บทที่ 98 หนึ่งปราณสามบริสุทธิ์ ไม่นะ เพียงเปิดเกลียวกลไกไม่กี่ฝั่งเอง
ค่ายกลกระบี่สี่สภาพเสร็จสมบูรณ์แล้ว ในขณะที่เทพแห่งระบบกำลังระเบิดพลังโกรธใส่ฝูงต่อยักษ์ในพื้นที่กักกัน ทันใดนั้นก็มีเสียงกรีดร้องมาจากข้างนอก
“ท่านพ่อช่วยด้วย!”
เสียงอันคุ้นเคยดังขึ้น สีหน้าของหม่าเถ้าฉ่างแห่งจื่อซานกวนพลันเปลี่ยนไปในทันใด
เขาหันศีรษะเพื่อดูว่าเสียงมาจากไหน แล้วเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “เป็นไปได้ยังไง? คนของสำนักสัจธรรมควรจะอยู่ใกล้ๆ เพื่อติดตามสถานการณ์การจู่โจม ถึงผิงเอ๋อร์จะไม่ได้ซ่อนตัวอย่างดีขนาดนั้นแต่เขาก็น่าจะได้รับการคุ้มครอง แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
ในเวลานี้เด็กชายอายุราวสิบเจ็ดสิบแปดเพิ่งจะถูกแมงป่องยักษ์บีบอัดและจับชูขึ้นไปกลางอากาศ หางของแมงป่องที่มีเข็มพิษเป็นประกายแวววาวนั้นกำลังเล็งไปที่หัวของเขา ไม่น่าแปลกใจเลยที่เด็กชายจะกรีดร้องออกมา
ไม่เพียงแค่นั้น แมงป่องยังขู่เสียงดัง “หม่าฝูเทียน! ลูกชายของเจ้าอยู่ในมือของข้าแล้ว เห็นแบบนี้แล้วก็ออกมาจากค่ายกลกระบี่สี่สภาพซะ แล้วกลับไปที่จื่อซานกวนของเจ้า! อย่ามายุ่มย่ามเรื่องแมลงปีศาจของข้า แล้วข้าจะปล่อยลูกชายของเจ้าไป ไม่อย่างนั้นเขาคงจะได้ลิ้มรสพลังของแมงป่องยักษ์เก้าพิษของข้าก่อน”
หม่าเถ้าฉ่างแววตาว่างเปล่า ไม่สามารถตัดสินใจได้ชั่วขณะ
แมงป่องเห็นท่าทีเช่นนั้นก็พูดอีกครั้ง “เจ้าวางใจได้ ข้าแค่ไม่พอใจที่มังกรตัวจริงแสร้งอยากจะทำเป็นมือปราบปีศาจ? ยอมรับข้อเสนอซะ แล้วข้าจะปล่อยฝูงแมลงให้บินออกจากเสินโจว ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่มีที่สำหรับข้า เจ้าจะได้ไม่ต้องกังวลว่าฝูงแมลงจะสร้างความหายนะอีก!”
หม่าเถ้าฉางมองสามคนที่เหลือ หลวงจีนเฒ่านิ่งเงียบ ส่วนพระโพธิสัตว์ปีศาจส่ายหัวเล็กน้อย
“สหายเต๋าทั้งสาม ข้าละอายใจจริงๆ…”
ทว่าตอนนั้นเองอัศวิน A ก็กล่าวขึ้น “ท่านไปเถอะ ข้าเคยพูดไปแล้วว่าผู้กระทำผิดทั้งหมดจะต้องถูกข้าสังหารที่นี่”
ใบหน้าของหม่าเถ้าฉ่างตื่นตะลึง เขายืนขึ้นและโค้งคำนับให้ทั้งสามคนอย่างสุดซึ้ง จากนั้นจึงกระโดดออกจากค่ายกล แล้วรีบเดินไปทางตอนเหนือโดยไม่หันหลังกลับมา
เมื่อเห็นดังนั้น แมงป่องยักษ์ก็บินโฉบลงบนพื้น คืนตัวหม่าผิงและหายตัวไปในทันที
หลังจากที่หม่าเถ้าฉ่างจากไปแล้ว ผ่านไปครู่หนึ่งจู่ๆ พระโพธิสัตว์ปีศาจก็ค่อยๆ เปลี่ยนสีหน้าเล็กน้อย
เขาส่ายหัวให้สหายเต๋าที่เหลืออีกสองคนและกล่าวว่า “ข้าไม่อาจทำตามใจตนเองได้ คงจะขอล่าถอยไปด้วย”
หลวงจีนเฒ่าพยักหน้าตอบรับด้วยความเข้าใจ “พระโพธิสัตว์ไปเถอะ”
พระโพธิสัตว์ปีศาจหายตัวไปแล้ว แต่ลูกประคำกลับถูกทิ้งไว้ที่เดิมซึ่งเคยอยู่
ภายในพื้นที่ของระบบ
ฟางหนิง “เอาล่ะ อีกไม่นานหลวงจีนเฒ่าก็คงจะถอนตัวด้วย ฟังนะ ฉันพูดไปแล้วก่อนหน้านี้ ความสำคัญของการซ่อนตัวตนของแก ทุกครอบครัวมีอาชีพการงานที่ยอดเยี่ยม หากพวกเขาทั้งหมดถูกเปิดเผยแก่ภายนอกและถูกผู้มีอำนาจมาพบเข้า พวกเขาก็จะถูกจับทันที และทันทีที่พวกเขาถูกจับได้ พวกเขาก็จะไม่ใช่องค์กรที่เป็นทางการอย่างสำนักสัจธรรม และท้ายที่สุดก็ไม่สามารถควบคุมเรื่องใหญ่โตได้ เว้นแต่พวกเขาจะไปถึงจุดที่ปลาตายและแหขาด ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ทำได้เพียงเลือกที่จะยอมแพ้ต่อหน้าผู้มีอำนาจเหล่านี้ ฟังจากคำพูดของปีศาจแมลงแล้ว เป้าหมายคือเรา ถ้าไม่มีทั้งสามคนคอยช่วยเหลือ พวกเราก็ยิ่งต้องระวังมากขึ้น”
ระบบ “ถูกแล้วที่ให้พวกเขาจากไป…ระบบยังกังวลว่าพวกเขาจะไม่รักษาคำพูดแล้วหาจังหวะแย่งชิงบอสของฝูงแมลงไป”
ฟางหนิง “แต่ค่ายกลกระบี่สี่สภาพนี้ต้องการคนสี่คนในการควบคุมมันนะ ถ้าไม่มีการกักกันพื้นที่ สุดท้ายแล้วปีศาจแมลงนั่นก็จะหนีไปได้อยู่ดี แล้วเราก็จะไม่สามารถกำจัดมันได้”
ระบบ “ไม่ต้องเป็นห่วง ระบบเตรียมพร้อมต่อสู้แล้ว”
ฟางหนิงตกใจ เขาไม่อยากเชื่อสายตา “อะไรนะ ด้วยแขนและขาเล็กๆ ของฉัน แกยังมีแก่ใจให้ฉันต่อสู้อีกเหรอ?”
ระบบ “โฮสต์ไม่จำเป็นต้องสู้ แต่ต้องต้องเพิ่มความโกรธ หยิบนิยายที่ภรรยานั้นมีชู้ที่โฮสต์เตรียมไว้สำหรับการต่อสู้ออกมาอ่านซะ…”
ฟางหนิง “ให้ตายเถอะ ให้ฉันกำจัดปีศาจต่อยักษ์สักสองสามตัวยังจะดีกว่า…”
ระบบ “โฮสต์ไม่กลัวบอสที่ซ่อนอยู่ในฝูงเหรอ?”
ตั้งแต่เกิดมาฟางหนิงไม่เคยเขินอายเท่านี้มาก่อน “อ่านก็อ่าน!”
ตามที่คาดไว้ หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ใบหน้าของหลวงจีนเฒ่าก็กระตุกสองสามครั้ง สลับเป็นสีแดงและขาว
ขณะที่เขากำลังจะพูด ก็เห็นอัศวิน A พูดขึ้นก่อน “หลวงจีนเฒ่าท่านไปได้นะ ข้าคนนี้ถูกลิขิตให้เกิดมา จะขอทำมันด้วยกำลังทั้งหมดที่มี ไม่มีทางหลงกลอุบายของปีศาจหนุ่มสาวเหล่านี้หรอก!”
หลวงจีนเฒ่าถอนหายใจ “ข้าจนปัญญาจริงๆ น่าละอายใจยิ่งนัก ขอส่งต่อค่ายกลกระบี่สี่สภาพนี้แก่สหายมังกรเพื่อปราบปีศาจด้วย”
หลังจากพูดจบ เขาก็ปลดปล่อยค่ายกล เคลื่อนไปด้านหน้าแล้วหายตัวไป
…………
ณ ห้องเฝ้าสังเกตการณ์ศูนย์บัญชาการลับ
ผู้เฒ่าไห่ “เซวียเฟิงรับคำสั่งจากฉัน มีอุบัติเหตุร้ายแรงในทางตอนเหนือ อันผิงและคนอื่นๆ ถูกย้ายไปแล้ว ฉันต้องรีบตามไป ยังไงก็ตาม อย่าลืมว่าห้ามทำอะไรบุ่มบ่าม เว้นเสียแต่ว่าปีศาจแมลงจะทรยศต่อคำสัญญาของเขา ไม่อย่างนั้นก็อย่าออกคำสั่งปิดล้อมเด็ดขาด”
เซวียเฟิงดาบไร้ปรานีตอบกลับ “จะเกิดอะไรขึ้นถ้าอัศวิน A ไม่สามารถออกแรงด้วยตัวคนเดียวได้?”
ผู้เฒ่าไห่ “ถ้าอย่างนั้นคุณก็ไปที่สนามเพื่อช่วยเขา อย่าปล่อยให้พันธมิตรต้องผิดหวัง คุณเชี่ยวชาญทักษะการต่อสู้ด้วยดาบของคุณใช่ไหม?”
เซวียเฟิงตอบกลับ “ตอนนี้ความเข้มข้นของปราณได้เพิ่มขึ้นสู่ระดับใหม่ ผมได้ฝึกฝนไปเมื่อสองสามวันก่อนแล้วครับ”
ผู้เฒ่าไห่พยักหน้า เหลือบมองภาพบนหน้าจอเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะถอนหายใจแล้วจากไป
ผู้คนภายในห้องเฝ้าสังเกตการณ์ศูนย์บัญชาการลับมองหน้ากัน
ใครสักคนกระซิบ “การต่อสู้แบบกลุ่มกลายเป็นตัวต่อตัว อัศวิน A จะทำได้ไหมนะ?”
“คุณคิดผิดแล้ว มันเคยเป็นการต่อสู้แบบตัวต่อตัวต่างหาก ตอนนี้กลายเป็นการต่อสู้แบบกลุ่มแล้ว…”
“เอฟเฟ็กต์ของพื้นที่กักกันน่าจะหายไปในไม่ช้านี้ใช่ไหม? เมื่อเผชิญหน้ากับฝูงแมลง ไม่ว่าอัศวิน A จะแข็งแกร่งเพียงใด ฉันกลัวว่าสุดท้ายมันจะหนีไปได้ และทิ้งความอับอายไว้ให้เขา”
“ใช่ แต่ก็ยังมีหัวหน้าทีมเซวียนะ ฉันยังไม่เคยเห็นดาบไร้ปราณีเลย…”
เสียงของทุกคนดังขึ้นเรื่อยๆ ตอนนั้นเองก็มีเสียงตำหนิดังขึ้น “เงียบหน่อย ให้ความสงบกับฉันที ตอนนี้เราอยู่ในสนามรบนะ! พวกคุณคิดว่าตัวเองกำลังนั่งแทะเมล็ดแตงชมการแสดงอยู่เหรอ!”
ห้องเฝ้าสังเกตการณ์ศูนย์บัญชาการลับกลับสู่ความเงียบทันที มีเสียงแตะแป้นพิมพ์อย่างต่อเนื่องตลอดจนเสียงเตือนต่างๆ และเสียงคำสั่งเท่านั้นที่ส่งเสียงดัง ซึ่งพิสูจน์ได้ว่านี่คือศูนย์บัญชาการในสภาวะบรรยากาศที่ตึงเครียด
เซวียเฟิงทำหูทวนลม เขาจ้องไปที่หน้าจอขนาดใหญ่และให้ความสนใจอย่างใกล้ชิดกับสถานการณ์ความคืบหน้าตรงหน้า เขาได้เตรียมการสำหรับการช่วยเหลืออย่างลับๆ ไว้แล้ว ทั้งทักษะดาบก็ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว หากฝึกฝนมันสำเร็จก็ย่อมมีคุณสมบัติในการเป็นหัวหน้าทีมที่แท้จริง
…………
ณ ค่ายกลกระบี่สี่สภาพ
จากสี่คนจู่ๆ ก็กลับกลายเป็นเหลือแค่อัศวิน A เพียงคนเดียว
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงมาจากด้านล่าง
“ฮ่าฮ่าฮ่า เป็นยังไงบ้าง? มันเป็นแค่เคล็ดลับเล็กน้อยที่จะแบ่งปันเจ้า ขอบคุณสหายเก่าของข้าที่คอยเตือน ตอนแรกกะจะวางแผนหนึ่งรุมสาม แต่แบบนี้คงดีกว่ามาก หากปราศจากพื้นที่กักกันของค่ายกลกระบี่สี่สภาพแล้ว ฝูงแมลงของข้าคงสามารถเติมเต็มได้ตามต้องการ วันนี้แหละข้าจะสังหารเจ้ามังกรซะ!”
อัศวิน A มองลงไป
เมื่อเห็นฝูงแมลงด้านล่าง ทันใดนั้นใบหน้ามืดครึ้มของคนผู้หนึ่งก็ปรากฏขึ้น และตอนนี้กำลังแสยะยิ้มมาให้อัศวิน A
ฟางหนิง ‘โง่เง่าจริงๆ ระบบอยู่คนเดียวมาตลอด และไม่เคยกำจัดปีศาจร่วมกับใคร แกก็แค่ไปกระตุ้นความกังวลของมันเท่านั้นแหละ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังไม่สะทกสะท้านสักนิด’
ฟางหนิงพูดกับระบบทันที “แกเปิดเกลียวกลไกได้กี่อัน ทำไมไม่เคยบอกฉันเลย”
ระบบ “โฮสต์ฉลาดอีกแล้ว รู้ทันจริงๆ ว่าระบบจะทำอะไร จำนวนเกลียวกลไกที่เปิดก็เหมือนกับระบบคอมพิวเตอร์ของมนุษย์ มันขึ้นอยู่กับการกำหนดค่าคอมพิวเตอร์ ตอนนี้ด้วยกำลังของระบบ ก็น่าจะเปิดได้ห้าอัน”
ฟางหนิง “ฉันถามจริงๆ นะ แกดูสบายใจแบบนี้เพราะว่าแอบปิดบังอะไรเอาไว้ใช่ไหม”
หลังบทสนทนาจบลง ปราณรูปมังกรโกรธเกรี้ยวสามตัวก็พลันปรากฏขึ้นด้านหลังอัศวิน A พร้อมกัน ความเข้มข้นของปราณแท้เหมือนกันทุกประการกับก่อนหน้านี้ หลังจากที่พวกมันปรากฏขึ้น พวกมันก็เข้าประจำทั้งสามทิศทาง เหนือ ใต้ และตก
ภายใต้ค่ายกลกระบี่สี่สภาพทั้งหมด รังสีแสงนับร้อยล้านซึ่งเดิมทำหน้าที่เป็นราวกรง ถูกแทนที่ด้วยปราณรูปมังกรที่วนเป็นวงกลมขึ้นลง ทว่ากลับดูสง่างามกว่าและไม่มีแมลงตัวไหนกล้าบินเข้าใกล้
“บ้าจริง เป็นไปไม่ได้! นี่เรียนรู้วิธีการผสานความบริสุทธิ์ทั้งสามให้เป็นปราณเดียวอันเป็นขั้นสูงสุดของลัทธิเต๋า แกทำได้ยังไงกัน?”
เสียงของปีศาจแมลงเต็มไปด้วยความเดือดดาล
ฟางหนิงครุ่นคิด ‘ แค่เปิดสามไอดีเองไม่ใช่เหรอ แต่ทำไมถึงได้น่ากลัวขนาดนี้นะ?’
ที่ศูนย์บัญชาการลับ ทุกคนตื่นตกใจอีกครั้ง ไม่คิดว่าอัศวิน A จะเปิดไอดีสำรองเพื่อช่วยเหลือ เรียกมังกรสามตัวออกมาสนับสนุนสถานการณ์
เพราะเพิ่งจะถูกเจ้านายตำหนิ ทุกคนจึงไม่ส่งเสียงฮือฮาออกมาเหมือนก่อนหน้านี้ แต่ในใจกลับตื่นเต้นไม่แพ้กัน ถึงอย่างนั้นก็ทำได้เพียงสื่อสารความตื่นตกใจของตนเองได้ด้วยสายตา
เพียงแต่ว่าปีศาจแมลงนั้นยังคงยืนหยัด ราวกับเป็นผู้อยู่เหนือกว่า “เจ้าแค่คนเดียวจะทนรับความต้องการทั้งสี่ด้านได้นานแค่ไหนเชียว? ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะเอาชนะพวกเราได้!”
ฟางหนิง ‘ประทานโทษนะ รอแกยืนหยัดได้ถึงสามปีห้าปีก่อนค่อยพูดเรื่องใหญ่โตแบบนี้เถอะ เทพแห่งระบบอาศัยการกินเพื่อฝึกฝนปราณแท้ เพราะฉะนั้นแค่มีอาหารใหม่เข้าไปในพื้นที่เก็บความสดของระบบก็ได้แล้ว…’
………………………………………………