บทที่ 194 ระบบเป็นครูที่ดี
ฟางหนิงได้รับข้อความ QQ จากเจิ้งต้าวระหว่างเดินทางกลับไปฟาร์มวิลล่าเมืองฉี เขียนว่า “ท่านเทพ ติดตั้งค่ายกลอำพรางเสร็จสิ้น เชิญท่านตรวจสอบหลังจากกลับมา”
เมื่อไปถึงบนท้องฟ้าเหนือบ้านของเขา ฟางหนิงมองลงไปผ่านมุมมองของระบบ เห็นเพียงข้างล่างว่างเปล่า และเป็นเพียงทุ่งนาข้าวสาลีประเภทปลูกข้ามฤดูหนาวธรรมดาผืนใหญ่ มองแวบเดียว บ้านของเขาเขียวขจีไปหมด…
แม้ว่ามันจะดูเหมือนของจริงทุกประการ แต่ฟางหนิงรู้ดีมันต้องเป็นของปลอม… เพราะฟาร์มของอัศวิน A นั้นจะปลูกแค่ผักและผลไม้เท่านั้น ซึ่งล้วนแต่เป็นพืชสีเขียวปลอดสารพิษ ไม่มีทางปลูกข้าวสาลีมากมายแบบนี้
ดูเหมือนว่าหลังจากไม่อยู่แค่สองวัน ไปรับวัสดุที่สำนักงานสัจธรรมก่อน แล้วไปจัดการเรื่องที่หุบเขาวิญญาณ ในระหว่างนี้เองเจิ้งต้าวก็ได้ติดตั้งค่ายกลอำพรางแล้วเสร็จ
ความกระตือรือร้นของน้องชายคนนี้เกินความคาดหมายของตนจริงๆ ตนเพียงกล่าวถึง อีกฝ่ายก็ได้จัดการทุกอย่างเสร็จสิ้นอย่างเงียบๆ ไม่ต้องให้ตนต้องหนักใจเลยจริงๆ…
ฟางหนิงลบข้าวสาลีออกไปแล้วก็ยังมองไม่เห็นวิลล่าอยู่ที่ไหน แต่ระบบได้เลือกสถานที่แห่งหนึ่งเปลี่ยนกลับไปเป็นอัศวิน A แล้วร่อนลงช้าๆ
เขาไม่ค่อยเข้าใจ “ระบบ แกไม่ได้ให้มุมมองของระบบเหรอ ไม่ได้เปิดภาพจริง สิ่งที่เราทั้งคู่เห็นน่าจะเป็นฉากเดียวกัน แกลงไปแบบนี้ ไม่กลัวตกลงไปในปล่องไฟเหรอ”
ระบบ “ฉากที่เรามองเห็นนั้นเหมือนกัน แต่คุณเป็นสิ่งมีชีวิต อาจสับสนเพราะภาพลวงตา ฉันไม่ใช่สิ่งมีชีวิต ภาพลวงตานั่นไม่ใช่ความจริงในมุมมองของฉัน เช่นเดียวกับการเห็นดวงจันทร์ในน้ำและดอกไม้ในกระจก นอกจากนี้ ฉันยังสามารถรับข้อมูลผ่านการสัมผัสทางพลังปราณและการตรวจจับทางพลังจิต คุณเร่งฝึกฝน เมื่อถึงระดับเดียวกับฉันแล้วก็จะไม่สับสนกับภาพลวงตาที่สร้างขึ้นโดยค่ายกลเหล่านี้”
ฟางหนิงหมดคำพูด “สุนัขเหลืองเซวป้าเคยบอกว่าพลังจิตของแกได้กลายเป็นกฎไปแล้ว เข้าใกล้กฎแห่งสวรรค์ แล้วชาติไหนฉันจะไปถึงระดับของแก… เทียบกับแก ก็คือการให้ฉันแข่งความเร็วกับจรวด จุดเริ่มต้นแตกต่างกันตั้งแต่แรกหรือเปล่า”
ในขณะที่พูดคุยกัน ฟางหนิงพบว่าอัศวิน A ลงไปที่ลานบ้านแล้ว เวลานี้เขาถึงสังเกตเห็นว่าทุกอย่างได้กลับมาเป็นปกติ
ในเวลานี้ เจิ้งต้าวรออยู่ที่ลานบ้านแล้ว ดูเหมือนว่าค่ายกลอำพรางนี้มีประสิทธิภาพตรวจจับผู้คนที่เข้ามาด้วย
หลังจากที่เจิ้งต้าวทำความเคารพแล้ว ก็ถามขึ้นว่า “ท่านเทพ ค่ายกลอำพรางนี้เป็นยังไงบ้าง”
ฟางหนิง “ไม่เลว เพียงพอที่จะรับมือกับคนธรรมดาแล้ว…”
เมื่อครู่เขาได้สัมผัสประสิทธิภาพของมันกับตัว จึงพูดได้อย่างมั่นใจ…
เจิ้งต้าวจึงรู้สึกโล่งใจและพูดต่อ “ยังมีเวลาหนึ่งสัปดาห์ก่อนถึงงานแลกเปลี่ยนสมบัติครั้งแรกวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ท่านเทพมีอะไรที่ต้องการเตรียมอีกไหม”
ฟางหนิงถามระบบแล้วตอบ“ทุกอย่างพร้อมสรรพแล้ว ถึงเวลาคุณไปกับฉันก็พอ จริงด้วย ‘คัมภีร์พลังปราณแท้จักรวาล’ ของคุณมีความคืบหน้ายังไงบ้าง สองสามวันนี้ทิ้งงานก่อนจะได้ตั้งใจฝึกฝน”
เจิ้งต้าว “ขอบคุณท่านเทพที่เป็นห่วง เริ่มจับต้นชนปลายได้ ฝึกอีกสองวันก็สามารถเข้าถึงความรู้เบื้องต้นแล้ว”
ฟางหนิงรู้สึกหดหู่ใจมากในทันที “ทุกคนต่างสามารถเข้าถึงความรู้เบื้องต้นแล้ว และมีคนที่อ่านแค่บทเดียวก็บรรลุได้ทันทีและถือโอกาสทะลวงไปสู่ระดับบ่อน้ำ…”
หรือว่าสาเหตุจะเหมือนที่สุนัขเหลืองพูดจริงๆ ที่ตัวเองมีความสนใจต่ำ ขี้เกียจอ่านหนังสือเล่มหนาเตอะ และห่วยระดับเดียวกับเจ้าสุนัขดำ ถึงได้ฝึกไม่สำเร็จ
เป็นไปไม่ได้ นี่ต้องเป็นความรู้สึกลวงแน่ๆ ตนฉลาดกว่าเจ้าสุนัขดำตั้งเยอะ ต้องมีสาเหตุอื่นสิ…
เขาจึงลองเลียบเคียงถาม “พ่อบ้านเจิ้ง ขณะฝึก ‘คัมภีร์พลังปราณแท้จักรวาล’ มีความรู้สึกยังไงบ้าง คุณดูคุณชายชางรู้แจ้งได้ทันที คุณไปถึงระดับของเขาได้ไหม”
เจิ้งต้าวก็สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา “วรยุทธ์ขั้นสูงเล่มนี้กว้างขวางและลึกซึ้งมาก หลังจากที่ผมอ่านทบทวนหลายรอบ ประกอบกับการทำงานด้านจิตบำบัดมานานหลายปี ในที่สุดก็ตระหนักได้ว่า ใจคนเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา มีเพียงการยกระดับจิต สร้างหลักธรรมในใจก่อน และประพฤติปฏิบัติตามหลักธรรมนั้นๆ จึงจะมีความชอบธรรม การที่วินาทีก่อนหน้านี้คิดจะทำลายโลก และคิดอยากกลายเป็นผู้กอบกู้โลกในนาทีต่อมา ก็ไม่ได้เหมือนกัน
เช่นเดียวกับ ‘กายอุปมาเหมือนดั่งต้นโพธิ์ ใจอุปมาเหมือนดั่งกระจกเงาใส จงหมั่นเช็ดหมั่นปัดอยู่เสมอ อย่าให้ฝุ่นละอองปกคลุมได้’ มีเพียงการรู้ตนอยู่เสมอ หมั่นระวังความคิดของตนให้บริสุทธิ์ จึงจะสามารถเข้าถึงความรู้เบื้องต้นได้ พลังชีวิตฟื้นฟูแล้ว โลกนี้ไม่ใช่สภาพวัตถุนิยมเชิงวัตถุวิสัยอีกต่อไป แต่มันแสดงจิตนิยมทุกแห่งหน
ในหนทางการฝึกฝน ระดับของจิตจะเป็นตัวกำหนดความสำเร็จของการฝึกฝน ผมต้องการเป็นไปทีละขั้นเพื่อยกระดับจิตใจ ส่วนเส้นทางการรู้แจ้ง ผมมีคุณสมบัติไม่สูง ต่อให้รู้แจ้ง ไม่ต่างจากปราสาททราย ไม่นานก็พังทลาย…”
ฟางหนิงยืนเซ่อ เอาเถอะ ตัวเองเป็นเด็กเรียนห่วยจริงๆ ช่วงแรกยังพอฟังเข้าใจ แต่ช่วงหลังก็เริ่มงุนงง ‘วัตถุนิยมเชิงวัตถุวิสัย’ คืออะไร ตอนเรียนยังพอเข้าใจ น่าจะหมายถึงการให้คุณค่าแก่สิ่งที่เป็นรูปธรรมก่อน สติสัมปชัญญะเป็นรอง…
แต่เขาเข้าใจตอนท้ายสุด พูดง่ายๆ ก็คือ การรู้แจ้งไม่ใช่ทุกคนที่จะเรียนรู้ได้…
เขาลืมไปแล้วว่า เจิ้งต้าวทำงานเป็นนักจิตบำบัดมากว่าสิบปี เขาต้องเข้าใจเรื่องปรัชญาเป็นอย่างดีอยู่แล้ว…
แต่เขาตระหนักรู้ในสองเรื่อง เรื่องแรก ตนไม่สามารถบรรลุ ‘คัมภีร์พลังปราณแท้จักรวาล’ ซึ่งมีเหตุผลเดียวกับเด็กกากสุนัขดำ…
คุณไม่ควรมีความคิดสกปรกในใจเมื่อเห็นผู้หญิงสวย ต่อให้คุณไม่มีทางทำตามความคิดสกปรกก็ไม่ได้เหมือนกัน
เช่นที่เจิ้งต้าวกล่าว ตอนนี้ไม่ใช่โลกวัตถุนิยมเชิงวัตถุวิสัยอีกต่อไป แต่ผสมผสานปัจจัยของจิตนิยมด้วย
อย่างน้อยระหว่างการฝึก ‘คัมภีร์พลังปราณแท้จักรวาล’ เล่มนี้ กลายเป็นสติสัมปชัญญะมาก่อน และสิ่งที่เป็นรูปธรรมกลายเป็นรอง ถ้าความคิดไม่ผ่านก็จะไม่มีทางเข้าถึงความรู้ ต่อให้คุณจะมีสิ่งภายนอกครบครัน มียาอายุวัฒนะของเซียน อาวุธวิเศษชำระจิต ล้วนแต่ไร้ประโยชน์ทั้งสิ้น…
เรื่องที่สองก็คือในที่สุดเขาก็ตระหนักได้ถึงจุดที่ระบบสุดยอดอย่างแท้จริง ‘ที่แท้เจ้าระบบงี่เง่าเริ่มต้นด้านการฝึกฝนวรยุทธ์จากเส้นชัย…’
ความคิดความอ่านของมันล้วนแต่พัฒนามาจากกฎของระบบ ซึ่งบริสุทธิ์อย่างยิ่ง จิตใจมนุษย์ไม่อาจเทียบได้เลย
เพียงแค่วิทยายุทธ์นี้เป็นไปตามกฎของระบบ ไม่ขัดต่อคุณสมบัติผดุงคุณธรรม ไม่ขัดกับวิทยายุทธ์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน อุปนิสัยของมันถึงขีดสุดและผ่านด่านทันที ไม่มีทางหมกมุ่นจนเสียสติเด็ดขาด…
ตนเองเห็นจนชินก็จะกลายเป็นเรื่องธรรมดา แต่ในความเป็นจริงแล้ว เมื่อเทียบกับผู้ฝึกฝนทั่วไป ความสามารถของระบบเป็นสิ่งที่พวกเขาทุ่มเทแลกกับอะไรมากมายเท่าไรก็ไม่อาจได้มา…
หลังจากฟางหนิงเข้าใจเหตุผลถ่องแท้ เขาก็ตัดสินใจอย่างยากลำบากทันที…
ช่างเถอะ ไม่เรียนแล้ว
มีคำกล่าวหนึ่งพูดได้ดี เพียงแค่เรียนรู้ที่จะปล่อยวาง ก็ไม่มีเรื่องอะไรบนโลกที่ยากสำหรับคุณ…
ฟางหนิงกางนิ้วหาเหตุผลอยู่ในใจ ‘ตนเองไม่เหมาะกับการฝึกฝน “คัมภีร์พลังปราณแท้จักรวาล” นี้จริงๆ’
ประการแรก มีความชอบธรรมในใจ ซึ่งจะส่งผลต่อการใช้ความคิดของตัวเอง
ประการสอง การฝึกฝนวรยุทธ์นี้ มักรู้สึกว่าความสนุกในชีวิตลดน้อยลงมาก และรู้สึกอึดอัดใจ
ประการสาม ถึงยังไงระบบทำได้ก็พอแล้ว…
เขาจึงแสร้งพูดว่า “ดีมาก ดูเหมือนพ่อบ้านมาถูกทางแล้ว ห่างจากระดับของข้าเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้น คุณควรรีบไปฝึกตอนนี้เลย”
เจิ้งต้าวโค้งคำนับเล็กน้อย “ท่านเทพชมเกินไปแล้ว ถ้าต้องการไปถึงระดับเดียวกับท่านเทพ ผมยังต้องฝึกฝนอย่างหนัก จึงจะมีโอกาสริบหรี่ที่จะตามทัน”
ฟางหนิงพยักหน้าและคิดในใจ ‘เข้าใจก็ดี ฉันคิดว่าทั้งชีวิตก็ไล่ตามฉันไม่ทันหรอก เพราะคุณไม่มีทางขี้เกียจสันหลังยาวแบบฉัน…’
หลังจากทักทายกันแล้ว เจิ้งต้าวก็ออกไปฝึกฝน
ฟางหนิงดูเวลาเพิ่งจะสิบโมง ยังอีกนานกว่าจะเลิกงาน เขาไม่ต้องกินข้าว แถมนอนน้อยด้วย จึงไม่พักเที่ยง…
เอาเถอะ ฉันเองก็จะฝึกฝนต่อไป สู้กับ ‘การเปลี่ยนร่างมังกร’ ให้ตายไปข้างหนึ่งไปเลย
เขาไม่ต้องการให้ตัวเองมีรสนิยมต่ำ ในทางกลับกัน ธรรมชาติของมังกรคืออะไร… หลังจากฝึกฝนน่าจะมีช่วยยกระดับสมรรถนะอะไร
เมื่อคิดอย่างนี้ ฟางหนิงก็มุดตัวเข้าไปในพื้นที่ของระบบ เพื่อมอบร่างกายให้ระบบเป็นฝ่ายครอบคลุม แล้วเอนกายบนโซฟาในอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ของระบบ และหาหนังสือเล่มหนา ‘การเปลี่ยนร่างมังกร’ มาอ่าน
ระบบสร้างอุปกรณ์พลางเอ่ยถามเขา “เอ๊ะ มหาเศรษฐี ทำไมคุณไม่กลับไปฝึก ‘คัมภีร์พลังปราณแท้จักรวาล’ ต่อล่ะ คุณไม่ต้องฝึก ‘อัศวินหนังสือบิน’ แล้วล่ะ แต่คุยยังไม่เคยเข้าใจเล่มนี้ เจิ้งต้าวจวนจะเรียนเป็นแล้ว ก็เหลือแต่คุณกับเจ้าเด็กกากสุนัขดำเป็นตัวถ่วง…”
ฟางหนิงไม่สบอารมณ์ “ในที่สุดฉันก็มองออกแล้ว แกชอบจัดแจงมั่วซั่ว แม้ว่าแกคือเด็กเรียนเก่งด้านการฝึกฝน แต่ไม่รู้จักสอนตามความสามารถของผู้เรียน เอาแต่สอนอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย… โดยพื้นฐานแล้วแกไม่สอนศิลปะการต่อสู้ให้กับคนนอก จนถึงตอนนี้ก็ถ่ายทอดวิชาแค่สองครั้ง มันจึงบดบังแก่นแท้ของแกไป แกไม่ใช่ครูที่ดีเลย”
ระบบโต้แย้ง “เป็นไปได้ยังไง ฉันเชี่ยวชาญในการฝึกฝนและรู้ทุกอย่างอย่างแจ่มแจ้ง เป็นครูที่ดีแน่นอน คุณเรียนไม่สำเร็จเป็นเพราะคุณไม่ตั้งใจพอ คิดแต่จะเล่นเกม อ่านนิยายและดูคลิป…”
ฟางหนิงกลอกตา และเรียกหนังสือเกมมาพร้อมกับพูดว่า “ฉันไม่เถียงกับแกหรอก ให้หนังสือเกมประเมิน แกเคยยอมรับว่ามันไม่มีทางโกหกในเรื่องสำคัญ”
หนังสือเกมลอยกลางอากาศ ปกขยับแสดงว่าเห็นด้วย
ระบบ “ประเมินก็ประเมินสิ ฉันเชื่อว่าลูกรักจะประเมินพ่อของเขาอย่างยุติธรรม”
ฟางหนิงจึงกล่าวว่า “หนังสือเกม ระบบบอกว่า ‘เขาเป็นครูที่ดี’…”
หนังสือเกมเงียบไปพักใหญ่ และหลังจากนั้นครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็เปิดหน้าว่างและแสดงตัวอักษรขนาดใหญ่สองตัว
“ขี้โม้”
ระบบ “ไม่ถูก”
ตัวอักษรเป็น “ประชด”
ระบบ “พูดมั่วๆ!”
ตัวอักษรเปลี่ยนไปอีกครั้ง “เสียดสี!”งั้นฉันจะไม่จัดแจงวรยุทธ์อื่นๆ ให้คุณแล้ว คุณตั้งใจฝึก ‘การเปลี่ยนร่างมังกร’ เถอะ ให้ถึง ‘วิญญาณร่างมังกร’ ค่อยว่ากันใหม่”
ฟางหนิงถึงค่อยพึงพอใจกอด ‘การเปลี่ยนร่างมังกร’ และเริ่มศึกษาอย่างหนัก ไม่น่าเชื่อ การตัดสินใจครั้งนี้ได้ผลดีจริงๆ
ในไม่ช้าเขาก็หมกมุ่นกับการฝึกฝน และเริ่มไตร่ตรองถึงหลักธรรมในนั้น
…
เมื่อเทียบกับหนังสืออีกสองเล่ม ‘การเปลี่ยนร่างมังกร’ เป็นวิทยายุทธ์ประเภทฝึกตนเป็นเซียนที่ได้รับเป็นลำดับแรก จากการสอนแบบอนุมานของระบบ ก็มีเนื้อหากว้างขวางและลึกซึ้งไม่แพ้กัน
ยังดีที่เขาเข้าถึงความรู้เบื้องต้นแล้ว และได้เห็นระบบใช้ร่างมังกรแท้สองประเภททั้งไฟและลมกับตา รวมทั้งเคยสัมผัสประสิทธิภาพของมันโดยตรงแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น ระบบฝึกฝนวิทยายุทธ์มังกรทั้งสองคุณสมบัติไฟและลมที่ตนมีจนถึงขีดจำกัดแล้ว
ธาตุไฟมีอานุภาพการทำลายล้างสูง ส่วนธาตุลมนั้นมีความยืดหยุ่นมากที่สุด มีบริเวณโจมตีกว้าง และเร่งการเดินทางระยะไกลได้เร็วที่สุด ทั้งสองยังผสมผสานกันจนกลายเป็นชุดทักษะเพลิงวายุได้
ขณะที่ประเภทอัสนีเพิ่งเริ่มต้น ระบบยังไม่เคยเปลี่ยนร่างเป็นมังกรอัสนีแต่เริ่มใช้กระบวนท่าแล้ว
กระบวนท่าวิทยายุทธ์ประเภทอัสนีที่ใช้ในปัจจุบัน หนึ่งคือเร่งความเร็ว BUFF และสองคือจำกัดวิญญาณได้อย่างมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นของ ‘อสนีบาตปรากฏฉับพลัน’ เก็บกวาดสนามรบแล้วยังไล่ตามวิญญาณของฉีเหมยที่หนีไปก่อนได้ทัน
ความเร็วใกล้เคียงกับสายฟ้าจริงๆ แต่ทำได้เพียงเวลาสั้นๆ และใช้พลังงานมากเกินไป จึงไม่เหมาะกับการเดินทางประจำวัน มิฉะนั้นจะไม่มีพลังระเบิดเมื่อเข้าสู่สนามรบ และกระบี่บินยังคงจำเป็น
‘การเปลี่ยนร่างมังกร’ ของระบบถึงระดับปรมาจารย์ และยังผสานเข้ากับวรยุทธ์ประเภทมังกรทั้งหมดได้สำเร็จ ‘การเปลี่ยนร่างมังกร’ ที่มันฝึกนั้นเป็นเวอร์ชันวิวัฒนาการแล้ว นอกจากเข้าใจดินแดนพิเศษ และยังมีประโยชน์อย่างมากต่อระบบที่มีวิทยายุทธ์ประเภทมังกร ซึ่งตอนนี้เพิ่มขึ้นได้ถึง 500%
กอปรกับความสำเร็จการผดุงคุณธรรมที่เขาเปิดใช้งาน ‘บุญคุณเพียงหยดน้ำ ตอบแทนดั่งสายธาร’ เพิ่มประสิทธิภาพพิเศษ ใช้ปราณแท้เพิ่มอานุภาพได้ถึง 100%
นอกจากนี้ยังมี ‘คัมภีร์พลังปราณแท้จักรวาล’ ขั้นสูงที่เพิ่มขึ้น 150%
ให้จำว่าเพิ่มขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์… ผลลัพธ์ต้องบวก 1 ก่อนนำไปคูณ
ทั้งสามมีความสัมพันธ์เป็นอนุกรมเพิ่มแบบคูณ ในกรณีที่ใช้พลังปราณตามปกติ พลังของวิทยายุทธ์ประเภทมังกรจะเป็น (1+5)*(1+1)*(1+15)= 30 เท่าของเวอร์ชันดั้งเดิม
อีกทั้งถ้าใช้พลังวิทยายุทธ์ธาตุลมและธาตุไฟ จะเพิ่มขึ้นอีก 100% ซึ่งก็คือ 60 เท่า…
ไม่ต้องพูดถึงว่ายิ่งใช้พลังปราณมากเท่าไร พลังโจมตีพื้นฐานก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น
ศิลปะการต่อสู้ประเภทมังกรแบบเดียวกัน เช่น ‘ฝ่ามือเทพมังกรเพลิง’ ใช้ปราณแท้เท่ากัน หากพลังโจมตีของยอดฝีมือในยุทธภพทั่วไปคือ 200 หากแต่ระบบใช้ปราณแท้ก็จะมีพลังโจมตีสูงถึง 12000!
………………………………………………………………….