เมื่อผมโดนระบบครองร่าง – บทที่ 109 มีประโยคหนึ่งอยากมอบให้โฮสต์

บทที่ 109 มีประโยคหนึ่งอยากมอบให้โฮสต์

บทที่ 109 มีประโยคหนึ่งอยากมอบให้โฮสต์
อัศวิน A ออกมาจากบ้านของตระกูลจ้าว และกลับไปที่ฟาร์มวิลล่าของตัวเอง จากนั้นก็เริ่มนั่งสมาธิและฝึกฝนทันทีโดยไม่ปล่อยให้เวลาเสียเปล่าแม้นาทีเดียว

เพิ่งจะได้รับค่าประสบการณ์จำนวนมากมา ถ้าเทพแห่งระบบไม่รีบเร่งทำการทดลอง คงจะเริ่มฝึกฝนเพื่อแปลงเป็นความแข็งแกร่งนานแล้ว

การอัพเกรดวิชายุทธ์นั้น ไม่ว่าจะเป็น ‘การเปลี่ยนร่างมังกร’ หรือ ‘คัมภีร์พลังปราณแท้จักรวาล’ ล้วนทรงพลังมาก ทักษะและเอฟเฟกต์บัฟแรงกล้า และต้องใช้การประสานกับวิชายุทธ์ระบบศิลปะการต่อสู้ของระบบปัจจุบัน หลังจากอัพเกรดแล้วก็จะเพิ่มความแข็งแกร่งได้มาก เพียงแต่ต้องใช้พลังงานมากกว่า และต้องใช้ค่าประสบการณ์จำนวนมหาศาลในการอัพเกรดหนึ่งเลเวล

อีกอย่างต้องอัพเกรดระดับด้วย เพราะมีหลายทักษะที่บรรลุจุดสูงสุดจะไม่สามารถอัพเกรดได้อีก แต่เมื่อทำการอัพเกรดจะยังสามารถช่วยเพิ่มค่าสถานะได้

หลายชั่วโมงต่อมา อัศวิน A ผู้กำลังสงบนิ่งจากการนั่งสมาธินั้น ก็เอนร่างล้มลงบนเตียง เขาหยิบผ้าขึ้นมาห่มไว้อย่างดี ท่านอนไม่ต่างอะไรจากฟางหนิงที่ผล็อยหลับไปก่อนหน้านี้ สภาพของผ้าห่มยังคงเรียบสนิทเช่นเดิม…

ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นเบาๆ เจิ้งเต้ามาแจ้งว่างานเลี้ยงไล่ปีศาจได้ตระเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว เชิญท่านอัศวินไปเข้าร่วมได้

ทันทีที่ฟางหนิงได้ยินเสียงเคาะประตู เขาก็รู้สึกตัว

เขาลืมตาตื่น สัมผัสได้กำลังวังชาที่ฟื้นฟูแล้วเรียบร้อย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีความสงสัยเล็กๆ ในใจว่า “น่าแปลกจริงๆ ทำไมรู้สึกว่าการนอนด้วยร่างของตัวเองบนเตียงนอนไม่ต่างจากการนอนในร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ของระบบก่อนหน้านี้เลยล่ะ?

ช่วงแรกก็รู้สึกสบายตัวอยู่หรอก แต่ว่าช่วงหลังๆ กลับรู้สึกเหมือนเดิม เอาเถอะ อาจเป็นเพราะการฝึกฝน ‘การเปลี่ยนร่างมังกร’ ของเรามีความก้าวหน้าขึ้นมาก เป็นไปได้ว่าตอนนี้จึงไม่มีความแตกต่างกันมากนักระหว่างการนอนด้วยพลังจิตและการนอนด้วยร่างกาย

หลังจากพอใจกับตัวเองแล้ว ฟางหนิงก็ใช้มือหยิบผ้าห่มกำลังจะลูกขึ้นจากที่นอน แต่สายตาก็เหลือบไปเห็นความผิดปกติบางอย่างเข้าพอดี ‘ให้ตายเถอะหลับไปตื่นหนึ่ง สภาพของผ้าห่มกลับเหมือนเดิมไม่มีผิด เป็นไปได้ยังไง? หลังจากหลับเขาต้องกลิ้งไปกลิ้งมาหลายครั้งสิ ถึงจะรู้สึกสบายตัว ต้องมีบางอย่างผิดปกติแน่…’

อย่างไรก็ตาม มีลูกศิษย์รออยู่ข้างนอก ฟางหนิงขี้เกียจที่จะคิดเกี่ยวกับเรื่องประหลาดนี้แล้ว จึงสวมเสื้อผ้าและเปิดประตูออกไป

“นายท่าน ในร้านอาหารจัดเตรียมงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว เชิญท่านไปกล่าวอะไรกับทุกคนสักหน่อยเถอะ” เจิ้งเต้าเอ่ยด้วยความนบนอบ

“ลำบากคุณแล้วล่ะ” ฟางหนิงว่าพลางก็ออกเดิน “เดี๋ยวคุณเองก็ทานเยอะๆ ล่ะ การฝึกฝนหลังจากนี้ จะใช้พลังงานค่อนข้างมาก”

“ขอบคุณนายท่านที่เป็นห่วง” เจิ้งเต้าตอบ

ในร้านอาหาร ด้านบนของโต๊ะกลมขนาดใหญ่เต็มไปด้วยอาหารรสเลิศหลากหลายชนิด รูปร่างนั้นแปลกตาสวยงาม รสชาติก็ไม่ธรรมดา ทำให้ผู้คนมีความอยากอาหารมากขึ้น

งานเลี้ยงเป็นการกินจานแยก จะมีจานขนาดใหญ่วางไว้ด้านหน้าแต่ละคน ขณะตักอาหาร ใช้ชุดอุปกรณ์ทานอาหารร่วมกันชุดหนึ่ง แต่เมื่อตักทานก็จะใช้ชุดอุปกรณ์แยกอีกชุดหนึ่ง

เจิ้งเต้าอธิบายประเด็นนี้โดยละเอียด เขาเป็นคนรอบคอบและใส่ใจกับทุกสิ่ง

การจัดการรูปแบบนี้ไม่เพียงได้ดูแลเพื่อนสุนัขทั้งสองเท่านั้น แต่ทำให้ท่านอัศวินได้รู้สึกผ่อนคลานด้วย

จากการอยู่ด้วยกันหลายวันมานี้ มีหลายครั้งที่เขาเห็นว่า ‘เพื่อนร่วมงานทั้งสองใช้ปากแย่งกระดูกในชามกันโต้งๆ ซึ่งเขาทนกับภาพพวกนั้นไม่ได้จริงๆ’

หากเป็นที่ส่วนตัวก็ไม่ต้องถือสาอะไรหรอก แต่ในเมื่อท่านอัศวินก็อยู่ด้วยแล้ว เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น

สำหรับชุดอุปกรณ์ทานอาหารของมนุษย์นั้น เขาไม่จำเป็นต้องกังวลว่าเพื่อนร่วมงานทั้งสองจะใช้ไม่เป็น พวกมันไม่ใช่สุนัขธรรมดา พวกมันสามารถยืดอุ้งเท้าสุนัขของตัวเองให้ยาวขึ้นได้ ให้เหมือนกับมือมนุษย์

เขาเคยเห็นหลายครั้งแล้ว ‘ขณะสุนัขดำกำลังดูวิดีโอหรือรายการทีวีที่บ้าน มันมักจะใช้อุ้งเท้าสุนัขของมันควบคุมเมาส์หรือรีโมทคอนโทรลได้คล่องกว่าเขาเสียอีก ส่วนสุนัขเหลือง เขาเคยเห็นเพียงท่าทางของมันที่ใช้อุ้งเท้าสุนัขค่อยๆ พลิกหนังสืออย่างระมัดระวัง แต่คิดว่าไม่ต่างกันมากหรอก…’

ฟางหนิงไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลย เขาคิดเพียงว่า นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้ใช้ร่างกายของตัวเองกินข้าว?

หลังจากเทพแห่งระบบอัพเกรด ‘การเปลี่ยนร่างมังกร’ เป็นระดับกลาง เขากินอาหารเพียงเดือนละหนึ่งมื้อใหญ่เท่านั้น และใช้เวลาในการกินหนึ่งวันเต็ม ตัวเขาเองก็ขี้เกียจที่จะต้องเสียเวลากับเรื่องนั้น จึงไม่ได้ให้ระบบคืนเวลากินข้าวให้กับตน

ข้อดีก็คือมีเวลาเล่นเกมเพิ่มขึ้นหนึ่งวัน ข้อเสียก็คือตนไม่ได้เพลิดเพลินกับอาหารเลิศรสเลย แต่วันนี้สามารถชดเชยได้เล็กน้อยแล้ว

ฟางหนิงนั่งลงสุนัขสองตัวกับอีกหนึ่งคนนั่งลงฝั่งตรงข้าม ไม่มีบ่าวใช้สำหรับเสิร์ฟอาหาร…

ฟางหนิงเอ่ย “ขอเริ่มงานเลี้ยงไล่ปีศาจตั้งแต่บัดนี้ นี่คือรางวัลสำหรับทุกคน ตามสบายได้เลย อยากกินอะไรก็หยิบเอา ไม่จำเป็นต้องยับยั้งชั่งใจใดๆ”

เจิ้งเต้าพยักหน้าและนั่งลง หลังจากที่ฟางหนิงใช้ตะเกียบชิมอาหารแล้ว พวกเขาก็เริ่มลงมือ

เจิ้งเต้ากินอย่างมีมารยาท แต่สุนัขทั้งสองกลับเริ่มแย่งกันอีกแล้ว

สุนัขเหลืองเซวียปาสู้สุนัขดำไป๋หลี่ที่กล้ามเป็นมัดๆ ไม่ได้ เมื่อกินต่อหน้าเจ้านาย มันจึงไม่สามารถใช้ปากแย่งได้ ทำได้เพียงใช้ชุดอุปกรณ์อย่างว่าง่าย ในด้านนี้อุ้งเท้าสุนัขของมันมีความว่องไวน้อยกว่าสุนัขดำมาก ซึ่งความเคยชินคือบ่อเกิดของความชำนาญ…

มันสงสัยอยู่ในใจ ‘เมื่อครู่ฉันเหนือกว่าแกไม่ใช่เหรอ? แต่ทำไมอยู่บนโต๊ะอาหารเจ้าสุนัขดำนี่จึงไม่รู้จักมารยาทแบบนี้ ไม่รู้หรือไงว่ากระดูกชิ้นใหญ่ต้องเสียสละให้ลูกพี่กิน?’

ดังนั้น มันจึงต้องใช้วิชาทางสายตา จ้องไปที่สุนัขดำ “วางกระดูกใหญ่ในจานของลูกพี่สิ…”

สุนัขดำไป๋หลี่กำลังกัดแทะอย่างมีความสุขแล้วตอบกลับมา “เจ้านายบอกว่ากินได้ตามสบาย…”

สุนัขเหลืองเซวียปาหมดคำพูด “พอถึงเวลากิน สมองของแกก็ใช้งานได้ไม่ดีแล้ว?”

“ขอบคุณที่ชม” สุนัขดำพูดพลางใช้ตะเกียบคีบไก่ย่างอีกตัวไปอย่างคล่องแคล่ว “ถ้ากินน้อยไป ฉันจะมีแรงวิดพื้นทุกวันได้ยังไงล่ะ? วันๆ แกอ่านแต่หนังสือ ต้องกินอะไรที่บำรุงสมองให้มาก อย่าจ้องแต่กระดูกใหญ่สิ! ตอนนี้แกกำลังเรียนรู้ ‘คัมภีร์พลังปราณแท้จักรวาล’ ซึ่งต้องใช้พลังงานสมองมากที่สุด เอาล่ะ ฉันจะตักผักให้ลูกพี่นะ”

พูดจบสุนัขดำก็คีบเมล็ดวอลนัท พุทรา เห็ดหูหนูอะไรทำนองนั้นจากจานอย่างชำนาญ ทุกอย่างที่ได้ชื่อว่าเป็นการบำรุงสมอง จึงตกอยู่ในจานอาหารของเซวียปาอย่างรวดเร็ว

เมื่อเซวียปาเห็นว่าจานใหญ่ตรงหน้าได้เต็มไปด้วยผักเหล่านี้จนไม่มีที่ว่างสำหรับอย่างอื่นแล้ว มันก็ถลึงตาใส่สุนัขดำอีกครั้ง “ฉันมีประโยคหนึ่งอยากมอบให้กับแก…”

ขณะเดียวกันที่ฟางหนิงกำลังตักอาหาร เขาก็เห็นฉากนี้พอดี จึงพยักหน้าแสดงความพอใจอย่างสุดซึ้ง ‘สุนัขโสดสองตัวนี้ดูเข้ากันได้ดีทีเดียว ดูเหมือนตนก็มีพรสวรรค์ในการจัดการกับผู้ใต้บังคับบัญชาเหมือนกัน…’

เจิ้งเต้าที่รู้ความจริงไม่พูดอะไรออกมา เพียงแค่ก้มหน้ากินข้าวต่อไป

ฟางหนิงกินไปส่วนหนึ่ง ได้ลิ้มรสบ้าง ก็รู้สึกเพียงพอแล้ว ‘เทพแห่งระบบทำให้ความอยากอาหารของอัศวิน A มีมากเกินไป ถ้าให้เขากินจนอิ่ม คนอื่นๆ ก็ไม่ต้องกินอะไรแน่’

ดังนั้นเขาจึงลุกออกไป และบอกหนึ่งคนกับสุนัขสองตัวให้ตามสบาย

ไม่นานหลังจากนั้น เจิ้งเต้าเองก็ลุกออกไปอย่างเงียบๆ เช่นกัน เขาไม่สามารถอยู่แย่งอาหารกับเพื่อนร่วมงานทั้งสองได้จริงๆ…

ฟางหนิงกลับไปที่ห้องนอนของเขา เขาเปิดคอมพิวเตอร์และเริ่มเล่นเกม จะว่าไปเขาก็ไม่ได้ใช้ร่างกายของตัวเองเล่นเกมมานานแล้วเหมือนกัน

เล่นไปถึงครึ่งทาง เทพแห่งระบบก็ตะโกนขึ้นมา

ระบบ “ระบบขอถามอะไรบางอย่าง?”

ฟางหนิงหยุดเกมและรีบตอบ “ไม่ต้องเกรงใจ มีอะไรก็ว่ามาสิ”

แม้จะเป็นเวลาอิสระ ก็ไม่อาจหยิ่งผยองเกินไปได้ อย่างไรก็มีเวลาแค่สัปดาห์เดียวเท่านั้น

ระบบ “อื้ม เมื่อกี้ระบบทำการทด… อ้อ ไม่มีอะไร ระบบก็แค่ถาม อาจารย์ปีศาจงูของโฮสต์ถือได้ว่าเป็นคนชี้ทางการเปิดใช้งานเส้นทางมิอาจเทียบเทียมของเรา ตอนนี้โฮสต์ต้องการที่จะตอบแทนพระคุณอาจารย์ปีศาจงูหรือยัง?

ฟางหนิงขมวดคิ้ว ‘เจ้านี่มันหมายความว่ายังไงกัน? หรือเกิดอะไรขึ้นกับว่าที่แม่ยายของตน?’

เขารีบถามกลับ “ตอนนี้พวกเขาตกอยู่ในอันตรายหรือ?”

ระบบ “ไม่ ตอนนี้มีทักษะในตำนานอย่าง ‘ช่วยเหลือหมื่นลี้’ หากพวกเขาถูกคุกคามร้ายแรงล่ะก็ ระบบจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าอย่างแน่นอน ระบบจะรู้ทันทีโฮสต์ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้หรอก ระบบถามแค่ว่า ตอนนี้โฮสต์อยากตอบแทนเธออย่างไร?”

ฟางหนิงรู้สึกโล่งใจ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ที่คิดถึงตนและเป็นกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของตัวตนที่แท้จริงของตนนั้นมีเพียงครอบครัวของประธานจ้าวเท่านั้น เขามองออกว่า พวกเขาคิดว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขานานแล้ว

ฟางหนิงพูดต่อว่า “ตอบแทนเหรอ เมื่อก่อนฉันเคยคิดวิธีมาบ้าง แต่ก่อนหน้านี้เพิ่งจะได้รับ ‘ช่วยเหลือหมื่นลี้’ ไม่ใช่หรอกเหรอ? ถ้าเกิดมีการแจ้งเตือนภัยคุกคาม ฉันจะรีบเรียกให้นายไปช่วยทันที นี่ไม่ใช่วิธีตอบแทนที่ดีที่สุดเหรอ?

“ส่วนวิธีตอบแทนอื่นๆ หลังจากได้รับทักษะนั้นแล้ว ฉันก็ไม่เคยคิดอีกเลย ฉันกลัวว่าถ้าเกิดหลังจากที่แกช่วยตอบแทนไปหนึ่งครั้ง ต่อไปถ้าเกิดพวกเขาต้องการความช่วยเหลืออีก หากแกกำลังฟาร์มบอสใหญ่อะไรหรืออะไรขึ้นมา และบอกว่า ‘ก่อนหน้านี้ได้ตอบแทนน้ำใจไมตรีของพวกเขาเสร็จสิ้นแล้ว ตอนนี้ไม่ต้องสนใจความเป็นความตายของพวกเขาหรอก ’ อะไรทำนองนั้น”

ระบบรีบโต้กลับทันที “จะเป็นไปได้ยังไง ระบบจะทำแบบนั้นได้ยังไงกัน?”

ฟางหนิงกลอกตา “สิ่งเดียวที่สามารถบังคับแกได้จริงๆ ก็คือกฎ แกเชื่อมั่นในการกระทำของตัวเองมาโดยตลอด ถ้าได้ฟาร์มปีศาจก็ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น… ก่อนหน้านี้ก็เคยเกิดขึ้นแล้วนี่ ไม่ว่าฉันจะบอกเหตุผลอะไรไปแกก็ไม่ฟัง แกลืมไปหมดแล้วเหรอ?”

“ฉันไม่มีวิธีควบคุมแกหรอก ฉันต้องเก็บความคิดนี้ไว้ ให้กลายเป็นความโหยหาในยามฉุกเฉิน ความโหยหาของฉันนั้นแข็งแกร่งมากพอ มันสามารถกระตุ้นการตั้งค่าลับได้ ต้องทำให้แกยอมช่วยเหลือคนแน่ๆ และถึงยังไงก็ตามไม่ว่าจะกำลังฟาร์มปีศาจอะไรก็ไม่มีทางที่จะสู้ผลประโยชน์ที่จะได้รับจากการตั้งค่าลับได้หรอก ใช่ไหม?”

“แน่นอน ฉันมีนิสัยเหมือนคนธรรมดา มักจะไม่ทำอะไรจริงจัง และในอนาคตข้างหน้าก็คงไม่มีทางสำเร็จทักษะเทพขั้นสูงอะไร แต่ถ้ามีความคิดแปลกใหม่มากหน่อยก็อาจช่วยได้ เทพแห่งระบบท่านมีข้อได้เปรียบมากมายขนาดนั้น ต้องอัพเกรดและฝึกฝนให้ดีล่ะ อย่างน้อยๆ ก็ต้องเทียบเคียงกับเหล่าบอสใหญ่ในระดับใหม่แต่ละระดับได้ หรือสูงกว่าขั้นหนึ่งดีที่สุด เพื่อไม่ให้ ‘ช่วยเหลือหมื่นลี้’ ต้องกลายเป็น ‘ช่วยตายหมื่นลี้’…”

ระบบ “โฮสต์คุณรู้จักตระหนักในตัวเองจริงๆ แน่นอนว่าระบบต้องอัพเกรดและฝึกฝนให้ดีอยู่แล้ว เรื่องนี้ไม่ต้องให้โฮสต์พูดหรอก เล่นเกมของโฮสต์ต่อไปเถอะ แค่โฮสต์ไม่ลืมหาปีศาจให้ระบบเยอะๆ ระบบก็ไม่มีทางล้าหลังพวกเขาเด็ดขาด”

เมื่อฟางหนิงได้ยินก็รู้สึกซาบซึ้งใจ แต่ก็รู้สึกสงสัยขึ้นมา “ไม่คิดว่าวันนี้นายจะมีเหตุผลมากขนาดนี้ เมื่อได้ยินที่ฉันพูด ไม่คิดเลยว่าแกจะไม่ถือโอกาสบังคับฉันให้ฝึกฝนล่วงเวลาในอนาคต…”

ระบบ “โอ้ นั่นเป็นเพราะเพิ่งจะได้รับผลประโยชน์มหาศาลไงล่ะ และตอนนี้ระบบขี้เกียจโต้เถียงกับโฮสต์แล้ว”

ฟางหนิง “อย่างนี้นี่เอง หมดธุระแล้วใช่ไหม ฉันจะกลับไปเล่นจริงๆ แล้วนะ…”

ระบบ “เดี๋ยวก่อน ระบบมีบางอย่างจะพูด”

ฟางหนิงจนปัญญา “ระบบวันนี้แกทำอะไรให้มันได้ใจหน่อยได้ไหม? มีเรื่องอะไรสินะ? หรือต้องการให้ทำความสะอาดขยะระบบ?”

ระบบ “ระบบคิดไม่ถึงว่าวิธีการตอบแทนครอบครัวปีศาจงูของโฮสต์จะเป็นแบบนี้ ไม่แปลกที่ระบบไม่สามารถกระตุ้น… ไม่ โฮสต์มองการณ์ไกลและรอบคอบเสียจริง ไม่คิดว่าจะพิจารณาครบทุกด้านแล้ว! ประมาทโฮสต์ไม่ได้เลยเด็ดขาด เกินคาดอีกแล้ว ตอนนี้ระบบมีประโยคหนึ่งที่อยากมอบให้โฮสต์เป็นอย่างมาก…”

เมื่อฟางหนิงได้ยินก็รู้สึกภูมิใจ ไม่คิดว่าสิ่งที่ตนแค่พูดออกไปจะทำให้เทพแห่งระบบตกใจได้

สันนิษฐานว่าเจ้านี่จะต้องว่าง่ายไปอีกระยะหนึ่งแน่

เขาแสร้งพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉย “พูดออกมาเลยสิ ตอนนี้นายอยากพูดว่า ‘โฮสต์เยี่ยมจริงๆ ต่อไประบบจะเชื่อฟังคุณทุกอย่าง จะไม่คลั่งอีกแล้ว’ อะไรทำนองนี้ใช่ไหม?”

ระบบ “ไม่ใช่ แต่เป็นอีกประโยคหนึ่ง ‘ทำไมโฮสต์ไม่พูดแต่แรก! ทำไมโฮสต์ไม่พูดแต่แรก! ทำไมโฮสต์ไม่พูดแต่แรก!…’

เทพแห่งระบบตะโกนอยู่ข้างหูฟางหนิงจนเขาเกือบจะล้มลงกับพื้น

เขาปิดหู แต่มันไร้ประโยชน์ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเทพแห่งระบบกันแน่ และหลังจากเล่นจบไปสามรอบ เสียงนั่นก็ยังเล่นซ้ำในหัวของเขา…”

ตอนนี้สมองของฟางหนิงตื่นเต็มตัวแล้ว ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงความผิดปกติที่เห็นตอนตื่นนอน เขาเข้าใจในทันทีแล้วโต้กลับ “เดี๋ยวก่อน หุบปาก! แกแอบขโมยเวลานอนของฉันไปทำเรื่องอะไรบ้าๆ ใช่ไหม? และตอนนี้ก็มาบ่นฉันว่าไม่พูดแต่แรก? ไม่แปลกที่แกจะพูดมากขนาดนี้!”

ระบบหยุดพูดทันที “ไม่มีอะไร ระบบไม่ได้ทำอะไร อ้อ เล่นให้สนุกล่ะ ระบบจะไปฝึกวิทยายุทธ์ต่อแล้ว!”

…………………………………………………………………

เมื่อผมโดนระบบครองร่าง

เมื่อผมโดนระบบครองร่าง

Status: Ongoing

จู่ๆ ก็มีดาวตกพุ่งลงมาที่โลก ทำเอาพื้นดินถึงกับสั่นไหวเล็กน้อย

แต่แรงสั่นสะเทือนนั้นกลับทำให้ 'ฟางหนิง' หัวโขกกับโต๊ะคอมพิวเตอร์จนสลบไป

ตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตัวเขามีระบบ ขณะที่กำลังจะดีใจว่าในที่สุดก็มีขาทองคำมาให้เกาะ

เจ้าระบบนั่นกลับประเมินว่าเขาเป็นโรคขี้เกียจระยะสุดท้าย ปล่อยไว้ไม่มีทางเจริญก้าวหน้า

และทำการยึดครองร่างของเขาซะงั้น!?

...

จากหนุ่มโอตาคุผู้แสนจะขี้เกียจที่ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยไปวันๆ

กลับต้องลุกขึ้นมาเปลี่ยนโฉมตนเองเป็นฮีโร่คอยปราบปรามเหล่าปีศาจร้าย

ปกป้องเมืองที่ตนอยู่อาศัย และฝึกวิทยายุทธ์เพื่อก้าวสู่จุดสูงสุดนิ้วทองคำของระบบ!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท