เมื่อผมโดนระบบครองร่าง – บทที่ 78 แค่มื้อเดียวสามารถกินได้ถึงหนึ่งร้อยล้าน เชื่อไหมล่ะ

บทที่ 78 แค่มื้อเดียวสามารถกินได้ถึงหนึ่งร้อยล้าน เชื่อไหมล่ะ

บทที่ 78 แค่มื้อเดียวสามารถกินได้ถึงหนึ่งร้อยล้าน เชื่อไหมล่ะ?

ในฐานะที่เป็น “หนึ่งในสตรีจูเก๋อ” การคาดการณ์ของเฉียวจื่อเจียงนั้นถูกต้อง

ตอนที่งานเลี้ยงเริ่ม ทุกคนต่างร่วมดื่มอวยพรให้กับอัศวิน A ที่ช่วยพวกเขาไว้ราวกับเทพที่ลงมาจุติบนโลก และในเวลาเดียวกันนั้น พวกเขาก็บอกว่าจะทานอาหารเย็นแบบส่วนตัวในภายหลัง ทุกคนต่างพยายามเข้าหาอัศวิน A แต่ อัศวิน A กลับเพียงแค่พยักหน้าให้เล็กน้อยเท่านั้น แขกแต่ละคนจึงพยายามส่งนามบัตรที่มี QQ และ WeChat ให้เขา

อย่างไรก็ตาม หลังจากเริ่มทานอาหารกันแล้ว ไม่นานทุกคนก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ …

เฉียวอันผิงก็มาร่วมงานด้วยตัวเอง อีกทั้งยังมีเฉียวจื่อซาน และเจ้าหน้าที่ชายสองคน ซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะเดียวกับอัศวิน A ต่างร่วมมารับประทานอาหารเย็นกับเขา

อย่างไรก็ตาม ไม่นานพวกเขาก็พบว่าแขกที่นั่งด้วยทั้งสี่คนนี้ไม่น่าสนใจเลยสักนิด เพราะพวกเขาไม่แตะอาหารจานใดเลยแม้แต่จานเดียว…

ตอนนี้โต๊ะอื่นๆ เสิร์ฟอาหารไปมากกว่าสิบจานแล้ว หนึ่งโต๊ะนั่งด้วยกันหกคน มีทั้งหมดเจ็ดหรือแปดโต๊ะ และแทบไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเสิร์ฟอาหารใดๆ อีก เห็นได้ชัดว่าอาหารเหล่านี้ทานยากมาก เพราะแม้ว่ารสชาติของมันจะดี และทุกคนอยากจะทานให้มากขึ้น แต่ไม่สามารถทานมันลงได้อีกแล้ว

เนื่องจากราคาอาหารแต่ละจานค่อนข้างสูง อีกทั้งเบื้องบนยังรณรงค์ให้ประหยัดและอดออม พวกเขาจึงทานไม่ลงอีกต่อไป อาหารทุกจานหยุดเสิร์ฟ

ไห่หลานนั่งอยู่อีกโต๊ะหนึ่งกับผู้หญิงกลุ่มหนึ่ง ผู้หญิงพวกนั้นมีทั้งอายุเยอะและอายุน้อย แต่ตอนนี้บนโต๊ะของพวกเธอ อาหารไม่ได้พร่องลงเลยสักนิดเดียว พวกเธอทานน้อยมาก ในทางกลับกัน เธอยังคงนั่งนิ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย

แม้ในใจพวกเธอจะอยากทานอาหารอร่อยพวกนี้อีก แต่ก็กังวลเกี่ยวกับน้ำหนักที่จะเพิ่มขึ้น และอีกอย่าง ความอยากอาหารของพวกเธอมีไม่มากนัก

ไห่หลานทานอาหารพวกนี้โดยไม่สนใจรูปลักษณ์ของตัวเอง อาหารเหล่านี้ทำมาจากวัตถุดิบชั้นดีและสมุนไพร ไม่สามารถหาซื้อทั่วไปได้ พวกพนักงานระดับกลางและสูงกว่าของสถาบันการศึกษา จะทานอาหารเหล่านี้ได้ก็ต่อเมื่อมีเทศกาลสำคัญเท่านั้น

เธอคิดว่าทั้งหมดนี้ต้องโทษพ่อครัว ใครใช้ให้ใครไม่รู้จักโกหกกันล่ะ อาหารพวกนี้หาได้เฉพาะในสวรรค์เท่านั้น และไม่ควรปรากฏในโลกเลย…

ไม่น่าแปลกใจเลยที่มังกรจริงจะกินอาหารแค่ที่บ้านของเขา

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เธอก็เงยหน้าขึ้นและมองไปที่โต๊ะของเฉียวอันผิง เพราะอยากจะเห็นสีหน้าของอัศวิน A มีต่ออาหารอันโอชะพวกนี้ว่าเป็นยังไง?

จากนั้นเธอก็ต้องตกตะลึง

เธอเห็นอัศวิน A นั่งตัวตรง มือและเท้าของเขาไม่ขยับเขยื้อนสักนิดเดียว ใบหน้าปราศจากความรู้สึก สีหน้าคล้ายคนกำลังเคี้ยวขี้ผึ้ง มีเพียงแค่ปากของเขาที่ขยับเป็นครั้งคราว

อัศวินคนนี้บางครั้งก็จะอ้าปากและหายใจเข้า ซุปทีหยดจะไหลออกจากถ้วยโดยตรงราวกับน้ำตก ไหลกลับเข้าไปในปากของอีกฝ่ายโดยไม่เหลืออะไรเลย

ไม่นานนัก เธอก็รู้ว่าเขาใช้พลังดูดด้วยลมปราณเพื่อควบคุมอาหารโดยรอบ ลอกหนังและเอากระดูกออก ทำความสะอาดเครื่องปรุง เป็นการเสร็จสิ้นกระบวนการรับประทานอาหารที่มีประสิทธิภาพขั้นนี้ เห็นได้ชัดว่าการรับประทานอาหารแบบธรรมดา สามารถเปลี่ยนให้เป็นกระบวนการไหลได้ และเธอรู้สึกละอายใจเป็นอย่างมาก

และอีกสี่คนที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกัน มาเพียงแค่เป็นเพื่อนร่วมโต๊ะเท่านั้น…

สีหน้าของสามคนที่เหลือไร้อารมณ์ แต่เฉียวอันผิง ดีใจมากที่เห็นอัศวิน A กินอย่างมีความสุข ตามธรรมเนียมของภาคเหนือ แขกยิ่งกินยิ่งแสดงว่าอีกฝ่ายเห็นแก่หน้าเจ้าภาพ ไม่คิดว่าตนเองเป็นคนนอก

ด้วยเหตุนี้เขาจึงเรียกพนักงานไม่หยุดหย่อน ให้เอาอาหารมาเพิ่ม และพูดซ้ำๆ ว่าต้องให้ผู้มีพระคุณกินและดื่มอย่างเต็มที่…

แขกโต๊ะอื่นหยุดกินไปนานแล้ว ตอนนี้มีแต่โต๊ะนี้เท่านั้นที่ดูเหมือนจะกินอาหารเป็นน้ำ…

ไห่หลานมองดูอยู่พักหนึ่งก็พบว่าอัศวิน A ไม่มีความเกรงใจเลยแม้แต่น้อย หลังจากที่เฉียวอันผิงบอกว่าเขาต้องกินและดื่มให้เต็มที่ ก็เห็นได้ชัดว่าเขาจริงจังกับมันมาก สนใจแต่การกินเพียงเท่านั้นจริงๆ

ในเวลานี้ ที่ห้องครัวด้านหลัง พนักงานคนหนึ่งเหงื่อท่วมหัว กล่าวเสียงรีบ “เร็วเข้า รีบเสิร์ฟอาหาร อัศวินคนนั้นกินอาหารจานที่หกสิบหมดแล้ว”

“ฟางหนิง” มีมือและเท้าที่รวดเร็วมาก การเคลื่อนไหวของเขาแทบมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า อีกอย่าง เพราะทำงานมานาน ทุกคนต่างเหนื่อยล้าเต็มที แต่ก็ยังโชคดีที่กำลังคนที่เตรียมไว้เพียงพอสำหรับผลัดเปลี่ยนกะ

เขาเป็นคนเดียวที่ไม่มีอะไรทำ เขาอยู่ในการต่อสู้ตัวคนเดียวมาตลอด ทุกการเคลื่อนไหวราวกับหุ่นยนต์ แม่นยำ และรวดเร็ว

ไม่นานอาหารจานอื่นก็พร้อมเสิร์ฟ พนักงานรีบยกมันออกไป

แต่จู่ๆ ใครบางคนก็เอ่ยขึ้น “ดูเหมือนว่าวัตถุดิบที่เตรียมไว้จะไม่พอแล้ว พวกสมุนไพรก็ด้วย”

“งั้นก็รีบไปรายงานรองประธาน…”

เฉียวอันผิงได้รับรายงานในไม่ช้า เขาลุกขึ้น พร้อมกับพูดขอโทษอัศวิน A แล้วลุกออกมาพูดกับพนักงานว่า “ง่ายมาก ฉันจ่ายเอง พวกแกไปที่โกดังสำรอง รีบจัดการนำวัตถุดิบมา”

ตอนนี้เอง พนักงานคนหนึ่งก็พูดขึ้นด้วยความลำบากใจ “ค่าจัดเลี้ยงนี้ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการของวิทยาลัย และค่าใช้จ่ายก็สูงมาก ผมเกรงว่า…”เมื่อเฉียวอันผิงได้ยินเช่นนี้ ก็แสดงสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อย “อัศวินคนนั้นได้แก้ปัญหาใหญ่ให้เรา และนี่เป็นครั้งแรกที่เขามาที่บ้านของตระกูลเฉียวในฐานะแขก ถ้าให้อัศวินกลับไปพร้อมกับท้องที่หิวโหย ชื่อเสียงของข้าในฐานะเฉียวอันผิงจะเป็นอย่างไร? ไม่ว่าจะราคาแพงแค่ไหน ก็ให้มาเบิกที่บัญชีส่วนตัวของฉัน!”

พนักงานยังคงโต้แย้งว่า “แต่หลายอย่างที่เขากินไม่สามารถหาซื้อจากภายนอกได้ ทั้งหมดเป็นเสบียงพิเศษภายในของเรานะครับ”

เฉียวอันผิงตอบกลับ “แกนี่พูดมากจริงๆ ฉันจะโทรหาผู้เฒ่าสวี่ และขอให้เขาตกลง”

จากนั้นเฉียวอันผิงก็โทรหาผู้เฒ่าสวี่และอธิบายเรื่องนี้อีกครั้ง

เห็นได้ชัดว่าผู้เฒ่าสวี่ไม่เข้าใจความอยากอาหารของอัศวิน A แต่ก็พูดอย่างร่าเริงว่า “อย่างนี้แล้วกัน ทำตามที่นายพูดเถอะอันผิง ฉันจะกลับไปบอกพวกเขาในที่ประชุมในภายหลัง”

ผู้เฒ่าสวี่ต้องตอบตกลงแน่นอนข้อแรก เพราะอีกฝ่ายหนึ่งประสบอุบัติเหตุครั้งใหญ่ในสถาบันฝึกอบรมพิเศษ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาตกที่นั่งลำบาก อย่างที่สอง อีกฝ่ายก็ช่วยชีวิตลูกชายที่ไร้ความสามารถของเขาด้วย ทั้งภาครัฐและเอกชน พวกเขาจะไม่เห็นด้วยได้อย่างไร?

เมื่อได้ยินเช่นนั้น พนักงานจึงนำลายเซ็นต์ของเฉียวอันผิงไปยังคลังสินค้าทันที

ทันทีที่อาหารจำนวนมากถูกนำเข้ามาในห้องครัว รวมถึงพวกสมุนไพรที่เกี่ยวข้อง พ่อครัวระดับเทพก็มือไม่ว่างอีกต่อไป

อัศวิน A กินอาหารไปถึงโต๊ะที่สิบ และขณะเดียวกันฝูงชนยังคงรอให้งานเลี้ยงสิ้นสุด…

ไห่หลานเองก็อิ่มแล้ว เธอเดินไปที่โต๊ะอื่นอย่างเงียบๆ แล้วสะกิดไหล่ของเฉียวจื่อเจียง

อีกฝ่ายลุกขึ้นอย่างรู้งานและเดินออกไปพร้อมกับเธอ “ป้าหลาน ป้าคงอยากจถามว่าเขาจะกินไปจนถึงเมื่อไหร่ใช่ไหม?”

ไห่หลานพยักหน้า แต่เมื่อเธออ้าปาก ในใจก็รู้สึกว่าบางอย่างแปลกประหลาด อัศวิน A คนนี้ทำไมถึงไม่ปรากฏตัวทั้งตอนเช้าและตอนค่ำ แต่มาในช่วงทานอาหาร

อีกอย่าง “ฟางหนิง” ก็ยอกตกลงกับคำขอก่อนหน้านี้ของเธออย่างมีความสุขที่อีกฝ่ายได้ทำอาหารด้วยตัวเอง แถมยังยังขอคนล่วงหน้ามากกว่ายี่สิบคน

มองกลับไปแล้วก็ดูเหมือนว่า “ฟางหนิง” จะเข้าใจมังกรจริงตัวนี้อย่างลึกซึ้ง และยังมั่นใจในฝีมือการทำอาหารของตัวเองมากอีกด้วย เขามั่นใจว่าตราบใดที่เขาทำอาหารออกมาได้ดี และอีกฝ่ายอยู่ใกล้ๆ เขา เขาต้องรู้สึกได้อย่างแน่นอน สถานที่นี้เป็ของสำนักสัจธรรม และวัตถุดิบก็มาจากสำนักสัจธรรมเช่นกัน…

ความจริงแล้วมันไม่สำคัญหรอก ต้องขอบคุณคนอื่น ถึงแม้ว่าวัตถุดิบที่เตรียมสำหรับมื้อนี้จะมีราคาแพงก็ตาม

แต่เฉียวอันผิง ชายใจดีผู้นี้ ไม่เคยกังวลเรื่องการเงินเลย เห็นได้ชัดว่าตอนนี้สิ่งต่างๆ กำลังดิ่งลงเหว…

ท้ายที่สุดสมองของฉันก็ไม่ได้ดีเท่าเฉียวจื่อเจียง ฉันจะคิดได้ก็ต่อเมื่อฉันเห็นข้อเท็จจริงเท่านั้น แต่อีกฝ่ายรู้เรื่องนี้ล่วงหน้า แม้ว่าตนเองจะรู้ข้อมูลของอัสวิน A ว่าเป็นคนกินเก่ง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เพราะเธอเองก็กินเก่ง นักสู้ทุกคนกินเก่งกันทั้งนั้น แต่เธอไม่รู้ว่าที่คนอื่นกินได้ขนาดนี้เพราะวัดจากมาตรฐานมังกร…

เฉียวจื่อเจียงเห็นสีหน้าผิดหวังของไห่หลาน พูดออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “ตอนที่หนูไปเมืองฉีเฉิง หนูเห็นเขาแค่ครั้งเดียว ต่อมาก็ได้สืบสวนพิเศษ เขาไม่ได้กินบ่อย ทุกๆ สิบวันครึ่ง เขาจะกินเพียงหนึ่งครั้ง แต่เมื่อเขาเริ่มกิน เขามักจะเริ่มตอนกลางคืนและกินจนรุ่งสาง… มันเป็นอาหารที่ปรุงจากวัตถุดิบและสมุนไพรของตลาดนอก และเขากินได้มากกว่าหนึ่งล้านหยวน พอมาเจอของดีๆ ที่ทางโรงเรียนจัดให้โดยเฉพาะ แถมมีลุงคอยชักชวนอีก ถ้าเขาจะกินไปสองวันสองคืน หนูก็ไม่แปลกใจเลย…”

ไห่หลานสูดลมหายใจเข้า “วัตถุดิบและสมุนไพรที่ทางสถาบันจัดหาให้โดยเฉพาะ เป็นสิ่งที่หาซื้อได้จากตลาดนอกเท่านั้น อีกทั้งราคาแพงกว่าสิบเท่ายังซื้อไม่ได้เลย”

เฉียวจื่อเจียงตอบกลับ “ใช่ ดูเหมือนว่าเขาตั้งใจจะกินให้ถึงหนึ่งร้อยล้านสำหรับมื้อนี้…”

ด้วยความรวดเร็ว กินอีกโต๊ะเสร็จแล้ว คราวนี้ไห่หลานเกลียด “ฟางหนิง” ที่เธอยอมตกลงให้เขาทำอาหารเอง คาดว่าถ้าคนอื่นทำอาหาร ความอยากอาหารของอีกฝ่ายจะไม่ดีขนาดนี้…

ตอนนี้เธอได้แต่หวังว่า “ฟางหนิง” คงจะเหนื่อยเกินกว่าจะขยับตัวได้เมื่อคิดได้ดังนั้น เธอมองหาพนักงานเสิร์ฟ และเริ่มสอบถาม

พนักงานพวกนั้นเกาหัวแล้วตอบว่า “อีกฝ่ายยังคงกระตือรือร้นอยู่ เขาเป็นยอดมนุษย์ เต็มไปด้วยพลัง พ่อครัวคนอื่นๆ เปลี่ยนกะไปหมดแล้ว มีแต่เขาคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้สนใจอะไรเลย”

ทั้งสองชำเลืองมองกันและกัน และความหวังเดียวนี้ก็ถูกบดบังภายในสายตา

โชคดีที่เมื่ออัศวิน A กินอาหารจานที่หนึ่งร้อย พ่อครัวก็ส่งคนมาพร้อมกับวัวย่างทั้งตัว

ไห่หลานถอนหายใจด้วยความโล่งอก “เอาล่ะ ดูเหมือนว่านี่จะเป็นอาหารจานสุดท้ายแล้ว”

“ไม่แน่หรอก…” เฉียวจื่อเจียงพูด

“ฟางหนิง” ขอให้พนักงานเสิร์ฟส่งเนื้อวัวย่างทั้งหมดไปที่โต๊ะของอัศวิน A และหลังจากวางถาดลง กลิ่นหอมก็อบอวลเต็มไปทั่วทั้งยอดเขา

แขกที่ทานอิ่มแล้วทำได้เพียงมองวัวย่างแล้วถอนหายใจ มีเพียงเฉียวจื่อซานและคนอื่นๆ ที่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ตอนนี้พวกเขาก็สามารถใช้ตะเกียบได้สักที

แต่ครู่ต่อมา พวกเขาก็ต้องหมดหวัง

เมื่ออัศวิน A พยักหน้าเล็กน้อยไปที่ “ฟางหนิง” จากนั้นก็หันไปทางวัวย่าง…

ไม่มีใครมองเห็นชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ท้ายที่สุด พวกเขาก็เห็นว่าวัวย่างทั้งตัวที่วางอยู่นั้นหายไปแล้ว เหลือเพียงกลิ่นน้ำมันที่หลงเหลืออยู่บนเพื่อย้ำเตือนว่าก่อนหน้านี้มีวัวย่างวางอยู่ตรงนั้น

“ขอบคุณท่านอัศวินที่ชอบอาหารฝีมือข้า เพื่อเป็นการขอบคุณอัศวินที่ช่วยชีวิตไว้ก่อนหน้านี้ ผมขอประกาศว่าเมื่ออัศวินกลับมาที่ร้าน อาหารทั้งหมดจะถูกขายในราคาทุน ตรงนี้ยังมีบัตรอีกด้วย จำนวนไม่มากสามสิบล้านหยวน ขอท่านอัศวินอย่าคิดว่าน้อยไป ไม่ว่ายังไงก็ตามห้ามปฏิเสธ”

พูดจบ “ฟางหนิง” ก็หยิบการ์ดทองคำที่มีรหัสผ่านออกมา

อัศวิน A พยักหน้าและกล่าว “คุณเก่งมาก คุณมาจากสถานที่ที่มีขนบธรรมเนียมเรียบง่ายจริงๆ และคุณรู้ความจริงของความกตัญญูเป็นอย่างดี”

ทันทีที่เขาพูดจบ บัตรทองก็บินตรงจาก “ฟางหนิง” ไปยังมือของเขา

ในตอนนี้ ทุกคนที่เข้าร่วมงานเลี้ยงเข้าใจได้ในทันที อันที่จริงแล้ว พวกเขาทั้งหมดล้วนวางแผนที่จะขอบคุณอัศวิน A แต่ทุกคนต่างคิดว่านี่เป็นการเชิญส่วนตัว จึงใช้โอกาสนี้ขอบคุณสำหรับมิตรภาพ

เมื่อถึงตอนนี้ ก็ไม่สามารถเก็บไว้ได้อีกแล้ว เมื่อมีคนเปิด พวกเขาก็ไม่สามารถนิ่งเฉยได้อีกต่อไป และไม่ว่าจะเป็นยังไง สถานภาพของพวกเขาต้องไม่ถูกมองว่าเป็นคนขี้ขลาด

ผ่านไปครู่หนึ่ง สมาชิกทุกคนในงานเลี้ยงต่างมีสีหน้าเคร่งขรึมทันที ตัวเลขที่แสดงออกมาสามารถทำให้คนธรรมดาตกตะลึง

ไห่หลานคิดว่างานเลี้ยงนี้ควรจะจบลงเสียที

แต่แล้ว ตอนนั้นเองเฉียวอันผิงก็พูดอีกครั้ง “อัศวิน ท่านกินอิ่มแล้วเหรอ ให้พนักงานเสิร์ฟนำอาหารมาให้เพิ่มอีกไหม?”

หากเป็นคนอื่น คงจะบอกว่าพอแล้วพอ งานเลี้ยงควรจะต้องจบลงเสียที

แต่วงจรสมองของอัศวินคนนี้ไม่เหมือนคนทั่วไป เมื่อเขาได้ยินดังนั้น ก็พยักหน้าตอบรับ” ดีเลย ให้พวกเขาทำอาหารต่อเถอะ…”

……………………………………………………………

เมื่อผมโดนระบบครองร่าง

เมื่อผมโดนระบบครองร่าง

Status: Ongoing

จู่ๆ ก็มีดาวตกพุ่งลงมาที่โลก ทำเอาพื้นดินถึงกับสั่นไหวเล็กน้อย

แต่แรงสั่นสะเทือนนั้นกลับทำให้ 'ฟางหนิง' หัวโขกกับโต๊ะคอมพิวเตอร์จนสลบไป

ตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตัวเขามีระบบ ขณะที่กำลังจะดีใจว่าในที่สุดก็มีขาทองคำมาให้เกาะ

เจ้าระบบนั่นกลับประเมินว่าเขาเป็นโรคขี้เกียจระยะสุดท้าย ปล่อยไว้ไม่มีทางเจริญก้าวหน้า

และทำการยึดครองร่างของเขาซะงั้น!?

...

จากหนุ่มโอตาคุผู้แสนจะขี้เกียจที่ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยไปวันๆ

กลับต้องลุกขึ้นมาเปลี่ยนโฉมตนเองเป็นฮีโร่คอยปราบปรามเหล่าปีศาจร้าย

ปกป้องเมืองที่ตนอยู่อาศัย และฝึกวิทยายุทธ์เพื่อก้าวสู่จุดสูงสุดนิ้วทองคำของระบบ!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท