที่ต้องวางแผนรบราฆ่าฟันพรรคนั้น
“เจ้าล่ะ……เจ้ามีตัวตนมากมายขนาดนั้น ทำได้เช่นไรกัน?”
“ข้า…..เหอะ….เรื่องที่ข้าเองก็ยังจัดการสะสางทำความเข้าใจไม่ได้ เจ้าถามข้า ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร โดยประมาณก็คือ…..พวกเขาหาตัวแทนล่ะมั้ง ยังไงซะเผ่าหยกก็มีความสามารถกว้างขวาง เรื่องอะไรก็ทำออกมาได้”
กู้ชูหน่วนหัวเราะเยาะทีหนึ่ง นับว่าเป็นการเยาะเย้ยต่อชีวิตของนาง
เหล้าเข้าปากที่กลัดกลุ้มอยู่แล้วก็กลัดกลุ้มมากขึ้น
เกี่ยวกับเรื่องที่จำเป็นต้องใช้ร่างกายหยางบริสุทธิ์และหยินบริสุทธิ์ในการบูชา นางกลุ้มใจจนหัวขาวแล้ว
เวินเส้าหยีวิเคราะห์ทีละคำทีละประโยค
“ถอนคำสาปโลหิตของเผ่าหยกเป็นเรื่องที่ชาวเผ่าหยกทุกคนถวิลหาแม้จะอยู่ในยามฝัน และเป็นเรื่องที่เจ้าดึงดันคิดจะทำมาตลอดครึ่งชีวิต สามารถทำให้เจ้าหยุดได้ คนสองคนนั้นจะต้องมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับเจ้าแน่”
“คนที่มีความสัมพันธ์ที่ดีที่สุดกับเจ้าคือเย่จิ่งหาน ซือโม่เฟย อี้เฉินเฟย เซียวหยู่เซวียน ไป๋จิ่น ฮัวฉีหลัว สีชิ่นและคนอื่นๆ”
“ตัดเย่จิ่งหานออกเป็นคนแรก หากว่าเป็นเขา ก็เป็นไปไม่ได้ที่เผ่าหยกจะคิดฆ่าเขาครั้งแล้วครั้งเล่า”
“เซียวหยู่เซวียน สีชิ่นก็เป็นไปไม่ได้ หากว่าเป็นพวกเขา หลังจากที่รวบรวมมุกมังกรครบ เป็นไปไม่ได้ที่เผ่าหยกจะไม่เชิญพวกเขามาที่เผ่า ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะวางศิลามังกรหักลง”
“ตามการคาดเดาของข้า ร่างกายหยางบริสุทธิ์มีความน่าจะเป็นอี้เฉินเฟยมากที่สุด เขามีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับเจ้า ผมขาวในชั่วข้ามคืนเพื่อเจ้า สูญสิ้นกำลังทั้งหมด คนก็แทบจะเอาชีวิตไม่รอด สามารถพูดได้ว่าอี้เฉินเฟยเป็นคนหนึ่งในครอบครัวที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเจ้าได้ ความสนิทชิดใกล้ที่หล่อหลอมเข้าไปในไขกระดูกชนิดนั้นไม่มีทางให้ผู้ใดพรากไปได้”
“อี้เฉินเฟยสามารถกล่าวได้ว่าเป็นคนสำคัญมากในชีวิตของเจ้า หากว่าใครกล้าแตะต้องเขาแม้ขนสักเส้น เจ้าจะต้องชดใช้คืนเป็นหมื่นเท่าพันเท่า ดังนั้นปฏิกิริยาครั้งนี้ของเจ้าถึงได้รุนแรงขนาดนั้น ในใจถึงได้เป็นทุกข์ขนาดนั้น”
“และร่างกายหยินบริสุทธิ์ที่สุด ความเป็นไปได้ที่สุดไม่ใช่จอมมารก็คือไป๋จิ่นและคนอื่นๆของเผ่าน้ำแข็ง โอกาสเป็นไปได้มากที่สุดก็คือทูตศักดิ์สิทธิ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสี่ของเผ่าน้ำแข็ง”
กู้ชูหน่วนเบือนหน้า ไม่เลื่อมใสความสามารถในการวิเคราะห์ของเวินเส้าหยีไม่ได้
เรื่องที่นางคิดไม่ถึง เขาเดาออกทั้งหมดแล้ว
อีกทั้ง…..เดาถูกทั้งหมดด้วย
“เผ่าหยกจะไม่ให้คนเข้ามาง่ายๆ แต่ผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่าหยกกลับเชิญทูตศักดิ์สิทธิ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสี่ของเผ่าน้ำแข็งเข้ามา ในนั้นจะต้องมีแผนการที่เพียงแค่คิดก็รู้ได้ ร่างกายหยินบริสุทธิ์น่าจะเป็นหนึ่งในทูตศักดิ์สิทธิ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสี่ของเผ่าน้ำแข็ง”
กู้ชูหน่วนกล่าว “เจ้าสูญเสียวิทยายุทธไปแล้วยังน่ากลัวขนาดนี้ หากว่าฟื้นฟูวิทยายุทธแล้วจะมีคนสักกี่คนในโลกที่จะสามารถต่อกรกับเจ้าได้?”
“เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ว่า คนที่มีร่างกายหยินบริสุทธิ์อาจจะไม่ได้มีเพียงคนเดียว?”
“พูดเช่นนี้หมายความว่ายังไง?”
“ไม่มีอะไร ข้าแค่คิดว่ามันแปลกนิดหน่อย ถ้าร่างกายหยินบริสุทธิ์มีเพียงหนึ่งในคนของเผ่าน้ำแข็ง แล้วทำไมผู้อาวุโสใหญ่ถึงได้เชิญพวกนางทั้งสี่คนมา? หรือเพื่อเป็นการข่มขู่งั้นหรือ?”
ด้วยอิทธิพลของเผ่าหยก จะต้องใช้การข่มขู่ด้วยหรือ?
และ……
ในวันนั้นก่อนที่เขาจะหมดสติก็ได้เห็นรางๆว่าลูกศิษย์ของเผ่าน้ำแข็งจำนวนมากมายได้เข้ามาที่เผ่าหยกแล้วด้วย
ท่าทางเช่นนั้น อย่างน้อยๆก็หลายร้อยคน
แต่เขาไม่รู้ว่าตัวเองดูผิดไปหรือไม่ จึงไม่กล้าพูดคำพูดด้านหลังออกมา