อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม บทที่ 1043 เกาะแข้งเกาะขา
กู้ชูหน่วนเกร็งกระตุกหนักขึ้นเรื่อยๆ เหงื่อทำให้เสื้อผ้าของนางเปียกปอนไปนานแล้ว การหายใจค่อยๆอ่อนลง พลังชีวิตก็สลายไปช้าๆ
แต่จนสุดท้ายนางก็ไม่ได้พูดคำร้องขอความเมตตาออกมา ยังคงไม่เปล่งเสียง
ไม่รู้ว่าเจ็บปวดเกินไปหรือไม่ กู้ชูหน่วนหมดสติไปแล้ว
เวินเส้าหยีเก็บหมอกน้ำแข็งไปโดยไม่รู้ตัว เหลือเพียงการทอดถอนใจเบาๆจนแทบไม่ได้ยิน
เขาเดินเข้ามาช้าๆ ย่อลง ฉีกเสื้อผ้าของกู้ชูหน่วนออกเล็กน้อย กลับเห็นว่าทุกที่บนร่างของนาง มีบาดแผลเป็นหลุมเป็นบ่อที่โดนอาวุธอันแหลมคมทำร้าย
บาดแผลมากมายขนาดนี้ คือถูกทำร้ายตอนอยู่ที่หุบเขาอสูรงั้นหรือ?
แม้ว่าจะใส่ยาแล้ว แต่บาดแผลมากมายขนาดนี้ ก็ยังพอจะจินตนาการได้ว่า ตอนนั้นนางเจ็บปวดมากเพียงใด แล้วต้องทนฝืนอย่างไรถึงจะรักษาชีวิตนี้มาได้
แรงสังหารสลายไปทีละน้อย เวินเส้าหยีอุ้มนางขึ้นแล้วเดินออกจากห้องลับไป
วันรุ่งขึ้น กู้ชูหน่วนถูกปลุกด้วยความเจ็บปวด กระดูกทั่วทั้งร่างกายยังคงเจ็บปวดจนทำให้นางสั่นสะท้าน
ลืมตาขึ้น ทุกอย่างที่อยู่ในสายตาก็คือบ้านไม้ไผ่หลังหนึ่ง
การตกแต่งของที่นี่เรียบง่ายมาก มีเก้าอี้ไม้ไผ่เพียงไม่กี่ตัว โต๊ะสี่เหลี่ยมตัวหนึ่ง กำแพงด้านซ้ายจัดวางชั้นหนังสือไว้หนึ่งแถว จัดวางตำราโบราณไว้ไม่น้อย
บนกำแพงทางด้านขวามีภาพวาดอักษรแขวนอยู่หลายภาพ ทั้งบ้านดูแล้วสง่างามมีความรู้
นอกบ้านไม้ไผ่มีเสียงพิณดังขึ้น
เสียงพิณไพเราะรื่นหู เปรียบได้ดั่งเสียงสวรรค์ เพียงแต่ในเสียงพิณมีความโศกเศร้าเคล้าอยู่รางๆ ทำให้คนที่ฟังอดไม่ได้ที่จะอยู่ในความโศกเศร้าด้วย
มองไปจากทิศทางของกู้ชูหน่วน เห็นเพียงแค่ชายในชุดขาวสะอาดผู้หนึ่งนั่งอยู่บนพื้น มือเรียวยาวกำลังดีดทำนองเพลงที่ไพเราะที่สุดในโลก
ลมอ่อนพัดผ่าน โบกโชยให้ใบไผ่ส่งเสียงซู่ซู่ และพัดเส้นผมที่ขมับของชายชุดขาวขึ้น งดงามดั่งคนในภาพวาด สวยงามจนไร้คำบรรยาย กู้ชูหน่วนกุมบาดแผลเดินไปด้านนอกทีละก้าวๆ และหยุดลงเมื่ออยู่ห่างจากชายชุดขาวได้สองเมตร ชื่นชมเสียงพิณของเขาอยู่เงียบๆ
เพลงหนึ่งจบลง
เป็นเวลานานกว่ากู้ชูหน่วนจะดึงสติกลับมาได้
นางกล่าวว่า “เจ้าเป็นคนอบอุ่นอ่อนโยนผู้หนึ่ง ไม่ควรมีความโศกเศร้าในใจมากมายขนาดนั้น และไม่จำเป็นต้องแสร้งทำเป็นเย็นชาไร้ความปรานี”
มือที่จับพิณหิมะของเวินเส้าหยีของสั่นเล็กน้อย
เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า “เดิมทีข้าก็เป็นคนที่เย็นชาไร้ความปรานีอยู่แล้ว”
“อะไรก็สามารถโกหกคนได้ มีเพียงแค่เสียงพิณและดวงตาที่ทำไม่ได้ แม้ว่าแววตาของเจ้าจะเสแสร้งออกมาได้ดีมาก แต่เสียงพิณของเจ้ากลับเปิดเผยทุกอย่างแล้ว”
เวินเส้าหยีไม่พูดจา
ผู้หญิงคนนี้พบเขาเพียงไม่กี่ครั้ง แต่กลับสามารถอ่านความสุขและความเศร้าผ่านเสียงพิณของเขาได้
กู้ชูหน่วนกล่าวต่อ “ยิ่งไปกว่านั้น…..เมื่อวานเจ้าไม่ได้อยากจะสังหารฆ่าด้วยอารมณ์ที่เดือดพล่านหรือ? แต่วันนี้ข้ากลับอยู่ที่นี่”
เวินเส้าหยีแบกพิณหิมะ เดินไปทางกู้ชูหน่วนทีละก้าวๆ ลมปราณบนตัวเย็นยะเยือกทำให้คนหวาดกลัวเหมือนเมื่อวาน
กู้ชูหน่วนซ่อนแหวนมิติในมือเอาไว้ กล่าวด้วยความระมัดระวัง
“ข้าเคยบอกแล้ว คิดจะเอาแหวนมิติไป เว้นซะแต่ข้าจะตาย”
“ข้าอยากจะฆ่าเจ้า ยังง่ายซะยิ่งกว่าขยี้มดตัวหนึ่งซะอีก”
“แต่เจ้าก็ไม่ได้ฆ่าข้าไม่ใช่หรือไง? เจ้าไม่ได้ฆ่าข้า ก็มีเพียงสองประการ ประการแรก เจ้าทำใจไม่ได้ ประการที่สอง ข้ายังมีประโยชน์ให้ใช้ ข้าเดาว่า…..เมื่อวานที่เจ้าไม่ฆ่าข้า ก็น่าจะมีทั้งสองประการล่ะสิ”
กู้ชูหน่วนลูบคาง ดวงตากลอกไปมา
“ให้ข้าเดาดูหน่อยว่าทำไมเจ้าถึงได้ปล่อยข้า ก็เพราะเจ้าไม่เชื่อว่าข้าไม่รู้เบาะแสของขวานผานกู่ หรือไม่ก็เพราะว่าเจ้าคิดจะหลอกใช้ให้ข้าไปกำจัดเย่จิ่งหาน”
“แม้จะไม่รู้ว่าเจ้ามีความแค้นอะไรกับเย่จิ่งหาน แต่มีอย่างหนึ่งที่ข้ามั่นใจ เย่จิ่งหานเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น ข้าถลกเสื้อผ้าเขา เขาจะปล่อยข้าไปง่ายๆได้ยังไง”
“หืม……” เสียงทุ้มต่ำของเวินเส้าหยีสูงขึ้นอย่างฉับพลัน แรงสังหารก็โจมตีม้วนตลบไปทั่วทั้งป่าไผ่
กู้ชูหน่วนรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “จากเสียงพิณของเจ้า ข้าเชื่อว่าเจ้าเป็นคนที่แยกแยะบุญคุณความแค้นได้ และเป็นคนตรงไปตรงมา ฉะนั้นข้าคงไม่ได้มีค่าพอให้เจ้าหลอกใช้ไปจัดการเย่จิ่งหานหรอก”
“เจ้าเป็นคนที่ใจดีมีเมตตาผู้หนึ่ง ข้าคิดแล้วคิดอีก ต่อจากนี้ไปข้าเกาะแข้งเกาะขาเจ้ายังจะดีซะกว่า”