บทที่ 109 มีประโยคหนึ่งอยากมอบให้โฮสต์
อัศวิน A ออกมาจากบ้านของตระกูลจ้าว และกลับไปที่ฟาร์มวิลล่าของตัวเอง จากนั้นก็เริ่มนั่งสมาธิและฝึกฝนทันทีโดยไม่ปล่อยให้เวลาเสียเปล่าแม้นาทีเดียว
เพิ่งจะได้รับค่าประสบการณ์จำนวนมากมา ถ้าเทพแห่งระบบไม่รีบเร่งทำการทดลอง คงจะเริ่มฝึกฝนเพื่อแปลงเป็นความแข็งแกร่งนานแล้ว
การอัพเกรดวิชายุทธ์นั้น ไม่ว่าจะเป็น ‘การเปลี่ยนร่างมังกร’ หรือ ‘คัมภีร์พลังปราณแท้จักรวาล’ ล้วนทรงพลังมาก ทักษะและเอฟเฟกต์บัฟแรงกล้า และต้องใช้การประสานกับวิชายุทธ์ระบบศิลปะการต่อสู้ของระบบปัจจุบัน หลังจากอัพเกรดแล้วก็จะเพิ่มความแข็งแกร่งได้มาก เพียงแต่ต้องใช้พลังงานมากกว่า และต้องใช้ค่าประสบการณ์จำนวนมหาศาลในการอัพเกรดหนึ่งเลเวล
อีกอย่างต้องอัพเกรดระดับด้วย เพราะมีหลายทักษะที่บรรลุจุดสูงสุดจะไม่สามารถอัพเกรดได้อีก แต่เมื่อทำการอัพเกรดจะยังสามารถช่วยเพิ่มค่าสถานะได้
หลายชั่วโมงต่อมา อัศวิน A ผู้กำลังสงบนิ่งจากการนั่งสมาธินั้น ก็เอนร่างล้มลงบนเตียง เขาหยิบผ้าขึ้นมาห่มไว้อย่างดี ท่านอนไม่ต่างอะไรจากฟางหนิงที่ผล็อยหลับไปก่อนหน้านี้ สภาพของผ้าห่มยังคงเรียบสนิทเช่นเดิม…
ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นเบาๆ เจิ้งเต้ามาแจ้งว่างานเลี้ยงไล่ปีศาจได้ตระเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว เชิญท่านอัศวินไปเข้าร่วมได้
ทันทีที่ฟางหนิงได้ยินเสียงเคาะประตู เขาก็รู้สึกตัว
เขาลืมตาตื่น สัมผัสได้กำลังวังชาที่ฟื้นฟูแล้วเรียบร้อย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีความสงสัยเล็กๆ ในใจว่า “น่าแปลกจริงๆ ทำไมรู้สึกว่าการนอนด้วยร่างของตัวเองบนเตียงนอนไม่ต่างจากการนอนในร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ของระบบก่อนหน้านี้เลยล่ะ?
ช่วงแรกก็รู้สึกสบายตัวอยู่หรอก แต่ว่าช่วงหลังๆ กลับรู้สึกเหมือนเดิม เอาเถอะ อาจเป็นเพราะการฝึกฝน ‘การเปลี่ยนร่างมังกร’ ของเรามีความก้าวหน้าขึ้นมาก เป็นไปได้ว่าตอนนี้จึงไม่มีความแตกต่างกันมากนักระหว่างการนอนด้วยพลังจิตและการนอนด้วยร่างกาย
หลังจากพอใจกับตัวเองแล้ว ฟางหนิงก็ใช้มือหยิบผ้าห่มกำลังจะลูกขึ้นจากที่นอน แต่สายตาก็เหลือบไปเห็นความผิดปกติบางอย่างเข้าพอดี ‘ให้ตายเถอะหลับไปตื่นหนึ่ง สภาพของผ้าห่มกลับเหมือนเดิมไม่มีผิด เป็นไปได้ยังไง? หลังจากหลับเขาต้องกลิ้งไปกลิ้งมาหลายครั้งสิ ถึงจะรู้สึกสบายตัว ต้องมีบางอย่างผิดปกติแน่…’
อย่างไรก็ตาม มีลูกศิษย์รออยู่ข้างนอก ฟางหนิงขี้เกียจที่จะคิดเกี่ยวกับเรื่องประหลาดนี้แล้ว จึงสวมเสื้อผ้าและเปิดประตูออกไป
“นายท่าน ในร้านอาหารจัดเตรียมงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว เชิญท่านไปกล่าวอะไรกับทุกคนสักหน่อยเถอะ” เจิ้งเต้าเอ่ยด้วยความนบนอบ
“ลำบากคุณแล้วล่ะ” ฟางหนิงว่าพลางก็ออกเดิน “เดี๋ยวคุณเองก็ทานเยอะๆ ล่ะ การฝึกฝนหลังจากนี้ จะใช้พลังงานค่อนข้างมาก”
“ขอบคุณนายท่านที่เป็นห่วง” เจิ้งเต้าตอบ
ในร้านอาหาร ด้านบนของโต๊ะกลมขนาดใหญ่เต็มไปด้วยอาหารรสเลิศหลากหลายชนิด รูปร่างนั้นแปลกตาสวยงาม รสชาติก็ไม่ธรรมดา ทำให้ผู้คนมีความอยากอาหารมากขึ้น
งานเลี้ยงเป็นการกินจานแยก จะมีจานขนาดใหญ่วางไว้ด้านหน้าแต่ละคน ขณะตักอาหาร ใช้ชุดอุปกรณ์ทานอาหารร่วมกันชุดหนึ่ง แต่เมื่อตักทานก็จะใช้ชุดอุปกรณ์แยกอีกชุดหนึ่ง
เจิ้งเต้าอธิบายประเด็นนี้โดยละเอียด เขาเป็นคนรอบคอบและใส่ใจกับทุกสิ่ง
การจัดการรูปแบบนี้ไม่เพียงได้ดูแลเพื่อนสุนัขทั้งสองเท่านั้น แต่ทำให้ท่านอัศวินได้รู้สึกผ่อนคลานด้วย
จากการอยู่ด้วยกันหลายวันมานี้ มีหลายครั้งที่เขาเห็นว่า ‘เพื่อนร่วมงานทั้งสองใช้ปากแย่งกระดูกในชามกันโต้งๆ ซึ่งเขาทนกับภาพพวกนั้นไม่ได้จริงๆ’
หากเป็นที่ส่วนตัวก็ไม่ต้องถือสาอะไรหรอก แต่ในเมื่อท่านอัศวินก็อยู่ด้วยแล้ว เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น
สำหรับชุดอุปกรณ์ทานอาหารของมนุษย์นั้น เขาไม่จำเป็นต้องกังวลว่าเพื่อนร่วมงานทั้งสองจะใช้ไม่เป็น พวกมันไม่ใช่สุนัขธรรมดา พวกมันสามารถยืดอุ้งเท้าสุนัขของตัวเองให้ยาวขึ้นได้ ให้เหมือนกับมือมนุษย์
เขาเคยเห็นหลายครั้งแล้ว ‘ขณะสุนัขดำกำลังดูวิดีโอหรือรายการทีวีที่บ้าน มันมักจะใช้อุ้งเท้าสุนัขของมันควบคุมเมาส์หรือรีโมทคอนโทรลได้คล่องกว่าเขาเสียอีก ส่วนสุนัขเหลือง เขาเคยเห็นเพียงท่าทางของมันที่ใช้อุ้งเท้าสุนัขค่อยๆ พลิกหนังสืออย่างระมัดระวัง แต่คิดว่าไม่ต่างกันมากหรอก…’
ฟางหนิงไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลย เขาคิดเพียงว่า นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้ใช้ร่างกายของตัวเองกินข้าว?
หลังจากเทพแห่งระบบอัพเกรด ‘การเปลี่ยนร่างมังกร’ เป็นระดับกลาง เขากินอาหารเพียงเดือนละหนึ่งมื้อใหญ่เท่านั้น และใช้เวลาในการกินหนึ่งวันเต็ม ตัวเขาเองก็ขี้เกียจที่จะต้องเสียเวลากับเรื่องนั้น จึงไม่ได้ให้ระบบคืนเวลากินข้าวให้กับตน
ข้อดีก็คือมีเวลาเล่นเกมเพิ่มขึ้นหนึ่งวัน ข้อเสียก็คือตนไม่ได้เพลิดเพลินกับอาหารเลิศรสเลย แต่วันนี้สามารถชดเชยได้เล็กน้อยแล้ว
ฟางหนิงนั่งลงสุนัขสองตัวกับอีกหนึ่งคนนั่งลงฝั่งตรงข้าม ไม่มีบ่าวใช้สำหรับเสิร์ฟอาหาร…
ฟางหนิงเอ่ย “ขอเริ่มงานเลี้ยงไล่ปีศาจตั้งแต่บัดนี้ นี่คือรางวัลสำหรับทุกคน ตามสบายได้เลย อยากกินอะไรก็หยิบเอา ไม่จำเป็นต้องยับยั้งชั่งใจใดๆ”
เจิ้งเต้าพยักหน้าและนั่งลง หลังจากที่ฟางหนิงใช้ตะเกียบชิมอาหารแล้ว พวกเขาก็เริ่มลงมือ
เจิ้งเต้ากินอย่างมีมารยาท แต่สุนัขทั้งสองกลับเริ่มแย่งกันอีกแล้ว
สุนัขเหลืองเซวียปาสู้สุนัขดำไป๋หลี่ที่กล้ามเป็นมัดๆ ไม่ได้ เมื่อกินต่อหน้าเจ้านาย มันจึงไม่สามารถใช้ปากแย่งได้ ทำได้เพียงใช้ชุดอุปกรณ์อย่างว่าง่าย ในด้านนี้อุ้งเท้าสุนัขของมันมีความว่องไวน้อยกว่าสุนัขดำมาก ซึ่งความเคยชินคือบ่อเกิดของความชำนาญ…
มันสงสัยอยู่ในใจ ‘เมื่อครู่ฉันเหนือกว่าแกไม่ใช่เหรอ? แต่ทำไมอยู่บนโต๊ะอาหารเจ้าสุนัขดำนี่จึงไม่รู้จักมารยาทแบบนี้ ไม่รู้หรือไงว่ากระดูกชิ้นใหญ่ต้องเสียสละให้ลูกพี่กิน?’
ดังนั้น มันจึงต้องใช้วิชาทางสายตา จ้องไปที่สุนัขดำ “วางกระดูกใหญ่ในจานของลูกพี่สิ…”
สุนัขดำไป๋หลี่กำลังกัดแทะอย่างมีความสุขแล้วตอบกลับมา “เจ้านายบอกว่ากินได้ตามสบาย…”
สุนัขเหลืองเซวียปาหมดคำพูด “พอถึงเวลากิน สมองของแกก็ใช้งานได้ไม่ดีแล้ว?”
“ขอบคุณที่ชม” สุนัขดำพูดพลางใช้ตะเกียบคีบไก่ย่างอีกตัวไปอย่างคล่องแคล่ว “ถ้ากินน้อยไป ฉันจะมีแรงวิดพื้นทุกวันได้ยังไงล่ะ? วันๆ แกอ่านแต่หนังสือ ต้องกินอะไรที่บำรุงสมองให้มาก อย่าจ้องแต่กระดูกใหญ่สิ! ตอนนี้แกกำลังเรียนรู้ ‘คัมภีร์พลังปราณแท้จักรวาล’ ซึ่งต้องใช้พลังงานสมองมากที่สุด เอาล่ะ ฉันจะตักผักให้ลูกพี่นะ”
พูดจบสุนัขดำก็คีบเมล็ดวอลนัท พุทรา เห็ดหูหนูอะไรทำนองนั้นจากจานอย่างชำนาญ ทุกอย่างที่ได้ชื่อว่าเป็นการบำรุงสมอง จึงตกอยู่ในจานอาหารของเซวียปาอย่างรวดเร็ว
เมื่อเซวียปาเห็นว่าจานใหญ่ตรงหน้าได้เต็มไปด้วยผักเหล่านี้จนไม่มีที่ว่างสำหรับอย่างอื่นแล้ว มันก็ถลึงตาใส่สุนัขดำอีกครั้ง “ฉันมีประโยคหนึ่งอยากมอบให้กับแก…”
ขณะเดียวกันที่ฟางหนิงกำลังตักอาหาร เขาก็เห็นฉากนี้พอดี จึงพยักหน้าแสดงความพอใจอย่างสุดซึ้ง ‘สุนัขโสดสองตัวนี้ดูเข้ากันได้ดีทีเดียว ดูเหมือนตนก็มีพรสวรรค์ในการจัดการกับผู้ใต้บังคับบัญชาเหมือนกัน…’
เจิ้งเต้าที่รู้ความจริงไม่พูดอะไรออกมา เพียงแค่ก้มหน้ากินข้าวต่อไป
ฟางหนิงกินไปส่วนหนึ่ง ได้ลิ้มรสบ้าง ก็รู้สึกเพียงพอแล้ว ‘เทพแห่งระบบทำให้ความอยากอาหารของอัศวิน A มีมากเกินไป ถ้าให้เขากินจนอิ่ม คนอื่นๆ ก็ไม่ต้องกินอะไรแน่’
ดังนั้นเขาจึงลุกออกไป และบอกหนึ่งคนกับสุนัขสองตัวให้ตามสบาย
ไม่นานหลังจากนั้น เจิ้งเต้าเองก็ลุกออกไปอย่างเงียบๆ เช่นกัน เขาไม่สามารถอยู่แย่งอาหารกับเพื่อนร่วมงานทั้งสองได้จริงๆ…
ฟางหนิงกลับไปที่ห้องนอนของเขา เขาเปิดคอมพิวเตอร์และเริ่มเล่นเกม จะว่าไปเขาก็ไม่ได้ใช้ร่างกายของตัวเองเล่นเกมมานานแล้วเหมือนกัน
เล่นไปถึงครึ่งทาง เทพแห่งระบบก็ตะโกนขึ้นมา
ระบบ “ระบบขอถามอะไรบางอย่าง?”
ฟางหนิงหยุดเกมและรีบตอบ “ไม่ต้องเกรงใจ มีอะไรก็ว่ามาสิ”
แม้จะเป็นเวลาอิสระ ก็ไม่อาจหยิ่งผยองเกินไปได้ อย่างไรก็มีเวลาแค่สัปดาห์เดียวเท่านั้น
ระบบ “อื้ม เมื่อกี้ระบบทำการทด… อ้อ ไม่มีอะไร ระบบก็แค่ถาม อาจารย์ปีศาจงูของโฮสต์ถือได้ว่าเป็นคนชี้ทางการเปิดใช้งานเส้นทางมิอาจเทียบเทียมของเรา ตอนนี้โฮสต์ต้องการที่จะตอบแทนพระคุณอาจารย์ปีศาจงูหรือยัง?
ฟางหนิงขมวดคิ้ว ‘เจ้านี่มันหมายความว่ายังไงกัน? หรือเกิดอะไรขึ้นกับว่าที่แม่ยายของตน?’
เขารีบถามกลับ “ตอนนี้พวกเขาตกอยู่ในอันตรายหรือ?”
ระบบ “ไม่ ตอนนี้มีทักษะในตำนานอย่าง ‘ช่วยเหลือหมื่นลี้’ หากพวกเขาถูกคุกคามร้ายแรงล่ะก็ ระบบจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าอย่างแน่นอน ระบบจะรู้ทันทีโฮสต์ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้หรอก ระบบถามแค่ว่า ตอนนี้โฮสต์อยากตอบแทนเธออย่างไร?”
ฟางหนิงรู้สึกโล่งใจ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ที่คิดถึงตนและเป็นกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของตัวตนที่แท้จริงของตนนั้นมีเพียงครอบครัวของประธานจ้าวเท่านั้น เขามองออกว่า พวกเขาคิดว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขานานแล้ว
ฟางหนิงพูดต่อว่า “ตอบแทนเหรอ เมื่อก่อนฉันเคยคิดวิธีมาบ้าง แต่ก่อนหน้านี้เพิ่งจะได้รับ ‘ช่วยเหลือหมื่นลี้’ ไม่ใช่หรอกเหรอ? ถ้าเกิดมีการแจ้งเตือนภัยคุกคาม ฉันจะรีบเรียกให้นายไปช่วยทันที นี่ไม่ใช่วิธีตอบแทนที่ดีที่สุดเหรอ?
“ส่วนวิธีตอบแทนอื่นๆ หลังจากได้รับทักษะนั้นแล้ว ฉันก็ไม่เคยคิดอีกเลย ฉันกลัวว่าถ้าเกิดหลังจากที่แกช่วยตอบแทนไปหนึ่งครั้ง ต่อไปถ้าเกิดพวกเขาต้องการความช่วยเหลืออีก หากแกกำลังฟาร์มบอสใหญ่อะไรหรืออะไรขึ้นมา และบอกว่า ‘ก่อนหน้านี้ได้ตอบแทนน้ำใจไมตรีของพวกเขาเสร็จสิ้นแล้ว ตอนนี้ไม่ต้องสนใจความเป็นความตายของพวกเขาหรอก ’ อะไรทำนองนั้น”
ระบบรีบโต้กลับทันที “จะเป็นไปได้ยังไง ระบบจะทำแบบนั้นได้ยังไงกัน?”
ฟางหนิงกลอกตา “สิ่งเดียวที่สามารถบังคับแกได้จริงๆ ก็คือกฎ แกเชื่อมั่นในการกระทำของตัวเองมาโดยตลอด ถ้าได้ฟาร์มปีศาจก็ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น… ก่อนหน้านี้ก็เคยเกิดขึ้นแล้วนี่ ไม่ว่าฉันจะบอกเหตุผลอะไรไปแกก็ไม่ฟัง แกลืมไปหมดแล้วเหรอ?”
“ฉันไม่มีวิธีควบคุมแกหรอก ฉันต้องเก็บความคิดนี้ไว้ ให้กลายเป็นความโหยหาในยามฉุกเฉิน ความโหยหาของฉันนั้นแข็งแกร่งมากพอ มันสามารถกระตุ้นการตั้งค่าลับได้ ต้องทำให้แกยอมช่วยเหลือคนแน่ๆ และถึงยังไงก็ตามไม่ว่าจะกำลังฟาร์มปีศาจอะไรก็ไม่มีทางที่จะสู้ผลประโยชน์ที่จะได้รับจากการตั้งค่าลับได้หรอก ใช่ไหม?”
“แน่นอน ฉันมีนิสัยเหมือนคนธรรมดา มักจะไม่ทำอะไรจริงจัง และในอนาคตข้างหน้าก็คงไม่มีทางสำเร็จทักษะเทพขั้นสูงอะไร แต่ถ้ามีความคิดแปลกใหม่มากหน่อยก็อาจช่วยได้ เทพแห่งระบบท่านมีข้อได้เปรียบมากมายขนาดนั้น ต้องอัพเกรดและฝึกฝนให้ดีล่ะ อย่างน้อยๆ ก็ต้องเทียบเคียงกับเหล่าบอสใหญ่ในระดับใหม่แต่ละระดับได้ หรือสูงกว่าขั้นหนึ่งดีที่สุด เพื่อไม่ให้ ‘ช่วยเหลือหมื่นลี้’ ต้องกลายเป็น ‘ช่วยตายหมื่นลี้’…”
ระบบ “โฮสต์คุณรู้จักตระหนักในตัวเองจริงๆ แน่นอนว่าระบบต้องอัพเกรดและฝึกฝนให้ดีอยู่แล้ว เรื่องนี้ไม่ต้องให้โฮสต์พูดหรอก เล่นเกมของโฮสต์ต่อไปเถอะ แค่โฮสต์ไม่ลืมหาปีศาจให้ระบบเยอะๆ ระบบก็ไม่มีทางล้าหลังพวกเขาเด็ดขาด”
เมื่อฟางหนิงได้ยินก็รู้สึกซาบซึ้งใจ แต่ก็รู้สึกสงสัยขึ้นมา “ไม่คิดว่าวันนี้นายจะมีเหตุผลมากขนาดนี้ เมื่อได้ยินที่ฉันพูด ไม่คิดเลยว่าแกจะไม่ถือโอกาสบังคับฉันให้ฝึกฝนล่วงเวลาในอนาคต…”
ระบบ “โอ้ นั่นเป็นเพราะเพิ่งจะได้รับผลประโยชน์มหาศาลไงล่ะ และตอนนี้ระบบขี้เกียจโต้เถียงกับโฮสต์แล้ว”
ฟางหนิง “อย่างนี้นี่เอง หมดธุระแล้วใช่ไหม ฉันจะกลับไปเล่นจริงๆ แล้วนะ…”
ระบบ “เดี๋ยวก่อน ระบบมีบางอย่างจะพูด”
ฟางหนิงจนปัญญา “ระบบวันนี้แกทำอะไรให้มันได้ใจหน่อยได้ไหม? มีเรื่องอะไรสินะ? หรือต้องการให้ทำความสะอาดขยะระบบ?”
ระบบ “ระบบคิดไม่ถึงว่าวิธีการตอบแทนครอบครัวปีศาจงูของโฮสต์จะเป็นแบบนี้ ไม่แปลกที่ระบบไม่สามารถกระตุ้น… ไม่ โฮสต์มองการณ์ไกลและรอบคอบเสียจริง ไม่คิดว่าจะพิจารณาครบทุกด้านแล้ว! ประมาทโฮสต์ไม่ได้เลยเด็ดขาด เกินคาดอีกแล้ว ตอนนี้ระบบมีประโยคหนึ่งที่อยากมอบให้โฮสต์เป็นอย่างมาก…”
เมื่อฟางหนิงได้ยินก็รู้สึกภูมิใจ ไม่คิดว่าสิ่งที่ตนแค่พูดออกไปจะทำให้เทพแห่งระบบตกใจได้
สันนิษฐานว่าเจ้านี่จะต้องว่าง่ายไปอีกระยะหนึ่งแน่
เขาแสร้งพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉย “พูดออกมาเลยสิ ตอนนี้นายอยากพูดว่า ‘โฮสต์เยี่ยมจริงๆ ต่อไประบบจะเชื่อฟังคุณทุกอย่าง จะไม่คลั่งอีกแล้ว’ อะไรทำนองนี้ใช่ไหม?”
ระบบ “ไม่ใช่ แต่เป็นอีกประโยคหนึ่ง ‘ทำไมโฮสต์ไม่พูดแต่แรก! ทำไมโฮสต์ไม่พูดแต่แรก! ทำไมโฮสต์ไม่พูดแต่แรก!…’
เทพแห่งระบบตะโกนอยู่ข้างหูฟางหนิงจนเขาเกือบจะล้มลงกับพื้น
เขาปิดหู แต่มันไร้ประโยชน์ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเทพแห่งระบบกันแน่ และหลังจากเล่นจบไปสามรอบ เสียงนั่นก็ยังเล่นซ้ำในหัวของเขา…”
ตอนนี้สมองของฟางหนิงตื่นเต็มตัวแล้ว ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงความผิดปกติที่เห็นตอนตื่นนอน เขาเข้าใจในทันทีแล้วโต้กลับ “เดี๋ยวก่อน หุบปาก! แกแอบขโมยเวลานอนของฉันไปทำเรื่องอะไรบ้าๆ ใช่ไหม? และตอนนี้ก็มาบ่นฉันว่าไม่พูดแต่แรก? ไม่แปลกที่แกจะพูดมากขนาดนี้!”
ระบบหยุดพูดทันที “ไม่มีอะไร ระบบไม่ได้ทำอะไร อ้อ เล่นให้สนุกล่ะ ระบบจะไปฝึกวิทยายุทธ์ต่อแล้ว!”
…………………………………………………………………