“พี่ไห่เฉิง เรื่องนี้คงต้องให้สำนักสัจธรรมช่วยตรวจสอบหาความจริงให้หน่อยแล้ว” ชายหนุ่มร่างผอมสวมแว่นตาที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าเอ่ยขึ้น
เขาขยับแว่นตาเล็กน้อยแล้วหันไปเอ่ยกับชายหนุ่มท่าทางหยิ่งผยองอีกคน
“เหอะ โม่ซิ่ง คราวนี้นายเจียมตัวบ้างแล้วสินะ ถึงพวกนายจะเป็นคนหน่วยกิจการพิเศษแต่ก็ต้องรู้จักประมาณตนบ้าง” ชายหนุ่มท่าทางหยิ่งผยองคนนั้นแค่นเสียง ก่อนจะก้าวเท้าไปเบื้องหน้าทุกคนทันที ทอดสายตามองศพในตู้แช่
ใบหน้าของคนอื่นๆ ฉายชัดถึงความลังเล แต่เมื่อเห็นท่าทางเฉยเมยของโม่ซิ่ง พวกเขาก็ข่มใจไว้ได้
ทันใดนั้นเอง กลางหว่างคิ้วของไห่เฉิงก็แยกออก ดวงตาสีเลือดน่าสยดสยองพลันปรากฏขึ้น
หลังจากดวงตานั้นปรากฏขึ้นแล้ว มันก็กะพริบไปมาสองสามครั้ง จากนั้นลำแสงสีฟ้าเจิดจรัสก็เปล่งออกมาสาดแสงไปทางศพ แสงสีฟ้ากวาดผ่านศพตั้งแต่หัวจรดเท้า
ผ่านไปครู่หนึ่ง ลำแสงสีฟ้านั่นก็หายไป
เมื่อมองไปที่ไห่เฉิงอีกครั้ง ดวงตาสีเลือดของเขาก็หายวับไปแล้ว หว่างคิ้วปิดสนิทราวกับไม่เคยแยกออกจากกันมาก่อน
ฉากนี้อาจดูน่าประหลาดสำหรับคนทั่วไป แต่สำหรับคนกลุ่มนี้กลับไม่มีใครเปลี่ยนสีหน้าเลยสักนิดเดียว
พวกเขาเพียงแค่มองไปทางไห่เฉิงด้วยแววตาคาดหวังและรอคอยคำตอบเท่านั้น
“ก็แค่ทักษะกระจอกๆ ทะลวงภูเขาทุบตีโคถึกเท่านั้น ไม่ทิ้งร่องรอยนิ้วมือและรอยฝ่ามือใดไว้ ตบะปราณแท้ดูท่าจะไม่เลวเลย น่าจะถึงขั้นสำแดงกำลังภายในได้ ความรู้และฝีมืออยู่ในระดับสุดยอดซึ่งหาได้ยากมาก คาดว่าคงเป็นเด็กดวงดีสักคนที่หลังจากเกิดดาวตกเพลิงเมื่อวานแล้วได้ความรู้ด้านวิทยายุทธ์ของผู้อาวุโสสักคนมา จนอดใจไม่ไหวต้องออกมาทำตัวเป็นฮีโร่”
“ไร้เดียงสาจริงๆ ต่อให้วรยุทธ์ปราณแท้ของเขาอยู่ระดับสูงแล้วจะทำอะไรได้ เพิ่งจะห่างจากก้าวแรกแค่ระดับเดียว การพัฒนาในอนาคตก็ยังมีข้อจำกัดอีกมาก หวังว่าเขาจะไม่เจอเรื่องยุ่งยากในช่วงนี้ก็แล้วกัน ดีที่นิสัยยังโอเค แต่ถ้าพวกนายสนใจก็ตามหาเขาเถอะ การเก็บเขาเป็นการทำความสะอาดระดับ F พวกฉันสำนักสัจธรรมก็ไม่จำเป็นต้องยุ่งเรื่องนี้แล้ว”
ไห่เฉิงละสายตาจากศพในช่องแช่แข็ง ตอนนี้ไม่มีอะไรน่าสนใจอีกแล้ว เขาเพียงแค่อธิบายออกมาเบาๆ
ได้ยินไห่เฉิงพูดเช่นนั้น กลุ่มคนที่รอคอยคำตอบอยู่ก็ไม่สามารถซ่อนความผิดหวังไว้ได้
โมซิ่งชายใส่แว่นเมื่อครู่ได้แต่ส่ายหัวหลังจากฟังคำพูดของไห่เฉิง เขาผิดหวังเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยปากสั่งการลูกน้อง”ฮ่าๆ สมกับเป็นคนของสำนักสัจธรรมจริงๆ ความสามารถเรื่องการย้อนรอยหาต้นตอนี่น่าอิจฉานัก แค่เวลาสั้นๆ ก็ตรวจสอบความแข็งแกร่งของฝ่ายตรงข้ามได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เอาล่ะ พวกนายก็ทำตามคำแนะนำของไห่เฉิงเถอะ สร้างไฟล์ประวัติของคนคนนี้เก็บไว้ แล้วใช้โค้ดเนมว่า ‘อัศวิน A’ ระดับพลัง F ระดับภัยคุกคามต่ำ ส่วนระดับความลับก็จัดให้เป็นประเภทความลับทั่วไป อย่าเพิ่งเสียเวลากับเขาดีกว่า”
“ครับ ผู้อำนวยการโม่” ใครบางคนก้าวออกมารับคำสั่ง
“เอาล่ะทุกคน แยกย้ายเถอะ ทำภารกิจของตัวเองต่อไป ให้ความสนใจกับพลังประเภทใหม่ก่อน พบเมื่อไรรายงานทันที แล้วก็อิงตามกฎเดิม คำนวณคะแนนประสิทธิภาพตามมูลค่าของประเภทพลัง…” โม่ซิ่งสั่งการคนอื่นๆ
ไห่เฉิงเดินออกจากห้องใต้ดินไปนานแล้ว และไม่สนใจการเคลื่อนไหวด้านล่างอีก เดิมทีคิดว่าจะได้พบพลังรูปแบบใหม่ หรือจะได้ลองใช้พลังที่แท้จริงของตนหลังจากเริ่มยุคสมัยใหม่ แต่กลับพบว่าครั้งแรกที่ได้ใช้นั้นกลับเป็นเพียงมดตัวหนึ่ง เสียเวลาเขาจริงๆ
ดูท่าจะต้องใช้เวลาอีกมากกว่าจะพบคู่ต่อสู้ที่ทัดเทียมกับเขาได้
เขาหันกลับไปมองก็เห็นเพียงป้ายแขวนประตูหน้าห้องใต้ดิน ด้านล่างตัวอักษรจีนคือตัวพินอิน ‘เท่อซูซื่อเจี้ยนเหลียนลั่วปั้นกงซื่อ’ แทนที่จะเป็นคำว่า ‘หน่วยประสานงานกิจการพิเศษ:’
คนของหน่วยกิจการพิเศษกระตือรือร้นกันมาก คงคิดจะควบคุมพลังพิเศษที่เป็นของพวกเขา แต่น่าเสียดาย ไม่ว่าพวกเขาจะรับคนเข้ามาใหม่สักเท่าไรก็เทียบกับคนที่ฝึกฝนกับพวกเขามานานไม่ได้
…
หลังจากปล่อยตัวฟางหนิงสามสิบนาที ระบบก็เริ่มทบทวนกิจวัตรประจำวันของ ‘การผดุงคุณธรรม’
จากการรับชมอย่างใกล้ชิดของฟางหนิง วันนี้ระบบตรวจพบโจรทั้งหมดสามคน โจรวิ่งราวสองคน…วิ่งตามตรอกเล็กตรอกน้อยมากมายนับไม่ถ้วน เส้นทางที่วิ่งในหนึ่งวันมากกว่าที่ฟางหนิงวิ่งในหนึ่งเดือนเสียอีก
ถึงแม้ความเร็วของระบบจะไม่ได้ช้า แต่ขอบเขตของกิจกรรมก็ยังจำกัดมาก ในหนึ่งวันสามารถค้นหาเจ้าพวกนี้ได้ก็ถือว่าไม่เลวเลย อีกอย่างเมืองฉีที่ฟางหนิงอาศัยอยู่ ผู้คนต่างใช้ชีวิตเรียบง่าย แม้จะเป็นเมืองหลวงมีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาจำนวนมาก ในทุกๆ วัน แต่กลับมีอาชญากรรมเกิดขึ้นนับครั้งได้
หลังจากอ่านระบบอยู่นาน ฟางหนิงก็เอาแต่ครุ่นคิด ไม่นานก็เข้าใจว่าทำไมระบบถึงไม่รับงานเชฟตามที่เขาคาดหวังไว้
แม้ว่าเขาจะขี้เกียจในระดับหนึ่ง แต่สมองของเขาไม่ได้เกียจคร้าน ตรงกันข้าม เขาเป็นพวกคิดมาก แต่ลงมือทำน้อย
ฟางหนิงใช้ประโยชน์จากตอนที่ระบบหยุดพักเสนอความคิดออกมา “คุณระบบ แกไม่คิดว่าประสิทธิภาพของแกต่ำเกินไปเหรอ แกผดุงคุณธรรมไปทั่ว ฉันดูออกนะ หนึ่งคือเพื่อค่าประสบการณ์ สองคือเพื่อสะสมเงิน ดูเหมือนแกจะมีแผนที่นำทางและเป้าหมายก็ชัดเจนทุกครั้ง แต่นี่มันก็เหมือนการเล่นเกม ต้องประมวลผลอย่างมืออาชีพlbถึงจะมีประสิทธิภาพสูง ระบบหลังบ้านก็คือระบบหลังบ้าน การต่อสู้คือการต่อสู้”
“โฮสต์หมายถึงอะไร” ประโยคหนึ่งปรากฏขึ้นในหัวฟางหนิง ทำให้เขารู้ว่าตนมาถูกทางแล้ว
“ง่ายมาก แกแค่ต้องแยกภารกิจในการหาเงินและรับค่าประสบการณ์ออกจากกัน การหาเงินก็อย่างที่ฉันบอกไปเมื่อเช้า เราไปทำอาหาร ประสิทธิภาพสูงกว่าที่แกพาไปทำงานใต้ดินแบบนั้นเป็นแสนเท่า ส่วนภารกิจอัปเกรดค่าประสบการณ์ ฉันขอถามแกหน่อย แกต้องสู้กับอาชญากรเพื่อรับค่าประสบการณ์อย่างเดียวเลยเหรอ เป็นคนอื่นไม่ได้เลยเหรอ”
ระบบที่ครองร่างฟางหนิงไว้ดูเหมือนกำลังทบทวนบางอย่าง และขณะที่ฟางหนิงกำลังจะหมดความอดทนมันถึงให้คำตอบ
“ระบบถูกจำกัดด้วยคุณลักษณะกล้าหาญ ไม่สามารถโจมตีผู้บริสุทธิ์ได้ และไม่สามารถฉกทรัพย์สินจากผู้บริสุทธิ์ได้”
ได้ยินแบบนั้น ฟางหนิงก็ผุดยิ้มเล็กน้อย เขาเดาไว้แล้วว่าคำตอบน่าจะประมาณนี้ เพราะตั้งแต่วันนี้มาเขาได้เห็นกระบวนการผดุงคุณธรรมอยู่หลายครั้ง เห็นได้ชัดว่าระบบมีโอกาสชิงทรัพย์เพื่อให้มีเงินมากขึ้น แต่มันกลับเมินเฉยราวกับมองไม่เห็น
“ฉันจะออกแบบฉากแสดงให้แกเห็นว่าอะไรที่เรียกว่าการบดขยี้ไอคิว” หลังจากฟางหนิงแน่ใจเรื่องข้อจำกัดของระบบแล้ว เขาก็เริ่มมั่นใจทันที พลังเครื่องมือของเขาย่ำแย่เกินไป แต่หากพูดถึงสติปัญญาและพลังการจินตนาการ เขายังคิดว่าสามารถชนะใครหลายคนได้
“รีบพูดสิ!” เป็นครั้งแรกที่ระบบเป็นฝ่ายกระตุ้น เห็นได้ชัดว่าระบบมีแรงจูงใจที่ต้องการจะปรับปรุงความสามารถตัวเองมากทีเดียว
“เราสามารถหาของมีค่าบริจาคให้องค์กรสักองค์กรหนึ่ง จากนั้นก็ปล่อยมันกระจายไปทั่วประเทศหรือทั่วโลก จะต้องมีอาชญากรจำนวนมากออกตัวมาขโมยมันอย่างแน่นอน แค่นี้เราก็สามารถนั่งรอเก็บกวาดพวกสัตว์ประหลาด ส่วนพวกสัตว์ประหลาดจะมากน้อยแค่ไหนก็ต้องดูมูลค่าสมบัติที่เราจะปล่อยออกไป ถ้ามันธรรมดาก็คงมีมาแค่ไม่กี่คน แต่ถ้ามีจุดพิเศษอย่างพวกที่สามารถชุบตัวให้กลับเป็นหนุ่มสาวได้ หรือไม่ก็ทำให้พลังเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวอะไรพวกนั้น ผู้คนย่อมหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสายแน่
“แกต้องรู้ก่อนว่าความโลภของผู้คนไม่มีที่สิ้นสุด ในประวัติศาสตร์มีคนตายเพราะมันไปไม่รู้ตั้งกี่คนแล้ว ส่วนคนที่มาแย่งชิงของพวกนั้น ถึงแม้ตอนแรกเขาจะบริสุทธิ์ แต่นับตั้งแต่ที่เขาตัดสินใจจะแย่งสมบัติและวิ่งมาหาเรา แกก็น่าจะเก็บกวาดเขาได้เหมือนกัน”
ฟางหนิงอธิบายแผนการที่เขาวางไว้ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนการที่ง่ายที่สุด แม้เขาจะมีแผนการที่ซับซ้อนกว่านี้อีกมาก แต่แผนพวกนั้นก็เสี่ยงเกินไป เขากลัวที่จะขุดหลุมลึกเกินไปจนขาใหญ่ของระบบจมลงไป
‘ระบบกำลังพิจารณา…’
ฟางหนิงเห็นการแจ้งเตือนดังกล่าวก็ไม่กังวลอีก
ไม่นานหลังจากนั้น ข้อความใหม่ก็แจ้งมาจากระบบ
“ความคิดของโฮสต์ดีมาก แต่ด้วยระดับและความสามารถของระบบในปัจจุบัน ไม่เพียงพอที่จะสร้างสมบัติดังกล่าว”
ฟางหนิงแอบดูถูก “แกน่าจะมีพวกร้านค้าระบบอะไรเทือกนั้นสิ แกเป็นระบบ น่าจะหยิบอะไรจากในนั้นมาใช้ได้ฟรีใช่ไหม”
“ไม่มีร้านค้าระบบ”
“ถ้าอย่างนั้นแพ็คเกจของขวัญสำหรับผู้เล่นใหม่ล่ะ”
“ไม่มีเหมือนกัน”
“แล้ววงล้อสุ่มของล่ะ”
“ไม่มีอะไรแบบนั้นหรอก”
“แล้วตอนนี้แกมีอะไรบ้าง”
ระบบแสดงผลลัพธ์ของการ ‘ผดุงคุณธรรม’ อย่างหนักตลอดหนึ่งวันหนึ่งคืนให้ฟางหนิงดูเงียบๆ เงินสดบ้าง แหวนบ้าง นาฬิกาบ้าง…
ฟางหนิงเห็นแล้วก็นิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่ ได้แต่ถามกลับไปว่า “แกต้องมีความสามารถแบบไหน แล้วต้องถึงเลเวลไหนถึงจะสร้างสมบัติพวกนั้นได้”
“ความแข็งแกร่งทางกายภาพถึงสิบแต้มขึ้นไป และต้องอยู่เลเวลห้าขึ้นไป รวมถึงต้องเก็บตัวฝึกพลังทักษะตีเหล็กให้ถึงระดับสามก็จะสร้างอาวุธเทพได้ อาวุธเทพบางอย่างน่าจะตอบสนองความต้องการของแผนที่โฮสต์วางไว้ ตราบใดที่โฮสต์ใช้ค่าประสบการณ์ที่เหมาะสมรวมกับวัสดุบางอย่าง โฮสต์ก็สามารถสร้างอาวุธเทพที่มีความสามารถพิเศษได้”
ฟางหนิงคำนวณเงียบๆ ระบบทำงานมาหนึ่งคืนกับอีกหนึ่งวันแล้ว ต้องใช้เวลาอีกหน่อยกว่าจะถึงเลเวลสอง งั้นการจะถึงเลเวลห้าคงใช้เวลาไม่นานนัก ก่อนหน้านี้ที่ความแข็งแกร่งทางกายภาพเพิ่มขึ้น ระบบแจ้งเตือนว่า ‘ความแข็งแกร่งทางกายภาพเพิ่มขึ้นหนึ่งแต้ม ตอนนี้มีหกแต้ม’ เขายังจำได้
กว่าจะถึงสิบแต้มยังต้องการอีกสี่แต้ม นั่นคือต้องอัปเกรดอีกสี่ระดับซึ่งอันที่จริงต้องอัปเกรดอีกหกระดับ แต่ยังต้องเก็บตัวฝึกพลังทักษะตีเหล็กให้ถึงระดับสามอีก อันนี้ต้องใช้เวลาอีกเท่าไรกัน
เขาถามระบบทันที
ระบบตอบกลับอย่างรวดเร็ว “การตีเหล็กต้องเก็บตัวฝึกพลัง และการเก็บตัวฝึกพลังเพื่อทักษะการใช้ชีวิตต้องใช้ทั้งเวลาและอุปกรณ์ สถานที่เก็บตัวฝึกพลังอยู่ในพื้นที่ของระบบหรือก็คือกระเป๋าระบบที่โฮสต์เห็นก่อนหน้านี้ นั่นไม่ได้เรียกว่ากระเป๋าของระบบ แต่เป็นพื้นที่ของระบบ”
“ฉันไม่เห็นว่ามันจะมีสถานที่เก็บตัวฝึกพลังที่สามารถอัปเกรดทักษะการสร้างสิ่งของได้เลย”
“ก่อนหน้านี้คิดว่าไม่มีประโยชน์ที่จะแสดงให้โฮสต์เห็นจึงบล็อกมันไว้” ระบบตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน
“งั้นตอนนั้นฉันก็ดูได้แล้วใช่ไหม” ฟางหนิงดูถูกประโยชน์ของระบบ แต่ก็จนปัญญากับตาแก่นี่
ทันใดนั้นพื้นที่ใหม่ของระบบก็ปรากฏขึ้นในหัวฟางหนิง นอกจากของที่ยึดมาได้ มันก็ไม่ว่างเปล่าอีก มีร้านตีเหล็กที่เตากำลังเผาไหม้ร้านหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา
ฟางหนิงเพ่งมองก็พบว่า แม้ร้านตีเหล็กนี้จะดูเรียบง่าย แต่ก็เต็มไปด้วยเครื่องไม้เครื่องมือมากมาย เช่น เตาสูบลม ค้อนขนาดใหญ่และขนาดเล็ก ที่คีบเหล็ก ทั่งตีเหล็ก ถังเก็บน้ำ รางน้ำ อุปกรณ์จำเป็นสำหรับตีเหล็กล้วนมีครบครัน สิ่งเดียวที่ขาดหายไปคือเหล็กและถ่านหิน ดูเป็นร้านตีเหล็กโบราณที่สมบูรณ์แบบร้านหนึ่ง
ทว่า สถานที่เรียบง่ายเช่นนี้จะสร้างอาวุธเทพได้อย่างไร ฟางหนิงคิดได้แค่ว่าคงใช้ได้เฉพาะกับพลังของตาแก่ระบบเท่านั้น ไม่สามารถใช้วิทยาศาสตร์สมัยใหม่มาสร้างมันได้
หลังจากฟางหนิงดูร้านตีเหล็กเสร็จแล้ว เขาก็ถามขึ้นทันที “คุณระบบ ในเมื่อสิ่งนี้เป็นของแก ระบบก็คือตัวแกเอง ทำไมแกไม่ตั้งค่าตัวเองให้เป็นนักตีเหล็กระดับเต็มเล่า ระดับเต็ม พลังเต็ม ทำไมถึงต้องฝึกทีละขั้นด้วย นี่มันไม่ใช่เกมนะ และแกก็ไม่ใช่มนุษย์ ไม่จำเป็นต้องสนุกกับการเก็บเลเวลสักหน่อย”
……………………………………………………………