“เป็นไปได้ยังไง!?” เฉียวจื่อเจียงเกือบจะตะโกนออกมาด้วยความประหลาดใจ ทันทีรู้ว่าสายตาอื่นกำลังจ้องมาด้วยจึงเปลี่ยนเป็นกระซิบกระซาบแทน “นักดาบไร้ปราณี เจ้าเด็กทึ่มคนนั้น ที่ฝึกตนด้วยวิถีอันโหดเหี้ยม เขาเคยกล่าวไว้ว่าจุดสูงสุดของความโหดเหี้ยม ก็คือไร้ตัวตนและไร้มนุษย์ ไร้สีไร้ความจริง และไร้สรรพสิ่งเคลื่อนไหว อัศวิน A ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นเพียงไม่กี่เดือน ไม่ว่าเขาจะฝึกฝนได้เร็วแค่ไหนเขาก็สามารถไปจุดนั้นได้ ไม่นะ พี่ชาย คนคนนี้อันตรายเกินไป!”
เฉียวจื่อชานพยักหน้าและส่งเสียงกระซิบ “ตอนนี้มีความเป็นไปได้สองทางที่เกี่ยวข้องกับตัวตนของเขา อย่างแรกคือเขาเป็นอัศวินที่ได้รับการฝึกฝนอันลึกล้ำนอกอาณาจักร จุดประสงค์ของการมายังโลกของเราเป็นสิ่งเดียวกันกับจอมมารเจ็ดอารมณ์ ระดับความยากประเภทนี้อยู่ในจุดที่สูงเกินไป ความแข็งแกร่งจึงลดลงอย่างมาก ความเป็นไปได้อีกประการหนึ่งก็คือความคิดและจิตวิญญาณของอัศวินบางคน ต้องการนำตราประทับโลหิตชุบร่างมนุษย์บนโลกนี้ให้ฟื้นขึ้นมา ระดับความยากประเภทนี้ต่ำกว่ามาก และเหมาะสำหรับการขยายกองทัพ กรณีนี้สำหรับผู้ที่ฟื้นขึ้นมาจะถือตนว่าเป็นปีศาจ สิ่งนั้นจะอยู่ในการต่อสู้ของจิตสำนึก หากจิตสำนึกของทายาทมีชัย จิตสำนึกของมนุษย์ก็จะอ่อนแอลง ท้ายที่สุดจิตสำนึกของทายาทก็จะเข้าครอบงำและค่อยๆ ปลูกฝังให้คืนกลับสู่รูปแบบเดิม”
เฉียวจื่อเจียงกล่าวขึ้นบ้าง “สำนักสัจธรรมและหน่วยกิจการพิเศษในท้องถิ่นไม่เคยพบตัวตนของเขาในโลกนี้เลย ดังนั้นมันอาจเป็นเขาในอดีต ถ้าเราค้นข้อมูล แล้วไม่พบก็ไม่แปลก แต่หนูกลับหวั่นใจอยู่เรื่องหนึ่ง แต่ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะบอกคนอื่น ตอนนี้สังเกตเขาไปก่อนดีกว่า”
ขณะที่เฉียวจื่อเจียงกล่าว ก็เหลือบมองไปทางอัศวิน A ที่นั่งอยู่เงียบๆ
อีกฝ่ายนั่งกินข้าวอยู่โต๊ะไม่ห่างจากพวกเขามากนัก จากมุมนี้นับว่ามองเห็นได้ชัดเจน
เฉียวจื่อเจียงพิจารณาอย่างรอบคอบ พลางคิดว่าโครงหน้านั้นช่างขาวเรียวบางเสียจริง ขัดกับความสุขุมต่างจากพี่ชายโดยสิ้นเชิง ทว่ามีใบหน้าที่เรียบนิ่งและสง่างามไม่น้อยเลย
ขณะที่กินอาหารรสชาติลึกล้ำพวกนั้น ใบหน้ากลับไร้อารมณ์ความรู้สึกร่วมด้วยราวกับเคี้ยวขี้ผึ้ง ไม่มีอะไรที่ทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจและตัวสั่นอย่างเช่นเมื่อครู่นี้ บางทีอาจเพราะอาการเบื่ออาหารก็ได้ แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะมีน้ำหนักตัวที่สูงเกินเกณฑ์ ในทุกวันจึงไม่เบื่อหน่ายกับการกินดื่ม
เขากักเก็บลมหายใจทั่วร่างให้กลมกลืนกับคนธรรมดา แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเห็นว่าตนมีวิทยายุทธ์ในตัว ทว่าจากวิดีโอและข้อมูลไม่มีทางผิดเพี้ยน ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะเชี่ยวชาญวิชาการสกัดกลั้นลมหายใจเช่นกัน เพื่อต้องป้องกันการลอบโจมตี
อย่าคิดว่าฉากในวิดีโอ ขึต้องมีฉากเปิดอย่าง “เสียงดังเปรี้ยงบนท้องฟ้า เวลาตัวเอกออกมาพร้อมกับแสงระยิบระยับ” ตามแบบฉบับเลย ในวิดีโอเขากลับทำแบบเดียวกันกับตอนที่ลอบฆ่าจอมมารเจ็ดอารมณ์จากด้านหลัง
นี่อาจเป็นร่างจริงของอีกฝ่าย ถ้าเป็นไปตามที่ฉันนั้น เห็นทีคงต้องทดสอบกันสักหน่อย
เมื่อถึงตรงนี้ แมลงวันก็ปรากฏขึ้นบนปลายนิ้วของเฉียวจื่อเจียงและบินไปอย่างเงียบเชียบ ไปยังจานที่อยู่ถัดไปของอัศวิน A
ทันใดนั้นไอสีขาวก็พร่างพราย ทันทีที่เกิดเสียงดัง ‘ปัง’ แมลงวันก็หายไปในอากาศราวกับฟองสบู่
เฉียวจื่อซานเอ่ย “พี่รู้ว่าเธอต้องการทดสอบรายละเอียดของเขา แต่อย่าให้ร้านต้องกระทบไปด้วยสิ แม้อัศวิน A จะฝึกฝนด้วยวิถีอันโหดเหี้ยม แต่เขาคงไม่สนใจแมลงวันตัวหนึ่งหรอก หากเป็นคนอื่นเห็นว่ามีแมลงวันอยู่ในจาน ชื่อเสียงของร้านอาหารที่เจริญรุ่งเรืองแห่งนี้คงจะต้องถูกทำลายแน่นอน อย่างน้อยคนชั้นสูงเหล่านั้นก็จะไม่มาที่นี่อีก”
เฉียวจื่อเจียงก้มศีรษะลง “พี่ชายพูดถูกแล้ว หนูประมาทเอง หนูจะเปลี่ยนไปใช้วิธีอื่นก็แล้วกัน”
เมื่อพูดจบ เฉียวจื่อจางก็กางฝ่ามือออก ทันใดนั้นงูดำโปร่งแสงก็ปรากฏขึ้น
เฉียวจื่อซานพยักหน้าอย่างกังวล “แม้ว่าคนอื่นจะมองไม่เห็นเสี่ยวหลง แต่หากปล่อยมันไปทดสอบ มันจะเป็นอันตรายได้”
เฉียวจื่อเจียงตอบ “ไม่เป็นไร อัศวิน A ไม่เคยทำร้ายผู้บริสุทธิ์ แค่จะดูว่าเขามีทัศนคติอย่างไรต่อมนุษย์ต่างดาวเหล่านี้ เสี่ยวหลงเกิดจากรากฐานของหนูโดยอาศัยวิญญาณของปีศาจงูชั่วร้ายที่ถูกสังหาร ผสมกับพลังจิต จนกลายเป็นเหมือนกับอสรพิษ แม้ว่ามันจะถูกทำให้แตกสลาย ก็ไม่สามารถตายได้ อย่างมากที่สุดก็ต้องใช้เวลาสองสามเดือนในการรวมร่างขึ้นใหม่”
ขณะที่พูด เธอก็พยายามบังคับงูดำให้บินไปด้านข้างของอัศวิน A
ทว่างูกลับขี้เกียจไม่แม้แต่จะขยับ เพียงขดตัวแล้วแสร้งทำเป็นหลับ
“ให้ตายสิ ไม่อยากทำอะไรทั้งนั้นสินะ” เฉียวจื่อเจียงรู้ว่ามันเป็นดวงจิตของปีศาจอสรพิษและไม่อยากฆ่าศัตรู เธอพึมพำสองสามคำ งูม้วนตัวขึ้นด้วยความเจ็บปวด จากนั้นจึงฝืนบินไปที่ด้านข้างของอัศวิน A
คราวนี้เฉียวจื่อซานไม่ได้ห้ามกลับถามออกไปว่า “จื่อเจียง ในตอนนี้เธอกำลังคิดอะไร?”
เฉียวจื่อเจียง “หนูรู้สึกเสมอว่าเทพมังกรตัวจริงนั้นอัญเชิญยากมาก พี่ชายหนูเปรียบเสมือนเจิ้งถ่งแห่งเฉินโจว ลูกหลานของหวงเหมียวอี้ ตอนนี้ได้ร่างแห่งปราณของต้าเฉิง ท่านรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับเทพมังกรตัวจริง?”
เฉียวจื่อซานส่ายหัว “มันยากเกินไป ในแง่ของความคลุมเครือ แม้แต่เงาก็ไม่พบ”
เฉียวจื่อเจียง “ใช่ หนูคิดว่ามังกรเพลิงในวิดีโอนั่นอาจไม่ใช่มังกรตัวจริงก็ได้ แถมพี่ชายท่านยังบอกว่าวิถีอันโหดเหี้ยมของอัศวิน A ได้รับการฝึกฝนจนไปถึงระดับสูงสุดแล้ว ยากยิ่งที่จะสลักลงบนร่างมนุษย์ คนที่มีเจ็ดอารมณ์และหกความปรารถนายากนักที่จะกำจัดและฟื้นคืนโดยง่าย ทว่าการสลักลงบนร่างต่างเผ่าพันธุ์ การฝึกฝนแบบนี้กลับไม่ได้ยากลำบากนัก ทว่าอาจจะง่ายมากกว่าด้วยซ้ำ”
เฉียวจื่อซานตัวแข็งทื่อ “เป็นไปได้ไหมที่เขาจะเป็นมังกรตัวจริง หลังจากที่ลงมายังอาณาจักรนี้แล้วเขาก็มีรูปร่างเหมือนมนุษย์?”
“แค่นั้นแหละ แค่ดูว่าปีศาจตนอื่นๆ มีปฏิกิริยาอย่างไร ก็จะสามารถตรวจสอบได้ ไม่ว่าจะเป็นหนอนหรืออสรพิษ มังกรตัวจริงคือศัตรูตัวฉกาจ การถูกมังกรตัวจริงฆ่าก็เท่ากับดวงวิญญาณถูกทำลาย ไม่มีใครไม่กลัวมังกรตัวจริง ไม่ เป็นไปได้ว่าอัศวิน A ผู้นี้จะกักเก็บลมหายใจของมังกรตัวจริงได้ และจะปลดปล่อยออกมาก็ต่อเมื่อเปลี่ยนกลับสู่ร่างเดิมระหว่างการต่อสู้” ในขณะที่พูด เฉียวจื่อเจียงก็บังคับงูดำให้เข้าไปใกล้อัศวิน A
อัศวิน A กำลังกินผัก ในช่วงเวลานี้เขาฆ่าปีศาจอย่างต่อเนื่อง การบริโภคอย่างหนักหน่วง ไม่สามารถชดเชยได้ด้วยการกินเพียงหนึ่งมื้อหรือสองมื้อ
เทพแห่งระบบเกียจคร้านเกินกว่าจะใช้เวลาทำอาหาร ตอนนี้การบำรุงสุขภาพด้วยอาหารก็นับว่าไม่เลวนัก ดังนั้นเขาจึงไปทานที่ร้านดั้งเดิมของตน
ระบบ “โฮสต์ออกมาเร็ว ปีศาจงูมาแล้ว”
ฟางหนิงวางเกมลงอย่างไม่เต็มใจนัก ก่อนจะออกจากร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ของระบบ มองจากมุมมองของระบบ พลันเห็นงูตัวเล็กที่มีรูปร่างกลับกลอก เลื้อนไปมาในอากาศแล้วเบี่ยงตัวมาทางนี้
ฟางหนิงตกใจ “มันมาจากไหน? กล้าดียังไงตามหามังกรตัวจริงของเรา”
ระบบตอบกลับ “อ่า มีจุดใหญ่สองจุดนั่งอยู่ข้างหลังเรา มองมาที่เราตลอดเวลา ตัวหนึ่งเป็นสีเหลือง แต่มีสีขาวจำนวนมากในสีเหลือง ซึ่งก็คือคนที่ปล่อยงูตัวเล็กนี้ ส่วนอีกตัวหนึ่งเป็นปีศาจสีขาวที่เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก จุดประหลาดที่มีสีขาวนั้นใหญ่เกินไป แต่ไม่เลวร้ายเท่าสีแดงที่เจอในทุกวัน น่าเสียดายที่พวกเขาควรจะเป็นคนชอบธรรม ปีศาจประเภทนี้ไม่สามารถกำจัดได้เว้นแต่มันจะมีความคิดริเริ่มที่จะโจมตีเรา”
ฟางหนิงดูแผนที่ระบบ ในตอนนั้นเขาถึงกับกระอักเลือดออกมา “เทพแห่งระบบ แกอยากจะไล่ฆ่าปีศาจจนบ้าคลั่งขนาดนี้เลยหรือ! เป็นการยากที่จะเจอปีศาจยักษ์สองตนที่มีค่าสถานะเป็นฝ่ายดี แต่แกยังต้องการจะกำจัดอีกหรือ? ฉันว่าพวกเขาแค่ต้องการทดสอบอัศวิน A เท่านั้น เพราะไม่นานมานี้เรามีชื่อเสียงเพิ่มมากขึ้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ดึงดูดความสนใจ ฉันแค่อยากเล่นอยู่บ้านอย่างสงบ คนดีเหล่านี้ควรรักษาความสงบเรียบร้อย เดิมทีพวกเขาไม่ยุ่งเกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของฉันหรอก ปล่อยไปเถอะนา…”
ระบบ “อืม แบบนี้ก็น่าเสียดายสิ ดีไม่ดีในอนาคตอาจจะถูกโจมตีโดยปีศาจสีขาวมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ได้ ถ้าโฮสต์สามารถเอาชนะได้ก็จะสามารถบันทึกค่าประสบการณ์ได้มากขึ้น”
ฟางหนิงได้ยินแบบนั้นก็รับรู้ทันทีว่า ถ้าเขาทำตามที่ระบบพูดจริงๆ เขาจะยังมีวันที่ปลอดภัยที่จะเล่นได้วันไหนอีก จึงรีบคุกเข่าลงอ้อนวอน “เทพแห่งระบบ อย่าหวั่นเกรงไปเลยขอรับ ถ้าหากยังลังเลใจ คุณจะไร้คุณลักษณะที่กล้าหาญจนทำให้แพ้เกม เวลานี้มีจอมยุทธ์คนใดบ้างที่อยากกำจัดคนดีเล่า?”
เมื่อระบบได้ยิน มันก็หยุดทันที “เอาเถอะ ระบบไม่อยากรบกวนพวกเขา แต่ว่าหากจะถึงคราวสลายก็ต้องฝ่าฝืนกฎ”
ฟางหนิงสั่งให้เทพแห่งระบบหยุดนิ่ง แล้วมองไปที่งูน้อยที่น่าสงสาร หลังจากเข้าใกล้ร่างนั่น มันก็หมุนตัวไปรอบๆ เขา ทั้งยังพยายามเจาะเข้ามาในเสื้อผ้า แต่กลับถูกระบบป้องกันของระบบปราณแท้เข้าขัดขวางเอาไว้
ระบบ “โอ้ ตอนนี้มันเป็นร่างวิญญาณที่อ่อนแอมากและไม่สามารถทำอันตรายใดๆ ได้ ในเมื่อโฮสต์มีหัวใจ ประจวบกับระบบที่อยู่ข้างๆ โฮสต์ก็ลองใช้อกาสกับร่างของมันสิ นำวิถีกังฟูเหล่านั้นที่ระบบสอนไปฝึกฝน อย่าคิดว่าวันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ แล้วจะเล่นได้นะ”
ฟางหนิง “บ้าจริง เล่นวันหยุดสุดสัปดาห์มันผิดตรงไหน? ฉันมักจะฝึก ‘การเปลี่ยนร่างมังกร’ เป็นเวลา 8 ชั่วโมงในวันทำงาน”
ระบบนิ่งเงียบฟางหนิง “ที่นี่คนเยอะเกินไป ต้องเปลี่ยนสถานที่ฝึกแล้ว เราคิดเงินก่อนค่อยออกไปแล้วกัน”
คราวนี้อัศวิน A กินอาหารไม่กี่จาน ซึ่งน้อยกว่าก่อนหน้ามาก เขาคิดเงินเสร็จก็ลุกขึ้นจากไปทันที พี่น้องเฉียวไม่ได้ติดตามไปด้วย แต่ยังคงกินต่อราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ในเวลาเดียวกันดวงตาของพวกเขากลับไม่ได้สนใจอาหารตรงหน้าเลยสักนิด
…
ในตรอกซอยว่างเปล่า งูขาวที่ฟางหนิงฝึกฝนด้วยพลังจิตกำลังเผชิญกับงูดำโปร่งแสง เจ้าพุ่งมาข้าพุ่งกลับ เจ้ากัดหางข้าข้าฉกหัวเจ้า การต่อสู้แห่งศตวรรษกำลังเกิดขึ้น ช่างเป็น ‘วิถีการสู้จนตัวตาย’ ขนานแท้!
นั่นคือมุมมองของฟางหนิง
แต่ในความคิดของระบบ มีเพียงคำเดียวที่จะอธิบายได้ นั่นคือ ‘พวกไก่อ่อน’ กำลังสู้กัน
………………………………………………