บทที่ 105 หลังจากนี้จะได้บินฟรีแล้ว
ฟางหนิงมองไปที่ข้อความแจ้งเตือนของระบบพลางดูเวลา เขาอยากนอนต่อ ตอนนี้เขายังนอนไม่เต็มอิ่มเลย
ฟางหนิง “นอนได้อย่างสบายใจสักที เหนื่อยจะตายแล้ว จริงสิ นายสลับร่างคืนก่อน ส่วนเรื่องจะแปลงร่างเป็นมังกรบินกลับบ้านนั้นค่อยว่ากันอีกที”
ระบบ “ระบบไม่สลับร่างกับโฮสต์หรอก ตกลงกันว่านับจากนี้หนึ่งสัปดาห์จะยกให้เป็นเวลาของโฮสต์ระบบไม่สนใจว่าโฮสต์จะสลับร่างคืนยังไง ตอนนี้ระบบอยากผ่อนคลายตัวเองสักหนึ่งสัปดาห์ หลังจากได้รับค่าประสบการณ์มากมาย ในที่สุดระบบก็จะได้เพิ่มเลเวลและฝึกปราณได้”
ฟางหนิงตกตะลึง “ว่าแต่ แกไม่อยากเถียงอะไรหน่อยเหรอ?”
ระบบ “ไม่ล่ะ ระบบไม่ได้เป็นมนุษย์เหมือนโฮสต์ เพราะฉะนั้นก็ไม่โกรธหรอก สำหรับระบบมันไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย”
ฟางหนิง “แกพูดแบบนี้ ไม่มีผีตัวไหนเชื่อแกหรอก เมื่อก่อนแค่สบตากับผู้อาวุโสตระกูลไป๋ก็โกรธจนเป็นฟืนเป็นไฟแล้วไม่ใช่หรือไง?”
ระบบ “ถ้าอย่างนั้นบอกระบบหน่อยสิว่าคำพูดเมื่อกี้ของโฮสต์หมายความว่าอะไร? ระบบจะช่วยสลับร่างกับโฮสต์ก่อนกลับบ้านก็ได้”
ฟางหนิง “ฉันไม่ต้องการความช่วยเหลือจากแกหรอก แกก็แค่คิดหาวิธีกลับบ้านที่เร็วกว่าเดิม ถ้าแกให้เงินฉันอีกสักสิบล้าน ฉันจะยอมบอกว่าคำพูดพวกนั้นหมายถึงอะไร”
ระบบ “ห้าแสน”
ฟางหนิงพูดไม่ออก “จะบอกอะไรให้นะ มนุษย์เราไม่มีกลอุบายลดราคาแบบระบบอย่างแกหรอก เอาเถอะ ห้าแสนก็ห้าแสน แต่ฉันจะบอกแกว่าพระโพธิสัตว์ปีศาจต้องมีความคิดเดียวกันกับผู้อาวุโสตระกูลไป๋แน่นอน ทั้งคู่ล้วนต้องการอาศัยอยู่บนโลกของเราเพื่อการชำระบริสุทธิ์ แกยังจำได้ไหม? เรื่องที่เราได้ยินกุ้ยเอ่อร์และคนอื่นๆ พูดก่อนหน้านี้น่ะ”
ระบบ “จำได้สิ ผู้อาวุโสตระกูลไป๋ต้องการฆ่าเราหลังจากที่เขาได้รับการชำระบริสุทธิ์ ในช่วงที่ระบบฝึกปราณ โฮสต์ก็ลองคิดหากลยุทธ์มาให้หน่อยสิ เมื่อถึงเวลานั้นค่อยเรียกพระโพธิสัตว์ปีศาจก็ได้ แต่ยังไงก็ต้องชิงฆ่ามันก่อน”
ฟางหนิง “นั่นอธิบายได้ดีเลย แกมักจะพูดถึง ‘การลงทัณฑ์ในนามสวรรค์’ และ ‘อาณัติแห่งสวรรค์’ อยู่เสมอ เขาคงเข้าใจผิดว่าเราต้องการที่จะชำระบริสุทธิ์เพื่อขึ้นเป็นเทพเจ้าและแสวงหาตำแหน่งอมตะอันสูงส่งมั้ง เขาออกตัวสนับสนุนเรา สำหรับเขาแล้วค่าตอบแทนนี้มีค่าพอให้เป็นคำมั่นในศักดิ์ศรีและชื่อเสียงของเขามากกว่าสิ่งของอื่นเช่นเงินหรืออาวุธวิเศษ”
ระบบ “เขาจะยังคงมอบเงินและอาวุธวิเศษให้…ตราบใดที่เราอัพเกรดและฝึกฝนปราณต่อไปก็จะสามารถมีชีวิตอยู่เป็นอมตะได้อย่างสบายใจ คราวหน้าโฮสต์ก็อธิบายเขาให้เข้าใจชัดเจนว่า เราไม่ต้องการให้เขาสนับสนุนเพื่อให้ได้บรรลุเป็นเทพเจ้า ในอนาคตเราเพียงต้องการอาวุธวิเศษและเคล็ดวิชาเป็นรางวัลสำหรับภารกิจกำจัดปีศาจ หรือหากไม่มีจริงๆ ก็จ่ายเป็นเงินเพิ่มให้ได้…”
ฟางหนิง “แกนี่ไม่ได้เรื่องจริงๆ…”
ระบบ “แล้วอะไรที่เรียกว่าได้เรื่องกันล่ะ ด้วยสิ่งเหล่านี้โฮสต์จะสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของคุณได้ทันที มีของดีมากมายอยู่ในตัวเขา ทุกครั้งที่ระบบพบเขาก็ล้วนได้มันมาสักหนึ่งอย่าง”
ฟางหนิง “เอาล่ะ ฉันรู้แล้ว ฉันจะทำให้เขาเข้าใจว่ารสนิยมของแกนั้นแตกต่างจากคนอื่น แน่นอนว่ามันจะไม่มีทางกระทบกับสถานะของอัศวิน A หรอก”
ระบบ “โฮสต์ ความสามารถในการหลอกล่อคนอื่นของโฮสต์ยังคงทำให้ระบบวางใจได้เสมอเลย ดีล่ะ ระบบต้องขอตัวไปผ่อนคลายฝึกฝนปราณและใช้ร่างกายตัวเองก่อนแล้วกัน”
ฟางหนิง “เดี๋ยวก่อน ร่างอัศวิน A ของแกนี่มีร่างกายที่แข็งแรงก็จริง แต่ฉันจะใช้มันตลอดทั้งสัปดาห์ คงไม่ทำให้เกิดปัญหาใหญ่ใช่ไหม? เช่น ควบคุมพลังไม่ได้ ทำลายดอกไม้ใบหญ้าเสียหายอะไรพวกนั้น?”
ระบบ “โฮสต์ไม่ต้องกังวลหรอก ระบบเปิดเธรดการตรวจสอบอยู่ ไม่ยอมให้โฮสต์เกิดอุบัติเหตุหรอก”
ฟางหนิง “ว้าว ถ้าอย่างนั้นฉันขอลองใช้วิทยายุทธ์กังฟูของอัศวิน A เล่นสักสองสามวันได้ไหม? รับรองว่าจะไม่เปิดเผยตัวตน”
ระบบ “ไม่ได้ โฮสต์ไม่รู้จักวิทยายุทธ์ของระบบด้วยซ้ำแล้วจะเล่นได้ยังไง? สัปดาห์นี้โฮสต์ห้ามเล่น ระบบจะช่วยสรุป ‘คัมภีร์โพธิ์’ ให้โฮสต์ทีหลัง”
ฟางหนิง “ไม่เอา ฉันทำงานล่วงเวลามาแปดเก้าวันติดต่อกันแล้ว ให้ฉันได้พักผ่อนเต็มอิ่มสักหนึ่งอาทิตย์เถอะ ฉันจะ ‘บิน’ กลับบ้านไปนอน”
ระบบ “’บิน’ เหรอ หมายความว่าไง…”
…………
หลังจากนั้น เซวียเฟิงดาบไร้ปรานีก็ ‘บิน’ ลงจอดต่อหน้าอีกฝ่าย
อัศวิน A “ข้ากำจัดปีศาจอย่างต่อเนื่องและบริโภคมากเกินไป ดังนั้นจะขอรบกวนเจ้าแค่อีกครั้งเท่านั้น”
เซวียเฟิงพยักหน้ารับ “โปรดขึ้นมายืนบนดาบ”
ฟางหนิงควบคุมร่างของอัศวิน A เดินขึ้นไปยืนอย่างมั่นคง
ฟางหนิงไม่กลัว ระบบบอกว่ามีเธรดคอยเฝ้าดูอยู่ แม้ว่าจะร่วงจากฟ้าก็แค่เปลี่ยนเป็นร่างมังกรสักครู่หนึ่ง ด้วยความมั่นใจนี้ เขาจึงไม่มีอะไรให้ต้องตื่นตระหนก
ชั่วพริบตาทั้งสองก็มาถึงฟาร์มวิลล่าในเขตชานเมืองฉี เที่ยว ‘บิน’ ช่างรวดเร็วจริงๆ
เมื่ออัศวิน A มาถึงที่หมาย เขาไม่ได้บอกลาในทันทีแต่ยังยืนนิ่งด้วยความงุนงง
เซวียเฟิงไม่ได้เร่งรีบและยังยืนเงียบโดยไม่พูดอะไร ชายร่างใหญ่สองคนตกอยู่ในความงุนงง
ภายในพื้นที่ของระบบ
ฟางหนิง “ระบบ แกดูสิว่าความคล่องตัวนี้แข็งแกร่งมากกว่าร่างมังกรของแกเยอะเลย อย่าคิดว่าแกจะตีเด็กคนนี้ได้ด้วยฝ่ามือเดียวเชียว แกลองเรียนรู้วิชาดาบไม่ได้เหรอ? ถ้าไม่มีเคล็ดวิชา ฉันจะขอให้เซวียเฟิงช่วยแกเอง”
ระบบ “โลภเพื่อการเรียนรู้ไม่เสียหาย แต่ตอนนี้ระบบมีค่าประสบการณ์ไม่เพียงพอสำหรับอัปเกรด ‘การเปลี่ยนร่างมังกร’ และ ‘คัมภีร์พลังปราณแท้จักรวาล’ นอกจากนี้ระบบไม่สามารถเรียนรู้ได้ตามอำเภอใจ สิ่งนั้นต้องเหมาะกับระบบวิทยายุทธ์ของระบบด้วย รอระบบกลับมาก่อนแล้วค่อยพูดเรื่องนี้กัน”
ฟางหนิง “ได้ จริงสิ ฉันค่อยให้ค่าตอบแทนแก่เด็กน้อยทุกคนทีหลังแล้วกัน”
เทพแห่งระบบตระหนี่มาก “ทำไมยังต้องให้ค่าตอบแทนด้วย? ครั้งนี้เราไม่ได้ช่วยพวกเขาปราบปีศาจหรอกเหรอ? ไม่ใช่พวกเขาที่ต้องจ่ายค่าตอบแทนให้เราหรือไง?”
ฟางหนิงพูดไม่ออก “ช่วยพวกเขาด้วยความจริงใจแน่นอนว่าไม่คิดอยากได้อะไร แต่เราจะไม่จัดการเรื่องส่วนตัวในอนาคตเหรอ? ตอนนี้ก็ให้ทิปเล็กๆ น้อยๆ ก่อน ในอนาคตฉันอาจเรียกให้เขาไปเป็นสารถีอีก”
เทพแห่งระบบ “อ่า โฮสต์ต้องการเรียกใช้เด็กคนนี้ในอนาคตอีกสินะ เรื่องง่ายแบบนี้ โฮสต์สัมผัสได้ถึงพลังปราณอันแข็งแกร่งของเขา ทั้งยังเป็นพลังปราณแท้เข้าออกที่มาจากการฝึกฝนพลังเวทอีกด้วย คราวที่แล้วพระโพธิสัตว์ปีศาจได้ทิ้งอัฐิฮุ่ยหยวนไว้เป็นครั้งสุดท้าย…”
ฟางหนิงรีบขัดจังหวะ “ระบบ ฉันบอกจะให้ทิปนิดๆ หน่อยๆ ไง ไม่ต้องใจกว้างขนาดนั้นก็ได้ไหม? ฟังแล้วรู้สึกหดหู่ชะมัด งั้นเอาเป็นอาวุธวิเศษแล้วกัน เรามีกันแค่ไม่กี่อย่าง แจกคนละอันเลยเป็นไง?”
ระบบไม่ทำให้ฟางหนิงผิดหวังจริงๆ “ได้ที่ไหนกัน ระบบยังพูดไม่จบ! มีพลังเวทจำนวนมากที่เก็บไว้ เรายังไม่สามารถใช้มันได้ อีกอย่างวิธีการแปลงพลังเวทให้กลายเป็นปราณแท้ก็ยังไม่ได้เรียนรู้ ตอนนี้ให้ทิปเขาสักนิดหน่อยก็น่าจะดี”
ฟางหนิง “อย่างที่คาดไว้เลย ฉันถึงบอกว่าแกใจกว้างขนาดนี้ได้ยังไงกัน…”
หลังจากที่ทั้งสองคนคุยกันเรื่องนี้ อัศวิน A ก็หลุดออกจากภวังค์แห่งความงุนงง
อัศวิน A “ลำบากหัวหน้าเซวียแล้ว ดูท่าคุณคงใช้พลังเวทไปไม่น้อยเลยใช่ไหม?”
เซวียเฟิง “สบายมาก ตราบใดที่มันไม่ได้อยู่ระหว่างการต่อสู้ ในยามปกติการบินของดาบนั้นไม่ได้ใช้พลังเวทของข้ามากนัก ดาบเล่มนี้มีรูปแบบของตัวเอง ส่วนมากแล้วมันบินได้โดยดูดซับพลังปราณกำเนิดฟ้าดิน ข้ามีหน้าที่เพียงใช้พลังเวทเพื่อควบคุมทิศทางเท่านั้น”
ฟางหนิงพูดไม่ออก ‘ช่างเป็นเด็กที่ซื่อสัตย์จริงๆ เมื่อเจ้าพูดแบบนั้น เทพแห่งระบบคงจะมอบส่วนลด 10% แก่เจ้าทันทีสำหรับทิปที่เขากำลังจะมอบให้’
ฟางหนิงพูดถูก นั่นคือสิ่งที่ระบบกำลังจะทำ
อัศวิน A “ข้าไม่เคยดูแคลนใคร ดังนั้นฉันจะให้สิ่งเล็กน้อยนี้”
การแสดงออกของเซวียเฟิงไม่ได้เปลี่ยนแปลง เขาเพียงแค่พยักหน้าขอบคุณ
เขาไม่สนใจรางวัลอะไรทั้งนั้น แต่เนื่องจากอีกฝ่ายต้องการจะให้ เขาก็จะไม่ปฏิเสธเพราะถ้าเขาปฏิเสธ ทั้งสองฝ่ายก็จะเกรงใจกันไปมาซึ่งนั่นคงลำบากใจเกินไป
ในความคิดของเขา อีกฝ่ายคงไม่ได้ให้อะไรมากไปกว่าเงิน ถึงอย่างไรคราวนี้เขาก็เป็นเพียงสารถี ไม่มีเรื่องอื่นอีก
เขาเห็นอีกฝ่ายยื่นนิ้วออกมา จากนั้นก็รู้สึกว่ามีไอสีขาวซึมเข้าไปในร่างกายของตัวเอง
ในตอนแรกเขาไม่ได้รู้สึกอะไร แต่หลังจากนั้นไม่นาน ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างมาก นั่นคือพลังเวทขั้นสูงสุด!
ไม่มีร่องรอยของตราพลังจิตประทับอยู่กลางไอสีขาวเล็กๆ นั้น มันเรียบนิ่งและสงบ
จากที่ดูคงเป็นพลังเวทในจำนวนน้อยนิด และหลังจากที่เข้าไปในตัวเขาแล้ว ไอสีขาวเล็กๆ ก็ตกลงมารวมตัวกันเป็นฝุ่นผงราวกับเมล็ดพืช ซึ่งไม่ได้รวมเข้ากับพลังเวทที่อยู่รายรอบ
เมล็ดพันธุ์พลังเวทนี้เปรียบเหมือนหลวงจีนที่ละทางโลก ปราศจากการโต้เถียง บริสุทธิ์ผุดผ่อง ทำให้เขาได้สัมผัสความหมายบางอย่างว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่มีค่ามาก
เขากำลังครุ่นคิด ‘อาจารย์ผู้มีพระคุณของเขาคงกลัวว่าแก่นแท้ของพลังเวทย์ระดับนี้อาจต่างกันกับของเขา
เซวียเฟิงโค้งคำนับนอบน้อมพลางกล่าวด้วยความเคารพว่า “เซวียเฟิงขอขอบคุณท่านสำหรับของขวัญแห่งการรู้แจ้ง ในอนาคตหากท่านต้องการสิ่งใด ตราบใดที่เซวียเฟิงไม่มีงานราชการรัดตัว จะขอทำหน้าที่เป็นศิษย์ท่านอีกคน”
เขาคิดว่าที่อีกฝ่ายมอบแก่นแท้ของพลังเวทนี้แก่ตน หมายความว่าเขากำลังแสดงให้เห็นถึงวิธีการฝึกฝนพลังเวท
เพื่อให้ได้ประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่แบบนี้ เขาจึงต้องเข้าเป็นศิษย์และรับใช้อีกคนโดยปริยาย
หากพูดถึงการมีส่วนร่วมและการแบ่งปัน เมล็ดพันธุ์พลังเวทนั้นมีค่าอ้างอิงที่ยอดเยี่ยมสำหรับการฝึกฝนในอนาคต
อัศวิน A “พูดได้ดี ตามใจเจ้าเถอะ”
เมื่อเห็นเซวียเฟิงออกไปพร้อมกับดาบแล้ว เทพแห่งระบบก็ไม่สบายใจอีกครั้ง “ทำไมระบบถึงรู้สึกว่าเขาได้รับผลประโยชน์ยิ่งใหญ่นัก นี่ระบบให้มากเกินไปไหม?”
ฟางหนิง “สิ่งที่แกให้ไปนั้นน้อยมาก…แต่ถ้าหากแกเพิ่มระดับการฟาร์มปีศาจได้ ปราณมังกรโกรธเกรี้ยวก็จะยิ่งทรงพลังมากขึ้นเท่านั้น ฉันไม่สนใจพลังเวทปราณกำเนิดอะไรนั่นหรอก ฉันรู้ว่ามันมาจากพระโพธิสัตว์ปีศาจ เขาเป็นพระโพธิสัตว์ที่ลงมาจุติ เขาที่มีพลังเวทย์มาก สำหรับผู้ฝึกฝนปุถุชนธรรมดาแล้วต้องเป็นสมบัติจากสวรรค์อย่างแน่นอน”
ระบบ “ตอนนี้ระบบยังไม่เข้าใจการฝึกพลังปราณกำเนิดของพวกเขา เพราะงั้นระบบจะให้ค่าตอบแทนที่สูงหน่อย คราวหน้าคงไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว”
ฟางหนิงพูดไม่ออก “แกทำดีแล้วล่ะ เซวียเฟิงเป็นตัวละครที่อยู่ข้างเรา มันจะดีสำหรับเราถ้าเขาได้รับประโยชน์ อย่างน้อยต่อไปก็จะได้บินฟรีๆ สิ่งนี้สามารถประหยัดทั้งความพยายามและเงินได้มาก แกจะได้ไม่เสียมันไปโดยเปล่าประโยชน์ ต่อไปฉันจะขอให้เจ้าสุนัขเด็กเรียนจดบันทึกหนังสือทั้งหมดที่มันอ่าน ถ้าแกกลัวว่ามันจะไม่เข้ากับระบบวิทยายุทธ์ของแกก็ไม่ต้องเรียนรู้ แค่จำมันไว้ก็พอ เมื่อถึงตอนนั้นไม่ใช่ว่าแกจะสามารถเข้าใจมันได้ทั้งหมดแล้วเหรอ?”
ฟางหนิงพูดจบ เขาก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ใต้ฝ่าเท้าและเมื่อมองลงไป ไม่รู้ว่าเมื่อไรที่เจ้าหมาดำเจ้าหมาเหลืองทั้งสองตัวมานอนอยู่บนพื้นแล้วจ้องมาที่เขาแล้ว
ดีอะไรอย่างนี้ ฉันเพิ่งคุยเรื่องเจ้าหมาเหลืองกับระบบไปหยกๆ เจ้าหมอนี่ก็มาได้เวลาแถมยังพาเจ้าหมาดำมาด้วย ช่างใจตรงกันจริงๆ หึหึ…
ช่างเถอะ ถ้าอย่างนั้นก็ใช้โอกาสนี้เลยแล้วกัน
ฟางหนิงกระแอมไอเล็กน้อย วางมาดของเจ้านายที่กำลังเอ่ยชมเชยพนักงานช่วงสิ้นปี
อัศวิน A “ถึงการปราบปีศาจครั้งนี้จะยากลำบาก แต่ในที่สุดก็สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี หมาดำไป๋หลี่แกไปบอกให้เจิ้งเต้าโทรหาร้านรสชาติของฟางซื่อแล้วเชิญพ่อครัวมา วันนี้เราจะมีงานเลี้ยงฉลองหลังปราบปีศาจกัน! ส่วนเซวียปา…”
ทันทีเจ้าหมาดำได้ยิน มันก็แสดงพลังออกมาทันทีรีบหมุนตัว ‘ฟิ้ว’ หายไป…
ฟางหนิง ‘เจ้าบ้า ฉันยังพูดไม่จบเลย…’
เจ้าหมาเหลืองเซวียปาหันมองไปทางเจ้าหมาดำที่เพิ่งจะจากไป ใบหน้าของมันเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ “เจ้านั่นไม่ได้ทำอะไรเลย แต่พอได้ยินว่าจะได้กินอาหารมื้อใหญ่ กลับวิ่งไปเร็วขนาดนั้น เราในตอนนี้ไม่ต้องกังวลเลยว่าจะต้องมาแย่งความโปรดปรานกับมัน…”
………………………………………………………………..