บทที่ 25 คิดมากเกินไป
หลังจากภารกิจตอบแทนบุญคุณสำเร็จลุล่วงแล้ว ฟางหนิงก็รู้สึกราวกับกันตนเองได้ปลดเปลื้องภาระหนักอึ้งออกไป ร่างกายและจิตใจของเขาสงบลงมาก ความรู้สึกที่เคยห่อเหี่ยวก็เบาบางลง
ระบบเห็นแบบนั้นก็เข้าใจว่านับจากนี้ฟางหนิงจะเลิกเล่นเกมและอ่านนิยายแล้วจะกระตุ้นตัวเองให้ฮึกเหิม แต่คาดไม่ถึงว่าฟางหนิงจะเล่นอย่างมั่นใจมากขึ้น…
ก่อนหน้านี้เขายังรู้สึกละอายเวลาเล่นไม่มากก็น้อย ตอนเล่นก็ค่อนข้างเกรงใจ ถ้าระบบเรียกตัวเมื่อไรก็มา…
แต่ตอนนี้น่ะสิ ถึงวันงานเปิดตัวยาของตระกูลฉีแล้ว หมอนี่ยังคงต่อสู้ในเกมออนไลน์จนลืมวันลืมคืน ขณะเดียวกันยังไม่ลืมเปิดคอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่งเพื่อรอการแจ้งเตือนของนิยายตอนใหม่ …
ฟางหนิงลืมวันลืมคืนจนระบบแทบไร้ตัวตน
“โฮสต์ คุณบอกว่าจะไปงานเลี้ยงเปิดตัวยาของตระกูลฉีเพื่อประมูลยาวิเศษนั้นเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับอาการบาดเจ็บในอนาคตไม่ใช่หรือ ทำไมโฮสต์ถึงลืมมันไปได้ล่ะ” ระบบที่กำลังฝึกฝนกำลังภายในอดเอ่ยเตือนชายหนุ่มคนหนึ่งที่ติดเกมงอมแงมทั้งวันทั้งคืนไม่ได้…
“อ๋อ เรื่องนั้นเหรอ ตอนนี้ไปหรือไม่ก็ไม่เป็นไรหรอก” ฟางหนิงกำลังเล่นเกมต่อสู้ล้อมเมืองอยู่ เขาใช้อาวุธใหม่ที่แอบใช้เงินหมื่นหยวนซื้อมาฟันศัตรูของสมาคมตายพลางพูดขึ้นอย่างไม่แยแส
ในเมื่อเหตุผลที่เขาอยากไปในตอนนั้นคือดูว่ายานั่นจะมีความสามารถมหัศจรรย์งอกแขนขาที่ขาดไปได้หรือไม่ แต่ตอนนี้ผู้มีพระคุณได้ใส่ขาเทียมที่ระบบผลิตให้แล้ว เท่ากับได้ขาแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นคู่หนึ่ง ดีกว่าขามนุษย์อย่างเดิมมากทีเดียว
ระบบแจ้งเตือน: คุณถูกตัดการเชื่อมต่อ
“ชิบหาย…” ฟางหนิงสบถ กำลังจะแย่งเมืองสำเร็จแล้วแท้ๆ แต่แล้วอินเทอร์เฟซเกมออนไลน์บนหน้าจอของเขาก็กลายเป็นสีเทา ฟางหนิงใบหน้าตะลึงงัน
ฟางหนิงพลันตระหนักได้ทันทีว่าราคาของการล้อเล่นระบบนั้นไม่ธรรมดาเลย ก่อนหน้านี้เขาประกาศตัวว่าจะไปประมูลยาวิเศษของตระกูลฉีเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับอาการบาดเจ็บ
“ก็ได้ๆ ฉันจะไปเดี๋ยวนี้…” ฟางหนิงรู้ดีว่าทำไมระบบถึงอยากให้ตัวเองไปร่วมงานนั่น
ถ้าให้ระบบออกหน้าเองคงจะวุ่นวายเละเทะ แม้แต่การสนทนาในงานเลี้ยงมันก็ยังไม่คล่อง มีหวังต้องทำให้คนอื่นไม่พอใจแน่ ความตั้งใจแรกของฟางหนิงแค่อยากจะซื้อของเท่านั้น แต่ขืนไปล่วงเกินใครเข้า แค่ไม่ถูกเฉดหัวออกไปจากงานก็ดีเท่าไหร่แล้ว
นอกจากนี้อัศวิน A ยังมีสถานะลึกลับไม่เปิดเผยตัวตนอีกด้วย นั่นสามารถช่วยให้ระบบทำตามอำเภอใจได้มากทีเดียวและยังเยาะเย้ยคนอื่นได้อย่างสบาย
ระบบแจ้งเตือน: การเชื่อมต่อเครือข่ายของคุณใช้งานได้แล้ว
แต่ตอนนี้สายไปแล้ว ฟางหนิงมองแอนิเมชั่น PK ที่กลับมาอีกครั้งแล้วก็รู้สึกอึ้ง ตัวละครในชุดนักรบหรูหราหมื่นหยวน ยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนเพราะถูกตัดการเชื่อมต่อ จึงถูกศัตรูสมาชิกสมาคมสองสามคนฉวยโอกาสล้อมไว้ ทักษะที่ปล่อยออกมาต่อเนื่องทั้งมึนงงทั้งลดเป็นผลกให้ถูกล้อมฆ่าตาย หลังจากดูแอนิเมชั่นแล้ว ฟางหนิงก็อยากจะร้องไห้ออกมา
นอกจากนี้ยังมีสมาชิกสมาคมในเกมที่ล้อเลียนเขาไม่หยุดหย่อน
“เกิดอะไรขึ้น ประธานใหญ่ของเราเมื่อกี้ยังไร้พ่าย ฟันไปหลายคนติดๆ เมืองหลักนั่นใกล้จะกลับมาอยู่ในมือพวกเราแล้ว ทำไมถึงยืนเฉยไม่ขยับล่ะ แต่ถูกไอ้พวกนี้ล้อมฆ่าตาย หมายความว่ายังไง”
“ไม่ต้องบอกก็รู้ถูกแฟนดึงสายไฟแน่ๆ”
“XX ถูกประธานสั่งห้ามพูดยี่สิบสี่ชั่วโมง”
“ฮ่าฮ่า พูดแทงใจแล้วล่ะสิ!”
“XXX ถูกประธานสั่งห้ามพูดสามสิบวัน”
พวกแกกล้าดียังไงมาล้อเลียนคนโสดอย่างฉัน ไม่เตะโด่งพวกแกออกจากสมาคมอันดับหนึ่งเพราะใจอ่อนเห็นแก่เพื่อนเก่าต่างหากล่ะ
อีกอย่างระบบไม่ใช่มนุษย์ ผู้หญิงเทียบความร้ายกาจของมันไม่ได้เลยสักนิด แกอย่าทำร้ายฉัน ฟางหนิงพึมพำแล้วกลับมาครองร่างตัวเอง
ระบบพอใจแล้วจึงกลับไปฝึกฝนต่อ
…
ฟางหนิงเข้าร่วมงานเปิดตัวที่จัดขึ้นโดยตระกูลฉีเพียงลำพัง เดิมทีเขาคิดว่าจะเรียกจ้าวอิ๋งมาช่วยให้บรรยากาศไม่กระอักกระอ่วนดีไหม
เขาเข้าใจว่าอีกฝ่ายน่าจะชอบงานแบบนี้มากๆ เพราะผู้ชายฐานะดีล้วนมารวมตัวกันที่นี่
แต่คิดไม่ถึงว่าพอโทรไปหาจ้าวอิ๋งแล้ว เธอจะบอกว่ากำลังเรียนภาษาอังกฤษอยู่ พร้อมทั้งเอ่ยปฏิเสธไม่อยากมาร่วมงาน และเมื่อถามถึงจุดประสงค์ที่เธอไปเรียนภาษาอังกฤษ จ้าวอิ๋งก็บอกว่าเธอมีแผนที่จะพัฒนาร้านเก่า ‘รสชาติของฟางซื่อ’ ให้เป็นร้านอาหารใหญ่ระดับนานาชาติ สร้างรายได้จากต่างชาติ แต่เธอหารู้ไม่ว่าปัญหาเรื่องปริมาณเครื่องปรุงรสอยู่เหนือการควบคุมของเถ้าแก่ฟางหนิงคนนี้…
ฟางหนิงนับถือความมุ่งมั่นของอีกฝ่ายมาก ช่วงไม่กี่เดือนนี้เมื่อธุรกิจขยับขยายไปถึงระดับหนึ่ง เขาก็แบ่งเงินปันผลของร้านให้สาวสวยที่เป็นพนักงานเก่าแก่ อีกฝ่ายย่อมมีแรงจูงใจที่จะพัฒนาร้านเก่า แน่นอนว่ามันใหญ่โตแล้ว คนที่ได้ประโยชน์มากที่สุดคือเจ้านายอย่างเขาที่ถือหุ้นทั้งหมด
เขาอยากรู้ว่าการเรียนของอีกฝ่ายรุดหน้าไปถึงไหนแล้ว จึงลองพูดภาษาอังกฤษกับเธอ กลับพบว่าจ้าวอิ๋งใช้เวลาเรียนไปไม่น้อยเลย แต่ยังได้แค่ระดับน้ำครึ่งขวด ถ้าพูดช้าๆ ชัดๆ เธอพอจะฟังออกบ้าง แต่ถ้าพูดเร็วหน่อยก็ไม่ไหว
เรื่องนี้ทำให้ฟางหนิงรู้สึกภูมิใจขึ้นมาบ้าง หลังจากเปิดอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ระบบได้สองเดือน เขาก็เชี่ยวชาญภาษาอังกฤษ ฟัง พูด อ่าน เขียนไม่มีปัญหา เล่นเกมของต่างชาติที่คิดขึ้นใหม่ได้โดยไม่ต้องไปเที่ยวหาเวอร์ชันภาษาจีน ใช้ภาษาอังกฤษกับพวกนักเล่นเกมต่างชาติได้คล่องแคล่วและได้รับคำชมมากมาย
ฟางหนิงนอกจากจะมีความสุขแล้ว เขายังคาดเดาว่าความสามารถการเรียนรู้ของตัวเองที่เพิ่มขึ้นน่าจะมาจากอิทธิพลของระบบที่ใช้พลังงานภายในทุกวันและยังกินอาหารบำรุงด้วย นั่นช่วยให้เขาที่มีความจำพอใช้ได้อยู่แล้วดียิ่งขึ้นไปอีก ความสามารถในการทำความเข้าใจก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย สติปัญญาและจินตนาการก็ดีขึ้นทุกวัน
เมื่อรู้แล้วว่าจ้าวอิ๋งปฏิเสธที่จะมาร่วมงาน ฟางหนิงจึงเป็นเพียงเจ้านายในนามแต่ไม่มีมาดของเจ้านายและไม่มีทางฝืนใจคนอื่นได้เลย ยิ่งจ้าวอิ๋งออกปากด้วยว่าจะพัฒนาร้านของเขาให้ดีขึ้น เขายิ่งไม่มีสิทธิ์คัดค้าน
ฟางหนิงสุ่มหาร้านแบรนด์หนึ่ง และขอให้พนักงานจับคู่ชุดปาร์ตี้ระดับไฮเอนด์แล้วเหมาซื้อมันมาทั้งหมด เสื้อผ้าทั้งชุดราคาเจ็ดแปดหมื่นหยวน พนักงานสาวสวยมีความสุขมากจนเรียกเขาว่าเถ้าแก่สุดหล่อ
หลังจากนั้นเขาก็นั่งรถแท็กซี่ไปยังสถานที่หรูหราตามที่ระบุไว้ในบัตรเชิญ… ถึงแม้ว่าเขาจะนั่งรถแท็กซี่ ก็ไม่เห็นว่าคนเฝ้าประตูคนใดส่งสายตาดูแคลนให้
เพราะเขาถือบัตรเชิญในมือจึงเข้าไปได้ราบรื่น โดยมีเจ้าหน้าที่ต้อนรับนำทางไปหาที่นั่งของตนเอง
สถานที่จัดงานเป็นห้องจัดเลี้ยงที่วิจิตรบรรจง โต๊ะจัดเลี้ยงพร้อมโต๊ะอาหารระดับไฮเอนด์วางเรียงเป็นระเบียบ ด้านบนมีโต๊ะยาววางสินค้า
บนโต๊ะจัดเลี้ยงแต่ละโต๊ะจะมีป้ายทองหนึ่งป้ายหรือสองสามป้ายที่มีชื่อต่างกัน
ฟางหนิงเดินตามเจ้าหน้าที่ต้อนรับไปที่นั่งของเขา แต่แล้วก็ได้ยินใครบางคนเรียกชื่อ
“ประธานฟาง ทางนี้ ทางนี้” ไม่ไกลนัก ชายวัยกลางคนรูปร่างอ้วนท้วนกำลังโบกมือให้เขา ข้างกายของอีกฝ่ายคือหญิงสาวในชุดราตรีสีขาว
“ประธานจ้าว มาถึงเร็วจัง สวัสดี สวัสดี ท่านนี้…” ฟางหนิงเดินเข้าไปทักทายอย่างสุภาพ
“ลูกสาวของผมเอง หลิ่วเหยา เหยาที่หมายถึงพลิ้วไหวตามสายลม ใช้นามสกุลตามแม่ ปีนี้เพิ่งจะอายุยี่สิบ เหยาเหยา มารู้จักกับประธานฟางสิ ประธานฟางยังหนุ่มแน่นมีอนาคตดี (มีทรัพย์สมบัติมากมาย) และนิสัยดีมาก (อยู่บ้านทุกวัน) แตกต่างกับพวกเสเพลเที่ยวเตร่ทั้งวันลิบลับ”
ประธานจ้าวเป็นคนรูปร่างอ้วนท้วมจิตใจดี เขาแนะนำหญิงสาวที่อยู่ข้างๆ ให้ฟางหนิงรู้จัก แต่เขาเป็นกันเองเกินไปหน่อย อย่างน้อยก็มากเกินไปหน่อยในความรู้สึกของฟางหนิง
ฟางหนิงเหลือบมองหญิงสาวที่ดูบอบบางราวกับตุ๊กตากระเบื้องเคลือบและดูขี้อายเล็กน้อย
ตอนที่เธอมองฟางหนิง ดูเหมือนว่าจะเข้าใจความหมายที่พ่อของเธอต้องการจะสื่ออย่างกระจ่างชัด แก้มของเธอแดงเรื่อราวกับตุ๊กตากระเบื้องเคลือบแต้มสีชาด เธอก้มศีรษะลงเล็กน้อยแล้วทักทายฟางหนิง “สวัสดีค่ะ คุณฟาง”
“สวัสดีครับ คุณหลิ่ว” นับเป็นครั้งแรกที่ฟางหนิงเห็นว่าผู้หญิงดูบอบบางได้ขนาดนี้ ความจริงแล้วเขาอยากจะมองให้นานหน่อยว่าเธอไปทำศัลยกรรมมาหรือเปล่า แต่เพราะพ่อของเธออยู่ด้วย จึงได้แต่มองแวบเดียว
“นั่งก่อนครับๆ ผมขอให้พวกเขาจัดโต๊ะให้เราแล้ว พวกเรามานั่งคุยกันก่อนเถอะ อีกสักพักทุกคนถึงจะมาพร้อมกัน ตอนนี้เพิ่งทุ่มนิดๆ เอง กว่างานจะเริ่มก็สองทุ่ม” ประธานจ้าวทักทายฟางหนิงอย่างสนิทสนมแล้วทั้งสามก็นั่งลงที่โต๊ะจัดเลี้ยงของพวกเขา
หลิ่วเหยาเงียบมาก หลังจากนั่งลงแล้วเธอก็ไม่พูดอะไรและไม่ชำเลืองมองเขาเลย เพียงนั่งเงียบๆ อย่างนั้นราวกับต้นหลิ่วลู่ลมและกล้วยไม้หลบเร้นกลางหุบเขาร้าง ทุกวันนี้หายากนักที่จะเห็นผู้หญิงอ่อนโยนที่เงียบขรึมงามสง่าเช่นนี้
ฟางหนิงนั่งตัวตรงอยู่อีกด้านของประธานจ้าว แสร้งทำเป็นไม่ชำเลืองมอง…
ประธานจ้าวเป็นคนที่ถนัดเข้าสังคม มีประสบการณ์เต็มเปี่ยมและเข้าใจทักษะการสนทนาเป็นอย่างดี
ส่วนโอตาคุเช่นฟางหนิงเมื่อพูดคุยกับอีกฝ่ายก็พบว่าเขาไม่ได้อึดอัดมากและมีหัวข้อเรื่องที่จะสนทนา
ทั้งสองพูดคุยเกี่ยวกับสภาพอากาศช่วงนี้และสถานการณ์ปัจจุบัน ต่างแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างถูกคอ
เวลาผ่านไปได้สักพัก ทั้งสองก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามา หลังจากนั้นน้ำเสียงบาดหูก็ดังขึ้น “โอ้ ดูท่าทางประธานจ้าว จะเป็นกันเองมากเลย สงสัยจะเหมือนกับเขาลือกันว่าอยากจะหาผู้มีพลังพิเศษขยะมาเป็นเขยสินะ”
ฟางหนิงฟังแล้วก็ตะลึง เขาไม่ได้หันมองประธานจ้าว แต่กลับมองไปทางหลิ่วเหยาอย่างระมัดระวังจากมุมมองของระบบ ก็เห็นเพียงใบหน้าอีกฝ่ายแดงเรื่อ แต่ไม่มีวี่แววว่าเธอจะปฏิเสธหรือรังเกียจ
เขาแอบดีใจเล็กๆ ผู้หญิงเงียบๆ แบบนี้เป็นผู้หญิงแบบที่เขาชอบ แม้ว่าคนนั้นจะพูดจาไม่เข้าหู แต่ตอนนี้ในหัวของเขากลับนึกถึงเรื่องอื่นไปแล้ว เอ๊ะ ถ้าตกลงจะแต่งงานกัน ก็จะอยู่แต่บ้านเล่นเกมต่อไปไม่ได้แล้วน่ะสิ ถ้าแต่งงานแล้วเอาแต่อยู่บ้านเล่นเกมล่ะก็…จะดูเหมือนเป็นผู้ชายที่ไม่เอาไหนหรือเปล่านะ
ตอนนั้นเองก็มีข้อความแจ้งเตือนจากระบบเด้งขึ้นมา: ระบบต้องอัปเกรดเป็นเลเวล 100 ก่อน ถึงตอนนั้นโมดูลการแต่งงานจะเปิด
‘อ๋อ ที่แท้ฉันก็คิดมากไป…’ ฟางหนิงรำพึงในใจ
……………………………………………………..