อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม บทที่ 1062 มืออรหันต์หมื่นตราประทับ
กู้ชูหน่วนเลิกคิ้ว “ทำไม ข้าชนะก็คือขี้โกง แพ้แล้วจึงสมเหตุสมผลงั้นหรือ?”
“เจ้า…..”
ประมุขพรรคไห่เทียนกล่าว “เจ้าจะต้องใช้วิชามนต์ดำจึงเอาชนะได้เป็นแน่ ยกนี้ไม่นับ”
“เจ้าคือประมุขพรรคไห่เทียนสินะ ข้าก็ว่าทำไมทุกครั้งที่หาเรื่องล้วนเป็นเจ้า ข้าเกิดความสงสัยอย่างหนักแล้วสิว่าเจ้าน่ะเป็นหน้าม้าที่ตระกูลไป๋หลี่เชิญมาหรือไม่”
ไป๋หลี่เฉิงกล่าวด้วยความโกรธ “สารเลว ตระกูลไป๋หลี่ของพวกเราจะเชิญหน้าม้ามาได้อย่างไร”
กู้ชูหน่วนชำเลืองมองไปทางไป๋หลี่ป้า กล่าวทีเล่นทีจริงว่า “ข้ากลับไม่รู้ว่า ตระกูลไป๋หลี่ของสี่ตระกูลใหญ่ที่สูงศักดิ์ จะแพ้ไม่เป็นจริงๆ”
สีหน้าของไป๋หลี่ป้าไม่น่าดู ใช้ท่าทางมือทันที จากนั้นก็มีคนเอ่ยขึ้นอย่างฉับพลันว่า “ยกที่หนึ่ง มู่หน่วนชนะ”
“นังหนู เจ้าทำลายค่ายกลสิบแปดบุปผาเหินได้อย่างไร?” ผู้เฒ่าหนิงยิ้มแล้วกล่าว
“ง่ายมาก ดอกไม้ที่มีสีสันอะไรเหล่านั้นสามารถฆ่าคนได้อย่างไร้ร่องรอย แต่น่าเสียดาย ข้าค่อนข้างไวต่อกลิ่น เพียงแค่ดมรอบหนึ่งก็สามารถจำกลิ่นของดอกไม้เหล่านั้นได้แล้ว รวมถึง……กลิ่นที่อยู่บนตัวของพวกนางด้วย ดังนั้นแม้ว่าพวกนางจะรูปร่างหน้าตาเหมือนกันทุกประการ แม้ว่าค่ายกลสิบแปดบุปผาเหินจะมีการเปลี่ยนแปลงมากมายเพียงใด ข้าก็สามารถอาศัยกลิ่นบนตัวของพวกนาง หาตำแหน่งที่แม่นยำของพวกนางได้ แล้วกำจัดทิ้งไปทีละคน”
บรรดาผู้คนตระหนักและเข้าใจได้ในทันใด
ที่แท้นางก็เอาชนะได้ด้วยการอาศัยกลิ่น?
แต่ทำไมกลิ่นของดอกไม้เหล่านั้นที่พวกเขาได้กลิ่น ล้วนเหมือนกันหมด
“อวดดีอะไรหนักหนา นี่เพิ่งจะรอบแรก ยังมีอีกสองรอบเชียวนะ เจ้าชนะสองรอบสุดท้ายได้แล้วค่อยว่ากัน”
“ผิด แค่ข้าชนะอีกรอบเดียวก็ได้แล้ว รอบที่สองพวกเจ้าจะส่งใครออกมา ก็เร็วๆหน่อยเถอะ”
“รอบที่สองข้าไปเอง” ไป๋หลี่เฉิงยืนออกมา
ทั่วทั้งสนามเงียบสงัดไร้ซึ่งเสียง
อย่างน้อยไป๋หลี่เฉิงยังเป็นผู้อาวุโสที่มีชื่อเสียงของตระกูลไป๋หลี่เหมือนกัน
ในสนามแรกพวกเขาส่งค่ายกลสิบแปดบุปผาเหินออกมาไม่ว่า
คิดไม่ถึงว่าสนามที่สองผู้อาวุโสจะเป็นคนออกโรงเองจริงๆ
นี่เป็นการรังแกคนมากเกินไปแล้วรึเปล่า?
หยางโม่ทนไม่ไหวอีกต่อไป กล่าวเสียงดังขึ้นว่า “ผู้อาวุโสเฉิง การประลองยุทธระหว่างคนรุ่นหลังระดับนี้ ข้าคิดว่าให้คนรุ่นหลังออกมายังจะดีกว่านะ ฐานะของท่านสูงส่ง ถือสาเอาความนางเพียงนี้จะไม่ทำให้ท่านเสียเกียรติหรือ”
“องค์ชายรอง นังปีศาจผู้นี้รู้วิชามนต์ดำชั่วร้าย หากว่าส่งลูกศิษย์ธรรมดาออกไป เกรงว่าจะถูกนางใช้วิชามนต์ดำสังหาร การต่อสู้นี้ข้าออกโรงด้วยตัวเองจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
ผู้เฒ่าหนิงด่าทอขึ้นอย่างมีความหมายโดยนัย “เห้อไร้ยางอายไร้ยางอายสิ้นดี ตระกูลบางตระกูลมีแต่พวกห่วยแตกไร้ยางอาย นี่เรียกว่าอะไรนะ อ๋อถูกแล้ว ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น ขนาดผู้อาวุโสยังทำตัวสุ่มสี่สุ่มห้าคนรุ่นลูกหลานถึงได้ประพฤติตัวไม่เหมาะสมตามไงล่ะ”
“ผู้เฒ่าหนิง ท่านโปรดใช้วาจาอย่างระวังด้วย เจ้าบ้านของพวกเราไม่ใช่คนที่ใครก็ได้จะมาดูหมิ่นได้ตามใจชอบ”
“ข้าบอกว่าเป็นพวกเจ้าหรือไง? หูข้างไหนของเจ้าที่ได้ยินว่าข้าดูหมิ่นพวกเจ้ากัน?”
“ท่าน……”
“เจ้าบ้าน ตระกูลหนิงรังแกคนเกินไปแล้ว พวกเรา……”
ไป๋หลี่ป้าโบกมือ กล่าวด้วยรอยยิ้มหน้าเนื้อใจเสือว่า” ตระกูลไป๋หลี่เถรตรงหรือไม่ ยินดีให้ผู้เฒ่าหนิงมาสั่งสอนได้ทุกเมื่อ”
“เมื่อเจ้าบ้านไป๋หลี่เชื้อเชิญแล้ว หากว่าข้าไม่ไป ก็จะทำให้คนอื่นพูดได้ว่าข้าไร้มารยาทใช่หรือไม่ สิ้นสุดการงานประชุมมอบรางวัลใหญ่ครั้งนี้แล้ว ข้าผู้เฒ่าคนนี้ก็พลาดไม่ได้ที่จะต้องขอคำชี้แนะกับตระกูลไป๋หลี่ให้ดีๆสักหน่อยแล้ว”
คนที่มีสมองล้วนฟังออก ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองนี้ขัดขากันแล้ว
ให้การชี้แนะขอคำชี้แนะอะไร เห็นได้ชัดว่าขัดแย้งกัน
“การประลองรอบที่สองเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ”
ด้วยเสียงที่ดังขึ้น ไป๋หลี่เฉิงไม่ได้ออมแรงแม้แต่น้อย และไม่ได้สนใจหน้าตาของตัวเองด้วย ทันทีที่ลงสนามก็เป็นท่าไม้ตาย ตั้งใจจะสังหารกู้ชูหน่วนให้ตายในกระบวนท่าแรก
“มืออรหันต์หมื่นตราประทับ เป็นหนึ่งในท่าไม้ตายของไป๋หลี่เฉิง ท่านปู่ ไป๋หลี่เฉิงไร้ยางอายเกินไปแล้ว” หนิงเทียนโย่วทั้งกังวลใจทั้งโมโห
ผู้เฒ่าหนิงกล่าว “ก็ไม่ใช่วันแรกที่พวกเขาไร้ยางอายสักหน่อย เจ้าเพิ่งจะรู้เหรอ?”
แม้ว่ากู้ชูหน่วนจะเตรียมการป้องกันไว้ล่วงหน้า แต่ก็ยังถูกอำนาจกดดันอันหนักหน่วงที่โจมตีเข้ามาอย่างฉับพลันนี้กดดันจนแทบจะหายใจไม่ออก
นางเอาหอกยาวขวางไว้ ใช้กำลังภายในตอบโต้
แต่ทว่ามืออรหันต์ของไป๋หลี่เฉิงก็ยังกดดันเข้ามาอย่างต่อเนื่อง หนักอึ้งราวกับภูเขาไท่ซานเช่นนั้น มุมปากของนางมีเลือดทะลักออกมาเล็กน้อย