เมื่อผมโดนระบบครองร่าง – บทที่ 1 ฉันถูกระบบครองร่าง

บทที่ 1 ฉันถูกระบบครองร่าง

คืนหนึ่งในฤดูร้อน ดาวตกสีแดงจ้าพุ่งผ่านท้องฟ้าทิศตะวันตกในช่วงเทศกาลชีซี

คู่รักหลายคู่มองขึ้นไปบนฟ้าแล้วพากันอธิษฐานอย่างตื่นเต้น แต่เวลานี้ ฟางหนิง หนุ่มโสดตัวคนเดียวที่กำลังนั่งเล่นคอมพิวเตอร์อยู่ในห้องเช่าเล็กๆ กลับไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย

ทว่าไม่นานหลังจากนั้น ที่มุมขวาล่างของหน้าจอก็มีหน้าต่างเว็บไซต์น่ารำคาญเด้งขึ้นมาบอกเขาเรื่องนี้ จนทำให้เขาหมดสนุก

‘ตะลึง! ดาวตกเพลิงร่วงลงจากฟ้า คาดไม่ถึงเลยว่าสาเหตุของมันจะเป็นเช่นนี้ ผู้ชายฟังแล้วต้องเงียบ ผู้หญิงได้ยินต้องหลั่งน้ำตา…’

เขาเปิดข่าวดูอย่างไม่ใส่ใจนักพลางเบะปาก ปรากฏการณ์ดาวตกธรรมดาๆ ก็สามารถทำให้เกิดพาดหัวข่าวชุ่ยๆ แบบนี้ได้ด้วย แต่การไล่อ่านความคิดเห็นก็ยังน่าสนใจเช่นเคย

‘ดูสิ ดาวตกเพลิงมาแล้ว’

‘ว้าว นิ้วทองคำของสหายเต๋าคนไหนสักคนใกล้จะมาถึงแล้วเนี่ย รีบออกไปรับเร็ว’

‘เชิญสหายเต๋าทุกท่าน ฉันเพิ่งจะทะลวงระดับล้มเหลว ก็เลยอยากมาพักผ่อนที่โลกก่อน’

ฟางหนิงรู้สึกว่าน่าสนใจ จึงพิมพ์ความเห็นลงไปบ้าง ‘อย่าเพิ่งตีกันสิ เห็นอยู่ว่านี่เป็นสัญญาณบอกว่าระบบของฉันที่พักผ่อนมายี่สิบแปดปีกำลังจะได้เปิดใช้งานแล้ว’

ทันทีที่เขาพิมพ์ข้อความส่งไป ใต้เท้าก็พลันรู้สึกสะเทือน ฟางหนิงที่ทรงตัวไม่ดีอยู่ก่อนแล้ว หน้าผากจึงชนเข้ากับโต๊ะคอมพิวเตอร์อย่างจัง

หลังจากนั้น เลือดหยดหนึ่งก็หยดลงบนโน้ตบุ๊กราคาสามพันหยวนของเขา

“บ้าเอ๊ย” ฟางหนิงเห็นควันลอยออกมาจากโน้ตบุ๊ก และหลังจากสบถออกไปตามสัญชาตญาณ เขาก็หมดสติไปในทันที

ฟางหนิงหมดสติไปแล้ว ไม่นานบนหน้าเว็บไซต์ก็มีความคิดเห็นพิเศษหลายข้อความโผล่ขึ้นมา

‘จู่ๆ ฉันก็คายน้ำได้ จะทำยังไงดี แบบนี้จะแสร้งทำเป็นคนธรรมดาได้ยังไง?’

‘พอดีเลย บนอาคารนั่น จู่ๆ ฉันก็พ่นไฟออกมา ถ้าอย่างนั้นให้พวกเราไปช่วยเถอะ’

‘ได้ ไปกันเลย’

‘ได้ ไปกันเลย’

‘แม่จ๋า ที่อยู่ตรงหน้าฉันนี่มันผีรึเปล่า? ขอบอกข่าวร้ายกับทุกคนนะ ฉันเห็นผีด้วยล่ะ จริงๆ นะ ถ้าโกหกขอให้ฉันเห็นผีเลย!’

แต่ในไม่ช้า ข้อความเหล่านี้กลับถูกปิดกั้น ราวกับว่าพวกมันไม่เคยมีอยู่จริง

ฟางหนิงรู้สึกเหมือนตกอยู่ในความฝันอันยาวนาน ในความฝันนั้น เขาได้รับนิ้วทองคำของระบบ จากนั้นก็ออกล่าสังหารไปทั่วทุกที่ และเดินทางไปถึงจุดสูงสุดของชีวิต

เมื่อเขาตื่นและลืมตาขึ้นมา ก็พบว่ารอยเลือดที่คอมพิวเตอร์จางหายไปแล้ว อาการปวดตรงหน้าผากก็ไม่มีเช่นกัน

“เฮ้อ น่าเสียดายที่เป็นแค่ความฝัน ต้องดูหน่อยว่าคอมพิวเตอร์เสียไหม” เขาคิดพลางยื่นมือไปหาคอมพิวเตอร์

แต่ทันใดนั้นเองฟางหนิงก็ต้องตกใจ ดวงตาเบิกโพลง

ผีหลอก?!

จู่ๆ เขาก็พบว่ามือของตนขยับไม่ได้ พูดให้ถูกคือ เขาขยับไม่ได้เลยทั้งร่าง

‘ฉันกำลังฝัน ฉันต้องยังไม่ตื่นจากฝันแน่ๆ’ ฟางหนิงพยายามสงบสติอารมณ์ เขามีประสบการณ์แบบนี้ และคิดว่าตนกำลังอยู่ในฝันเสมือนจริง จะต้องเป็นอย่างนั้นแน่นอน

ตอนนั้นเอง เสียงหนึ่งก็ดังก้องขึ้นในหัวของเขา ทำให้เขาเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ทันที

“ระบบกำลังเปิดใช้งาน…”

‘ว่าไงนะ ฉันก็มีระบบด้วยเหรอ?!’ ฟางหนิงรู้สึกเบิกบานใจ นี่ต้องไม่ใช่ความฝันแน่ เขาคิดอย่างมีความสุข แต่ครู่ต่อมา เขาก็ต้องหน้าดำคร่ำเครียด

“พบว่าโฮสต์มีอาการป่วยระยะสุดท้ายที่รักษาไม่หาย กำลังวิเคราะห์วิธีแก้ปัญหา…”

‘อะไรนะ รักษาไม่หาย แต่ฉันตรวจร่างกายทุกปีนะ ทำไมฉันไม่เห็นรู้เลย?’ ฟางหนิงตกใจกับการแจ้งเตือนของระบบ ภาพข่าวหน้าเว็บที่มีชื่อเรียกอาการป่วยระยะสุดท้ายต่างๆ ผุดขึ้นในใจของเขาเป็นชุดๆ

“การวิเคราะห์อาการป่วยระยะสุดท้ายเสร็จสิ้นลง มะเร็งสันหลังยาวกำลังลุกลามขั้นรุนแรง พบว่าไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้ เพื่อความอยู่รอดของระบบ ขณะนี้กำลังดำเนินการครองร่าง…”

‘อะไรนะ ฉันกำลังจะถูกระบบครองร่างเหรอ?’ ฟางหนิงนิ่งอึ้งอยู่พักหนึ่ง เขารู้ว่าตัวเองขี้เกียจไปหน่อย ถ้าผมไม่ยาวจนถึงคาง เขาก็ไม่คิดจะตัดผม ถ้าไม่ถึงขั้นหาชุดสะอาดไม่เจอ เขาก็ไม่คิดจะโยนเสื้อผ้าลงเครื่องซักผ้า รวมถึงถุงเท้า กางเกงใน แจ็กเกตก็เช่นกัน…

“นี่ไม่เรียกว่าขี้เกียจนิดหน่อยแล้ว มันคือขี้เกียจถึงขีดสุดต่างหาก” ฟางหนิงได้ยินระบบพูดกับเขาเบาๆ

เขาโต้กลับสุดชีวิตอยู่ในใจ ‘ถึงจะขีดสุดยังไง ก็ยังไม่เคยออกข่าวในเน็ตเลยนะโว้ย!’

“ปกติก็หล่อดูดีอยู่นะ แต่พอตอนนี้โสด ก็เลยสมองทึบเหรอ?”

“ตะ แต่ว่าคงไม่แย่งชิงร่างกายที่ใช้มายี่สิบกว่าปีของคนอื่นไปจริงๆ หรอกใช่ไหม?”

ฟางหนิงถูกโจมตีอย่างรุนแรงจากระบบ จนสมองเริ่มสับสน

หลังจบการสนทนา เขาก็พยายามยกมือขึ้นมา แต่พบว่าตนกลับควบคุมมันไม่ได้แล้ว

ไม่นานฟางหนิงก็ค้นพบอีกว่า นอกจากความคิดของเขาในตอนนี้ การได้ยินการเคลื่อนไหว และมองเห็นสิ่งต่างๆ ที่พิสูจน์ได้ว่าสมองของเขายังอยู่ภายใต้การควบคุมของตัวเองแล้ว บางที…บางทีอาจจะไม่มีอวัยวะใดที่เขาควบคุมได้อีกแล้ว

ตอนนั้นเอง เสียงใหม่ก็ดังขึ้นในหัวเพื่อประกาศการพิพากษาครั้งสุดท้าย

“ครองร่างเต็มรูปแบบและเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการ ระบบเริ่มพิจารณา…”

“ระบบกำลังพิจารณา…”

“ระบบกำลังพิจารณา…”

‘พิจารณาบ้านแกสิ รีบคืนร่างฉันมาซะ และจงเป็นนิ้วทองคำที่ดี ทำหน้าที่ผู้ช่วยอย่างมีเกียรติก็พอแล้ว อย่าคิดจะมาแย่งร่างฉันไปเด็ดขาด!’ ฟางหนิงสาปแช่งในใจอย่างหนัก ไม่ใช่เพราะเขาไม่อยากด่าออกมา แต่เพราะเขาไม่สามารถควบคุมเส้นเสียงของตัวเองได้ต่างหาก

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ระบบไม่ได้สนใจเขาเลยสักนิด เพราะหนึ่งนาทีต่อมา ฟางหนิงก็เห็นร่างกายตัวเองที่ถูกระบบควบคุมอยู่หยิบซองบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและเปลือกผลไม้บนโต๊ะขึ้นมา…อย่างรวดเร็ว

‘แม่เจ้า นี่คือช่วงเก็บกวาดขยะของระบบอย่างนั้นเหรอ’ ฟางหนิงคิดกับตัวเอง

เป็นอย่างที่ฟางหนิงคิดจริงๆ การแจ้งเตือนของระบบเริ่มปรากฏขึ้นในใจของเขา

“ระบบทำความสะอาดสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัย…”

เมื่อได้รับการแจ้งเตือนเช่นนี้ เขาจึงเฝ้าดูระบบควบคุมร่างกายตนจัดการขยะทั้งหมดในห้องอย่างรวดเร็ว ทั้งขยะจากอาหารเดลิเวอรี่ พัสดุส่งด่วน และถุงเท้าที่ไม่ได้ซักมาเกือบเดือน…

หลังจากคัดแยกขยะแล้ว ระบบก็บีบจมูกด้วยมือของเขาพลางเปิดกองถุงพลาสติกที่อยู่ใต้เตียงอย่างคุ้นเคย

‘เดี๋ยวนะ ขนาดฉันยังลืมไปแล้วว่าตรงนี้มีถุงพลาสติกอยู่ ระบบนี่มีตามองทะลุหรือยังไง?’ แต่ฟางหนิงกลับไม่เห็นภาพมองทะลุสิ่งของอะไรสักอย่าง มันทำให้เขานึกถึงข้อเท็จจริงที่น่ากลัวยิ่งกว่า ‘เป็นไปได้ไหมว่าระบบตรวจสอบความทรงจำทั้งหมดของฉันแล้ว?’

ขณะที่ฟางหนิงครุ่นคิดอยู่นั้นเอง ระบบก็คัดแยกขยะทั้งหมดใส่ถุงพลาสติกอย่างชำนาญ

สิ่งที่ทำให้ฟางหนิงรู้สึกละอายคือ ปกติขยะของเขาก็ไม่ได้สะดุดตาอะไรนัก กองอยู่ทางนั้นบ้าง กองอยู่ทางนี้บ้าง แต่เมื่อสะสมรวมกันแล้ว กลับมีถุงขยะถึงหกเจ็ดใบ

จากนั้นเขาก็เห็นร่างของตัวเองเปิดประตู เดินลงไปข้างล่างอย่างชำนาญทาง ทำแบบนี้อยู่หลายรอบ แล้วทิ้งขยะทั้งหมดลงถัง

ไม่เพียงเท่านั้น ระบบยังควบคุมร่างกายของเขาให้ทำความสะอาดพื้นที่สาธารณะ ห้องนั่งเล่น ห้องน้ำ ระเบียง และทุกซอกทุกมุมของบ้านเช่าอย่างทั่วถึงด้วย

“หายากนะเนี่ย!” เมื่อระบบควบคุมร่างกายที่ชุ่มเหงื่อของเขาให้ไปอาบน้ำ ห้องข้างๆ เขาก็มีผู้หญิงคนหนึ่งโผล่ออกมา

หลังจากได้ยินการเคลื่อนไหวจากภายนอก สาวสวยคนนี้ก็ออกมาดูเพื่อพบว่าพื้นที่นั้นสะอาดสะอ้าน และฟางหนิงที่มีเหงื่อออกเต็มตัว เธอเข้าใจได้ในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นจึงเอ่ยคำนั้นกับเขาด้วยความตะลึง

ฟางหนิงได้ยินเสียงผู้หญิงน่าฟังคล้ายกำลังพูดถึงเขา พออยากจะหันหน้าไปดู เขาก็พบว่าศีรษะของเขาไม่ยอมขยับ จึงนึกขึ้นได้ว่าร่างกายตนถูกระบบครอบครองไปแล้ว

การไม่สามารถควบคุมร่างกายได้ตามต้องการเป็นความรู้สึกแบบไหน ตอนนี้ฟางหนิงรู้ซึ้งแล้ว เขาเข้าใจแล้วว่าผู้ป่วยที่เป็นอัมพาตครึ่งซีกรู้สึกอึดอัดและน่าเห็นใจแค่ไหน

ก่อนหน้านี้เขายังเป็นคนธรรมดาอยู่เลย แต่จู่ๆ ก็มีระบบตกลงมาจากฟ้า เขายังไปไม่ถึงจุดสูงสุดของชีวิตและเห็นแสงตะวันเลยนะ แต่ตอนนี้กลับไม่มีร่างกายของตนเองแล้ว?!

‘นี่มันบ้าอะไรกัน! เวรเอ๊ย!’

ฟางหนิงได้แต่สาปแช่งอยู่ในใจ รู้สึกเหมือนชีวิตตกอยู่ในความมืดมน ไม่ว่านิ้วทองคำจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์ ร่างกายของเขาไม่เป็นของเขาอีก เขาไม่สามารถเพลิดเพลินกับประโยชน์ของนิ้วทองคำได้แล้ว นี่มันต่างกับหินตรงไหนกัน?

ไม่ว่าใครก็อยากมีชีวิตยืนยาวไม่เจ็บไม่แก่ทั้งนั้น แต่ราคาที่แลกกลับต้องกลายเป็นหินที่ไม่เน่าไม่เปื่อยเป็นหมื่นปี คิดๆ ดูแล้วคงมีไม่กี่คนหรอกที่จะเลือก และถึงเลือกแล้ว ก็คงไม่มีใครอยู่ได้เป็นร้อยปีโดยไม่เสียใจหรอก

โชคดีที่ฟางหนิงค้นพบในไม่ช้าว่าสถานการณ์ปัจจุบันของเขา ดูเหมือนจะดีกว่าการเป็นหินนิดหน่อย

เพราะเสียงระบบดังขึ้นในใจของเขาอีกครั้ง

“พบว่ามี NPC กำลังพูดคุยกับโฮสต์ โปรดเลือกบทสนทนา”

“NPC จ้าวอิ๋งพูดกับคุณด้วยความประหลาดใจว่า ‘หายากนะเนี่ย’

“คำตอบของคุณ หนึ่ง: คุณยิ้มชั่วร้าย ‘หายากแค่ไหนเหรอ?’

“สอง: คุณพูดอย่างดูถูก ‘ไม่ใช่เรื่องของเธอ!’

“สาม: คุณแค่หันหน้าไปมองประเมินอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความเย็นชา แล้วจากไป ไม่พูดสักคำ”

อยากจะบ้า ข้อแรกเป็นบทขี้เล่นที่มีแต่ตัวเอกของนิยายเท่านั้นที่ทำได้ ข้อสองคือด่าคนแบบไม่มีเหตุผล และข้อที่สามปกติอยู่หน่อย แต่ไม่รู้จริงๆ ว่าสายตาเย็นชานั่นจะแสดงออกมาอย่างไร? ฟางหนิงพร่ำบ่นไป พร้อมพูดเสียงดังในใจ “ฉันเลือกข้อสาม”

เขากลัวว่าถ้าช้ากว่านี้ ระบบจะคิดว่าเขาขี้เกียจจนกู่ไม่กลับ แล้วไม่ยอมให้ตัวเลือกแบบนี้อีก

จ้าวอิ๋งไม่เคยคิดเลยว่า สิ่งที่อยู่ในนิยายจะเป็นความจริง มีคนที่มีแววตาเย็นชาอยู่จริงๆ ผู้ชายใต้ชายคาเดียวกันและแทบจะไม่เคยพูดคุยด้วยคนนั้นหันมามองเธอช้าๆ จากบนลงล่าง เยือกเย็นจนทำเอาเธอรู้สึกหนาวเสียดกระดูก นี่คือฤดูร้อน แต่เธอกลับรู้สึกว่าตอนเย็นไม่จำเป็นต้องเปิดเครื่องปรับอากาศแล้วล่ะ

แต่การตอบสนองตามสัญชาตญาณของเธอก็คือ ยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเพื่อจับภาพนี้

หลังจากทำเสร็จเรียบร้อย เธอก็โพสต์ภาพบนเว่ยป๋อราวกับข้างๆ ไม่มีใครอยู่

‘พวกเธอดูหน่อยสิว่าสายตาเย็นชาเป็นยังไง!’

ฟางหนิงไม่รู้เลยว่า หญิงสาวแสนสวยที่อยู่บ้านเดียวกันคนนี้ทำอะไรต่อหลังจากที่จู่ๆ เธอก็ถ่ายรูปเขาด้วยมือถือของตัวเอง เพราะตามตัวเลือกของระบบ หลังจากที่เขามองไปยังอีกฝ่าย เขาก็หันศีรษะแล้วจากไป ระบบไม่ได้ให้มุมมอง 360 องศากับเขา ก็เลยมองไม่เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไรอยู่

แถมระบบก็ไม่ได้โต้ตอบกับ ‘NPC’ คนนี้ต่อด้วย แต่ควบคุมให้เขาไปอาบน้ำแทน

……………………………………………………..

เมื่อผมโดนระบบครองร่าง

เมื่อผมโดนระบบครองร่าง

Status: Ongoing

จู่ๆ ก็มีดาวตกพุ่งลงมาที่โลก ทำเอาพื้นดินถึงกับสั่นไหวเล็กน้อย

แต่แรงสั่นสะเทือนนั้นกลับทำให้ 'ฟางหนิง' หัวโขกกับโต๊ะคอมพิวเตอร์จนสลบไป

ตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตัวเขามีระบบ ขณะที่กำลังจะดีใจว่าในที่สุดก็มีขาทองคำมาให้เกาะ

เจ้าระบบนั่นกลับประเมินว่าเขาเป็นโรคขี้เกียจระยะสุดท้าย ปล่อยไว้ไม่มีทางเจริญก้าวหน้า

และทำการยึดครองร่างของเขาซะงั้น!?

...

จากหนุ่มโอตาคุผู้แสนจะขี้เกียจที่ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยไปวันๆ

กลับต้องลุกขึ้นมาเปลี่ยนโฉมตนเองเป็นฮีโร่คอยปราบปรามเหล่าปีศาจร้าย

ปกป้องเมืองที่ตนอยู่อาศัย และฝึกวิทยายุทธ์เพื่อก้าวสู่จุดสูงสุดนิ้วทองคำของระบบ!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท