อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม บทที่ 1068 วิญญาณดวงที่สาม
กู้ชูหน่วนถูกปลุกขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด
ขณะที่ฟื้นขึ้นมาก็อยู่ในบ้านไม้หลังหนึ่งตรงชานเมืองของพระนคร
เย่จิ่งหานนั่งอยู่บนรถเข็นไม่ไกลจากเตียงมองนางด้วยสายตาอันซับซ้อน เห็นนางฟื้นขึ้นมาก็กลับคืนสู่สีหน้าอันเย็นชาอีกครั้ง
ภาพเหตุการณ์ก่อนที่จะสลบประทับอยู่ในสมอง
นางถูกพรรคใหญ่ต่างๆรุมประณามพร้อมกัน พริบตาแห่งความเป็นความตายนั้นเย่จิ่งหานปรากฏตัวออกมา ฝืนเอาตัวนางออกไป แต่เพราะว่านางได้รับบาดเจ็บสาหัสเกินไป จึงสลบลง
แค่ขยับตัวเล็กน้อย ก็เจ็บจนนางต้องสูดหายใจลึกๆ
เย่จิ่งหานเอ่ยขึ้นช้าๆสบายๆ “เจ้าบาดเจ็บสาหัสมาก ไม่อยากตายก็อย่าขยับตัวมั่วซั่ว”
กู้ชูหน่วนก้มลงมอง บาดแผลน้อยใหญ่บนตัวของนางล้วนถูกจัดการไว้อย่างดีมาก พันด้วยผ้าพันแผลเต็มไปหมด เหมือนเป็นมัมมี่เช่นนั้น
“ช่วยข้าไว้แล้ว ท่านก็ไม่กลัวว่าจะถูกพรรคใหญ่ๆทุกพรรคทั่วโลกรุมประณามเหรอ?”
“ข้าเย่จิ่งหานไม่เคยรู้จักมาก่อนว่าคำว่ากลัวคืออะไร”
“สำหรับการรวบรวมวิญญาณ ข้าไม่มีมูลสายปลายเหตุโดยสิ้นเชิง”
“ข้าดูออก”
สีหน้าของเย่จิ่งหานดูห่อเหี่ยวเล็กน้อย จ้องมองแหวนมิติในมือของนางด้วยความงงงันเหม่อลอย
กู้ชูหน่วนเหลือบมองเย่จิ่งหานแวบหนึ่ง แล้วมองแหวนมิติในมือของตัวเอง ตัดสินใจเอาแหวนมิติที่สวมไว้ในมือไปซ่อนอย่างเด็ดเดี่ยว
“เอาแหวนวงนี้ให้ข้าได้หรือไม่? หรือว่าให้ข้าดูขลุ่ยกับขนมดอกไม้ในแหวนมิติหน่อยก็ได้”
“ไม่ใช่ว่าข้าไม่ให้ท่าน แต่ตอนที่ข้าเปิดแหวนมิติ เดิมทีด้านในก็ไม่ได้มีของทั้งสองอย่างนี้อยู่”
เหมือนกลัวว่าเย่จิ่งหานจะไม่เชื่อ กู้ชูหนวนเปิดแหวนมิติออก สิ่งของด้านในถูกเวินเส้าหยีแย่งชิงไปเกือบหมดแล้ว เหลือแค่ไม่กี่อย่าง
แต่สิ่งที่ยืนยันได้คือ ไม่มีขลุ่ยและขนมดอกไม้จริงๆ
นางก็ไม่รู้ว่าทำไมของทั้งสองสิ่งนี้ถึงปรากฏอยู่ขึ้นในแหวนมิติในตอนนั้นได้?
บางทีอาจจะถูกเจ้าของเดิมผนึกเอาไว้สินะ?
แววตาของเย่จิ่งหานหมองลงทันที
ทั้งขลุ่ยและขนมดอกไม้ล้วนเป็นสิ่งของที่อี้เฉินเฟยทิ้งไว้ให้นางก่อนตาย นั่นเป็นของรักของหวงของนาง นางจะไม่ผนึกไว้ให้ดีๆได้อย่างไร
แต่ที่น่าขันคือเขากับนางเป็นสามีภรรยากัน นางไม่ได้เหลือสิ่งใดให้เขา เขาก็ไม่เคยได้ให้สิ่งของใดกับนาง กระทั่งตอนนี้แม้แต่ความนึกคิดก็ไม่มี
“เจ้ารักษาบาดแผลให้ดีๆ”
กู้ชูหน่วนพักฟื้นอยู่ที่นี่ด้วยความเต็มใจ
มีเย่จิ่งหานขวางกั้นไว้ คิดว่าพรรคใหญ่แต่ละพรรคก็คงจะทำอะไรนางไม่ได้ชั่วคราว
พริบตาเดียวก็ผ่านไปสิบวันแล้ว
อาการบาดเจ็บของกู้ชูหน่วนฟื้นตัวขึ้นมากภายใต้การดูแลอย่างเอาใจใส่ของเย่จิ่งหาน
สิบวันผ่านไปอย่างสงบสุข ทั้งสองไม่ได้ขัดแย้งกัน
เพียงแต่ในวันที่สิบ เพราะว่าเย่จิ่งหานได้เป่าเพลงเศร้าเพลงหนึ่ง
กู้ชูหน่วนรู้สึกปวดใจขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ
จากนั้นแสงสว่างจุดหนึ่งก็ค่อยๆเข้ามาใกล้ ฟังเพลงเศร้าเพลงนั้นของเย่จิ่งหานอย่างเงียบๆ
จากนั้นทันที…..
แสงสว่างจุดนั้นก็จมเข้าไปที่หน้าผากของกู้ชูหน่วน
ร่างกายของกู้ชูหน่วนสั่นสะท้านอย่างฉับพลัน ลูบหน้าผากของตัวเองอย่างงุนงง
เกิดอะไรขึ้น?
มีวิญญาณอีกดวงพุ่งพรวดเข้าไปในร่างของนางอีกแล้ว ใช้ร่างกายของนางเป็นโรงเตี๊ยม?
กู้ชูหน่วนตกใจ
ม่านตาของเย่จิ่งหานก็เบิกกว้าง ทั้งตกใจทั้งดีใจทั้งกลัว
เขาไม่ได้มองผิดไปหรอกนะ
วิญญาณอีกดวงของอาหน่วนตากลับมาเองแล้ว ทั้งยัง……..มาหาผู้หญิงคนนี้อีกแล้ว……
เขาเสาะหามาหลายปีขนาดนั้น แต่ก็หาร่องรอยดวงจิตวิญญาณของอาหน่วนไม่พบ
แต่ตอนนี้ ในร่างกายของผู้หญิงคนนี้มีวิญญาณของอาหน่วนอยู่สามดวงแล้ว
จิตใจที่ท้อแท้สิ้นหวังในเดิมทีพลุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้ง เย่จิ่งหานเห็นความหวังอีกครั้ง
เพียงรวบรวมดวงวิญญาณอีกไม่กี่ดวง อาหน่วน…..ก็จะสามารถฟื้นคืนชีพได้แล้วใช่หรือไม่?
กู้ชูหน่วนผายมือออก “ท่านอย่าถามข้า ข้าไม่รู้จริงๆว่าทำไมนางถึงมาหาข้าได้ จะเป็นเพราะเสียงขลุ่ยของท่านดึงดูดมาหรือไม่?”
เย่จิ่งหานก็ไม่รู้เหมือนกัน
สามปีที่ผ่านมา เขาเป่าเพลงมานับไม่ถ้วน แต่ก็ไม่มีร่องรอยของอาหน่วนสักนิด
ทำไมวันนี้ถึง…..
ไม่ว่าอย่างไร เย่จิ่งหานก็หยิบขลุ่ยหยกขาวขึ้นมา และเป่าขลุ่ยออกมาอีกครั้งด้วยความตื่นเต้น