เมื่อผมโดนระบบครองร่าง – บทที่ 146 อัศวิน A ผู้ยิ่งใหญ่

บทที่ 146 อัศวิน A ผู้ยิ่งใหญ่

บทที่ 146 อัศวิน A ผู้ยิ่งใหญ่

ณ ดินแดนมรดก ภายนอกฐานสำนักงานใหญ่ของสำนักงานสัจธรรม เป็นลานหญ้าราบเรียบที่ไม่ได้ลาดซีเมนต์ มีเพียงรั้วไม้เตี้ยๆ ล้อมรอบสำนักงานใหญ่และล้อมอาณาเขตอันกว้างขวาง ประตูไม้พยูงโบราณบานหนึ่งเชื่อมภายในกับภายนอก ถ้ามองจากไกลๆ ก็ดูเหมือนค่ายโบราณทั่วไป ไม่ใช่ฐานที่มั่นสำคัญทางทหารของชาติมหาอำนาจสมัยใหม่แต่อย่างใด

ในเวลานี้อัศวิน A ยืนอยู่คนเดียวราวกับมือกระบี่ไร้เทียมทาน เขายืนอยู่นอกประตูท่าทางสบายๆ

แต่ทหารที่คอยสังเกตความเคลื่อนไหวของเขาจากฐานลับที่อยู่ไม่ไกล เมื่อมองดูต่างก็ตื่นตะลึง

อัศวิน A ที่ร่ำลือกันว่ามีรูปลักษณ์ที่ไม่ธรรมดา ท่วงท่าสง่าผ่าเผยมั่นใจ กิริยาท่าทางโดดเด่น แค่ยืนเฉยๆ ก็เป็นมาตรฐานของอัศวินผู้ยิ่งใหญ่

ไม่นานก็เห็นประตูไม้พะยูงบานใหญ่เปิดออกช้าๆ

หลังจากนั้นคนกลุ่มหนึ่งก็ออกมาจากด้านใน คนแรกเป็นชายชราผู้สง่างาม มีแผลเป็นที่ใบหน้าด้านซ้าย บุคลิกท่าทางจริงจังเคร่งขรึม ระหว่างก้าวเดินก็สังเกตเห็นได้ง่ายว่าเขามีพื้นฐานทางการทหารมาก่อน และอาวุโสที่สุดในกลุ่ม

ฟางหนิงนึกถึงข้อมูลที่เจิ้งต้าวรวบรวมให้เขาก่อนหน้านี้ คนผู้นี้น่าจะเป็นหนึ่งในหกผู้นำของสำนักงานสัจธรรม ผู้อาวุโสไห่ หัวหน้าตระกูลไห่และหัวหน้าหน่วยต่อสู้ของสำนักงานสัจธรรม เชี่ยวชาญการบัญชาการรบขนาดใหญ่และในกรณีฉุกเฉินสามารถเรียกระดมกองกำลังแทบจะทั้งหมดที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของสำนักงานสัจธรรมได้ ถือได้ว่ากุมอำนาจสำคัญ

คนที่อยู่ด้านซ้ายของผู้อาวุโสไห่ ก็คือผู้อาวุโสอีกคน แค่เมื่อเทียบกับผู้อาวุโสไห่แล้วยังอายุน้อยกว่ามาก ใบหน้าขาวซีด สวมแว่นตาสำหรับผู้สูงอายุ ท่าทางมีความรู้ลุ่มลึกราวกับศาสตราจารย์

ฟางหนิงจำอีกฝ่ายได้ คนผู้นี้น่าจะเป็นผู้อาวุโสสวี่ ผู้อำนวยการสถาบันฝึกอบรมพิเศษของสำนักงานสัจธรรม เชี่ยวชาญด้านการสอนหนังสือ คนเก่งหัวกะทิของสำนักงานสัจธรรมและหน่วยกิจการพิเศษหลายคนเป็นลูกศิษย์ของเขาจึงมีอิทธิพลสูง

ด้านขวามือของผู้อาวุโสไห่นั้นเป็นคนที่เขาคุ้นเคย เฉียวอันผิง เขารูปร่างสูงใหญ่กำยำและใบหน้าหยาบกร้าน ไม่ได้โกนหนวดมาหลายวันแล้ว หนวดเครายาวปกคลุมคาง ดึงดูดสายตาของผู้อื่นได้ทันที

เขามองไปด้านหลัง ยังมีอีกสองคนที่ฟางหนิงรู้จัก คนหนึ่งคือน้องสาวของเฉียวจื่อซาน สาวน้อยเฉียวจื่อเจียง อีกคนเป็นชายวัยกลางคนที่เพิ่งจะพบกันก่อนวันปีใหม่ น่าจะชื่อว่าเซี่ยตง เป็นสมาชิกของหน่วยประชาสัมพันธ์สำนักงานสัจธรรม

เมื่อฟางหนิงเห็นผู้ชายคนนี้ก็รู้สึกดีใจมาก โชคดีที่ข้อควรระวังทั้งหมดอยู่ในเอกสารที่เตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว อีกเดี๋ยวให้ระบบออกมาเจรจาก็พอ หากอาศัยแค่พลิกแพลงไปตามสถานการณ์ ก็มีโอกาสมากที่จะทำให้คนอื่นสังเกตเห็นความผิดปกติ

สมาชิกในหน่วยประชาสัมพันธ์ที่ชื่อเซี่ยตงน่าจะแยกแยะจริงเท็จในคำพูดได้ แต่เขาไม่อาจแยกแยะระบบที่ไม่ใช่มนุษย์ได้ จึงได้แต่ถือว่าทุกอย่างเป็นความจริงเท่านั้น…

อัศวิน A ปรากฏตัวที่นี่กะทันหัน แม้ว่าทุกคนจะต้อนรับ แต่ในเมื่อทุกคนไม่ใช่ระบบย่อมต้องระวังตัว มันคือกฎในระบบและไม่ได้เปลี่ยนแปลงตามเจตจำนงส่วนตัว

ฟางหนิง “ระบบ ในบันทึกเอกสารของฉัน ถ้าพวกเขาถามคำถามที่เกี่ยวข้อง แกตอบคำถามตามที่ฉันเขียนให้ อย่าเผลอเปิดเผยความลับล่ะ แกรู้ข้อมูลที่ชาวเทียนจู๋มอบให้อยู่แล้ว ไม่ต้องให้ฉันพูดอะไรมาก”

น้ำเสียงของระบบค่อนข้างตรงไปตรงมา “รู้แล้ว”

ผู้อาวุโสไห่ทักทายเขาด้วยเสียงหัวเราะ “ฮ่าๆ” แล้วจับมือกับอัศวิน A

อัศวิน A ย่อมไม่สแกนใบหน้าของอีกฝ่าย อีกเดี๋ยวยังต้องพึ่งพาเขาจับปีศาจ…

“ช่างน่าละอายจริงๆ มัวแต่การงานยุ่งรัดตัว ได้ยินชื่อเสียงและเลื่อมใสท่านมังกรแห่งจิตวิญญาณมานาน ท่านอัศวินกำจัดมารปราบปีศาจหลายต่อหลายครั้ง ยังช่วยเหลือชาวบ้านเสินโจว แต่คนแก่อย่างฉันไม่เคยไปขอบคุณเป็นการส่วนตัวเลย ต้องขออภัยท่านอัศวินด้วย…”

ผู้อาวุโสไห่กล่าวอย่างจริงใจ

อัศวิน A “ไม่เป็นไร ข้าขอขอบคุณพวกท่าน หลังจากเรื่องนั้น ข้าพอใจมาก ถ้าต่อไปมีเรื่องทำนองนี้อีก เชิญท่านติดต่อพ่อบ้านของข้าได้เต็มที่”

เฉียวจื่อเจียงเหลือบมองเซี่ยตงที่อยู่ข้างๆ อีกฝ่ายกะพริบตาและเธอก็เข้าใจทันที ‘คำพูดนี้คือความจริง’

ผู้อาวุโสไห่ “วันนี้มีโอกาสได้พบท่านมังกรแห่งจิตวิญญาณมีเสน่ห์โดดเด่น ร่างกายของมังกรแท้ราวกับเทพเซียนมาจุติ ช่างโดดเด่นไม่ธรรมดาจริงๆ เป็นพรของเสินโจวและโชคดีของชาวบ้านจริงๆ”

อัศวิน A “ท่านสายตาหลักแหลม ข้ากำเนิดมาจากสวรรค์ ร่างกายทั่วไปย่อมมีลักษณะพิเศษตามธรรมชาติ”

เซี่ยตง ‘ความจริง’

เฉียวจื่อเจียงพูดไม่ออกครู่หนึ่ง ไม่ใช่คุยโวจริงๆ เหรอ อัศวิน A นั้น ‘มาจากสวรรค์’ จริงๆ ดูเหมือนว่ามีบางเรื่องจะต้องพิจารณาใหม่

หลังจากที่ทั้งสองทักทายกันสั้นๆ ผู้อาวุโสไห่ก็แนะนำทุกคนให้รู้จักกับอัศวิน A สั้นๆ แล้วเอ่ยขึ้น “เรื่องทางทหารเป็นเรื่องเร่งด่วน ไม่อาจพูดคุยเรื่องเก่ากับท่านอัศวินได้นาน ได้โปรดให้อภัย เราเข้าไปที่ห้องบัญชาการเพื่อหารือเกี่ยวกับการต่อสู้กันเถอะ”

ฟางหนิง ‘ระบบรอจนทนไม่ไหวนานแล้ว…’

แววตาของอัศวิน A เป็นประกาย “ข้าคิดเช่นนี้พอดี นำทางไปเถิด”

ไม่นานทุกคนก็กลับไปที่ศูนย์บัญชาการ ผู้อาวุโสไห่อธิบายสถานการณ์ปัจจุบันสั้นๆ ชาวเทียนจู๋ถืออำนาจบาตรใหญ่และกำลังบัญชาการสัตว์ปีศาจที่บ้าคลั่งให้โจมตีฐานที่มั่นดินแดนมรดกที่สำนักงานสัจธรรมบุกเบิกมาอย่างยากลำบาก

เฉียวจื่อเจียงส่งสัญญาณขอพูด พอผู้อาวุโสไห่พยักหน้าแล้วเธอก็เอ่ยถาม “ตอนนี้เรากำลังตามไล่ล่าชาวเทียนจู๋กลุ่มนั้น ไม่ทราบท่านรู้ที่อยู่ของพวกเขาหรือไม่”

อัศวิน A “แน่นอน ตอนนี้พวกนั้นอยู่ในนรก”

เฉียวจื่อเจียงแปลกใจจึงถามขึ้น “ท่านทราบเรื่องนี้ได้ยังไง”

อัศวิน A “ก่อนหน้านี้ข้าไปต่างประเทศเพื่อร่วมการแข่งขันอันดับมืด ต่อมาพบว่าการแข่งขันค่อนข้างแปลก ดูเหมือนว่าจะมีการสมรู้ร่วมคิดที่จะฆ่าข้า

“เมื่อตรวจสอบเรื่องนี้ก็บังเอิญพบกับร่องรอยของชาวเทียนจู๋กลุ่มนี้ จึงติดตามพวกเขาตลอดทางจนมาถึงสถานที่แห่งนี้ พบว่าพวกเขาสมรู้ร่วมคิดกับปีศาจอสรพิษตนหนึ่งและทะเยอทะยานเข่นฆ่าสิ่งมีชีวิต พวกเขาถูกข้าสังหารแล้ว…”

น้ำเสียงของอีกฝ่ายราบเรียบราวกับว่าการฆ่าคณะสำรวจชาวเทียนจู๋เหมือนกับการบี้มดสองสามตัวเท่านั้น

เวลานี้เซี่ยตงอยู่ที่มุมหนึ่งของศูนย์บัญชาการ เฉียวจื่อเจียงเอียงศีรษะเล็กน้อย และเห็นอีกฝ่ายขยิบตาเพื่อส่งสัญญาณ ‘เป็นความจริงทั้งหมด’

เฉี่ยวจื่อเจียงพลันชื่นชมผู้อาวุโสสวี่ ขิงแก่ยังเผ็ดร้อน ตัวเองคาดเดาต่างๆ นานา แต่ผู้อาวุโสสวี่สามารถมองทะลุนิสัยของอัศวิน A ได้ พูดถึงความเป็นไปได้มากที่สุดคือการติดตามชาวเทียนจู๋มายังสถานที่ลับสุดยอดนี้ มันไม่เกี่ยวข้องกับมังกรหลงฝานสักนิดเดียว ดูท่าตัวเองจะมองอีกฝ่ายผิดไป

ผู้อาวุโสสวี่ได้ฟังแล้ว สีหน้าก็ลังเลเล็กน้อย แต่ยังไม่พูดอะไรออกมา

เฉียวอันผิงหัวเราะ “ฮ่าๆ”

“อย่างนี้เอง จริงๆ แล้วท่านก็มีอุปนิสัยเช่นเดียวกับครอบครัวเฉียวของข้า ไอ้สารเลวพวกนั้นควรถูกฆ่าให้หมด! คราวที่แล้วไม่มีโอกาส หลังต่อสู้ครั้งนี้แล้ว พวกเราต้องดื่มกันสักหน่อย…”

ผู้อาวุโสไห่ “พวกนั้นจ้องอยากได้ดินแดนของเราตาเป็นมัน ฆ่าพวกมันก็ไม่เห็นเป็นไร พวกมันถูกท่านสังหารแล้ว แต่ทำไมสัตว์ปีศาจพวกนั้นถึงดูเหมือนยังถูกควบคุมอยู่ล่ะ ท่านพอจะทราบเหตุผลหรือไม่”

ฟางหนิง ‘ถือได้ว่าเข้าประเด็นแล้ว’

อัศวิน A “อสรพิษที่สมรู้ร่วมคิดกับพวกเขาคืองูจงอางตัวหนึ่ง เป็นหนึ่งในสามเทพเจ้าของชาวเทียนจู๋และเป็นร่างอวตารของเทพแห่งการทำลายล้างในโลกมนุษย์ ฝึกฝนอยู่ที่นี่มาหลายปี มีพลังจิตแรงกล้าและเชี่ยวชาญในการควบคุมสัตว์ต่างๆ”

ผู้อาวุโสไห่พยักหน้า “เป็นเช่นนั้นเอง ขอบคุณท่านอัศวินที่ทำงานหนักและมาบอกข่าวอันล้ำค่านี้ให้ทราบ อีกประเดี๋ยวเราจะส่งคำขอบคุณไปให้ท่าน”

คนส่วนใหญ่ในสำนักงานสัจธรรมรู้ดี ขอแค่ไม่ปล่อยให้อัศวิน A ทำงานเปล่าๆ แบบนี้อีกฝ่ายก็จะคุยกันได้ง่าย อีกทั้งค่าตอบแทนก็ควรตรงไปตรงมา อย่าอ้อมค้อม

อัศวิน A “จะพิจารณาคำขอบคุณในภายหลัง ข้ามาที่นี่ไม่ใช่แค่มาเพื่อแจ้งข่าวเท่านั้น แต่ตอนนี้พลังจิตของข้ายังไม่ได้รับการฟื้นฟู พลังของข้าฝ่ายเดียวเป็นการยากที่จะปราบอสรพิษตัวนี้ จึงมาที่นี่เพื่อที่จะขอแรงพวกท่านหน่อย”

เมื่อได้ฟังแล้ว ผู้อาวุโสไห่ก็รีบเอ่ยขึ้น “ท่านกล่าวเกินไปแล้ว พวกเราน่าจะเป็นฝ่ายยืมพลังของท่านอัศวินถึงจะถูก การรับมืองูจงอางเป็นงานของพวกเรา แต่มันทำให้ท่านรู้สึกจัดการได้ยาก ฉะนั้นต้องระมัดระวัง ยอมเสียเวลาและสละดินแดนบางส่วนชั่วคราว เราจะรีบร้อนออกไปไม่ได้ มิฉะนั้นจะมีผู้บาดเจ็บล้มตายเพิ่มขึ้น”

“เพียงแต่ไม่รู้ว่าระดับพลังของงูจงอางตัวนั้นอยู่ระดับไหนและมีพลังจิตอะไรบ้าง ท่านจะช่วยอธิบายให้เราทราบหน่อยได้ไหม” คราวนี้ฟางหนิงไม่สามารถสอนระบบให้พูดได้ เพราะเขาไม่รู้ถึงความแข็งแกร่งของงูจงอางแม้แต่น้อย ได้แต่ให้ระบบเล่นบทบาทเอง

อัศวิน A มองไปรอบๆ ทีละคนแล้วเอ่ยขึ้น

พอเขาขยับปาก ทุกคนก็ตั้งใจฟังทันที มังกรแท้ที่เป็นหนึ่งในผู้แข็งแกร่งที่สุดในโลกแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับอสรพิษที่ทรงพลัง ทุกถ้อยคำต้องมีค่าอย่างยิ่งแน่นอน

อัศวิน A “มันเป็นเรื่องปกติ ข้าจะบอกพวกท่านเกี่ยวกับความร้ายกาจของงูจงอางตัวนี้ แค่ก่อนที่จะพูด มีเรื่องหนึ่งที่อยากบอกพวกท่าน การประเมินจุดแข็งจุดอ่อนพลังของข้ามีมาตรฐานของตัวเอง ซึ่งแตกต่างจากพวกท่านมนุษย์ทั่วไป”

ผู้อาวุโสไห่พยักหน้า “ท่านมองการณ์ไกล การประเมินพลังย่อมแม่นยำและชัดเจนกว่า พวกเรากำลังตั้งใจฟังและเรียนรู้”

เมื่อฟางหนิงได้ยินเช่นนั้นก็รู้ว่าไม่เข้าท่าแล้ว จึงรีบตะโกน “หยุด หุบปาก อย่าพูด…”

แม้จะตะโกนห้ามสามครั้งก็ไร้ประโยชน์ ระบบยังคงเมินเฉย อัศวิน A เพียงแต่พยักหน้าพลางชี้นิ้วไปยังคนที่เขาเคยเห็นมาก่อน นั่นคือชายวัยกลางคนเซี่ยตง

“ข้าเคยเจอเซี่ยตงคนนี้มาแล้ว เขาเป็นคนที่ความแข็งแกร่งอ่อนด้อยที่สุดในบรรดาทุกคนที่นี่ ลองใช้เขาเป็นตัวอย่างละกัน ในระดับพลังของข้า เขาเป็นเพียงผู้เล่นระดับช้อนส้อม ระดับผู้เล่นระดับช้อนส้อมเทียบเท่ากับระดับชามข้าว ใส่น้ำได้น้อยมาก ถ้าออกไปต่อสู้ ไม่นานก็ถูกกำจัดจนนำไปสู่โศกนาฏกรรมอันไร้ค่า…”

สายตาของทุกคนต่างมองชายวัยกลางคนเซี่ยตงด้วยความเห็นอกเห็นใจ เขาดูไร้เดียงสาและพูดกับตัวเองในใจ ‘ฉันคิดว่าชีวิตของฉันไม่ใช่โศกนาฏกรรม’

หลังจากเข้ามาในสำนักงานสัจธรรมแล้ว เขาไม่ขาดอะไรเลย องค์กรช่วยลูกสะใภ้ให้ได้งาน ค่ารักษาพยาบาลและอนาคตของลูกๆ ก็ช่วยจัดการให้ ทั้งครอบครัวอาศัยอยู่ในพื้นที่ครอบครัวของสำนักงานสัจธรรมที่ปลอดภัยเป็นพิเศษ ไม่มีอะไรที่จะต้องกังวล

‘แต่ทำไมฉันได้ยินว่าอัศวิน A พูดแต่ความจริงล่ะ ระดับของฉันพอเข้าสนามรบก็ตาย เมื่อถึงตอนนั้นจะมีคนช่วยฉันไหม’

เซี่ยตงกวาดสายตามองทุกคน สิ่งที่ใจเขาต้องการคือหาต้นขาอันแข็งแกร่งเพื่อกอดไว้ ต่อไปถ้าเกิดการต่อสู้ เขาอยู่ในหน่วยประชาสัมพันธ์ก็จริง แต่ก็อาจจะต้องเข้าสู่สนามรบก็เป็นได้

ฟางหนิงได้ฟังก็อึ้งไป เป็นอย่างนี้จริงๆ ระบบงี่เง่ากำลังรอ รู้แล้วว่าเมื่อกี้ไม่ควรหยาบคายกับมัน เรียกมัน ‘ระบบจิ๋ว’ คงจะเรียกจนมันรำคาญ นี่เป็นการฉวยโอกาสแก้แค้น…สายตาของอัศวิน A มองเฉี่ยวจื่อเจียง เฉียวจื่อเจียงพลันรู้สึกหนาวสั่นทั้งตัว นี่เป็นการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับตัวเองหรือไม่ หรือว่าตัวเองแม้แต่ระดับช้อนส้อมก็ไม่ถึงเหรอ

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เธอจึงรีบไปซ่อนหลังคุณอาเฉียวอันผิง

แต่มันไม่มีประโยชน์เพราะสายตาทุกคนต่างก็มองมาที่เธอแล้ว

เป็นอย่างที่คิดจริงๆ อัศวิน A เริ่มพูดถึงเธอ “ข้าคุ้นเคยกับเฉียวจื่อเจียงมาก พูดถึงเธอละกัน แม้ว่าอายุยังน้อยแต่ก็แข็งแกร่งกว่าเซี่ยตงมาก ข้าเห็นว่าน่าจะเป็นผู้เล่นระดับถังน้ำ หนึ่งถังจุน้ำได้เท่าไหร่ แน่นอนว่าต้องมากกว่าชามหนึ่งใบมากทีเดียว ทุกคนสามารถเห็นได้อย่างรวดเร็ว เพียงแต่ว่าถังน้ำของเธออาจจะรั่ว น่าจะเป็นเพราะวิธีการฝึกฝนไม่ตรงกับพรสวรรค์ของเธอ”

หลังจากที่เฉียวจื่อเจียงได้ฟัง แม้ว่าเธอจะได้รับการประเมินในระดับถังน้ำแต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกแย่ สีหน้าก็ดูตกตะลึงมาก เธอไม่จำเป็นต้องถามเซี่ยตงก็รู้ว่าคำพูดนั้นเป็นความจริง

หากเปรียบเทียบกับเกม พรสวรรค์การฝึกฝนของเธอนั้นพิเศษมาก เธอเป็นผู้เล่นที่เรียกว่าผู้อัญเชิญ ฝึกฝนให้วิญญาณปีศาจกลายเป็นสัตว์เลี้ยงปีศาจที่รับคำสั่งจากเธอ ไม่จำเป็นต้องเผชิญหน้ากับศัตรูโดยตรงจึงปลอดภัยมาก ถ้าหากสัตว์เลี้ยงปีศาจแข็งแกร่งมากจนเกินความแข็งแกร่งของเธอ มันก็มีแนวโน้มมากที่จะย้อนกลับมาทำร้ายเธอ นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่เธอลังเลที่จะแลกเปลี่ยนวิธีการฝึกฝนอันยอดเยี่ยมกับหลงฝานสักที

เธอหาเท่าไรก็ยังไม่พบวิธีการฝึกฝนที่เข้ากันมากพอ โชคดีที่ได้ความช่วยเหลือจากดินแดนมรดก การฝึกฝนรวดเร็ว จึงยังมองเห็นผลไม่ชัดเจน

……………………………………………………

เมื่อผมโดนระบบครองร่าง

เมื่อผมโดนระบบครองร่าง

Status: Ongoing

จู่ๆ ก็มีดาวตกพุ่งลงมาที่โลก ทำเอาพื้นดินถึงกับสั่นไหวเล็กน้อย

แต่แรงสั่นสะเทือนนั้นกลับทำให้ 'ฟางหนิง' หัวโขกกับโต๊ะคอมพิวเตอร์จนสลบไป

ตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตัวเขามีระบบ ขณะที่กำลังจะดีใจว่าในที่สุดก็มีขาทองคำมาให้เกาะ

เจ้าระบบนั่นกลับประเมินว่าเขาเป็นโรคขี้เกียจระยะสุดท้าย ปล่อยไว้ไม่มีทางเจริญก้าวหน้า

และทำการยึดครองร่างของเขาซะงั้น!?

...

จากหนุ่มโอตาคุผู้แสนจะขี้เกียจที่ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยไปวันๆ

กลับต้องลุกขึ้นมาเปลี่ยนโฉมตนเองเป็นฮีโร่คอยปราบปรามเหล่าปีศาจร้าย

ปกป้องเมืองที่ตนอยู่อาศัย และฝึกวิทยายุทธ์เพื่อก้าวสู่จุดสูงสุดนิ้วทองคำของระบบ!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท