เมื่อผมโดนระบบครองร่าง – บทที่ 197 พึงพอใจมาก

บทที่ 197 พึงพอใจมาก

บทที่ 197 พึงพอใจมาก

สองวันต่อมา ฟางหนิงได้รับข่าวจากเจิ้งต้าว เป็นข่าวที่เหรินรั่วเฟิงแห่งสำนักงานสัจธรรมส่งมา ชายชราผู้มีหน้าตาเหมือนเด็กอายุ 18 ที่รักการดูแลตัวเองคนนั้น…

รายละเอียดดังนี้ “พี่มังกร หลังจากลองเชิงและยืนยันกับเซี่่ยตงแล้ว กู่ปู้เหวยแห่งเขาเทียนชิงคงไม่ไปรบกวนพี่ชั่วคราวเพราะศิษย์น้องหญิงของเขาเสียชีวิต จากการคำนวณของผม อาจจะต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่ง รอจิตวิญญาณของฉีเหมยได้รับการสั่งสอนในเรือนจำพลังมังกร ถึงจะมีคนออกหน้า หวังว่าพี่มังกรจะเตรียมการแต่เนิ่นๆ หากจำเป็น สำนักงานสัจธรรมกับข้ายินดีที่จะผดุงความยุติธรรม”

หลังจากฟางหนิงฟัง คิ้วก็ขมวด เขารู้รายละเอียดเรื่องเขาเทียนชิงแค่คร่าวๆ รู้ว่า ‘เจ้าแห่งเขาเทียนชิง’ ของพวกเขา ซังชิงซานเปรียบเสมือนกับเทพในสถานที่ลับของเขาเทียนชิง ใครเข้าไปคนนั้นตาย เหมือนกับเรือนจำพลังมังกรของเขา

แต่นอกจากกู่ปู้เหวย ซังชิงซานกับฉีเหมยแล้ว ข้างในนั้นยังมีผู้แข็งแกร่งแบบไหนอีก ฟางหนิงไม่รู้เลย ก่อนหน้านี้เขาถามแอนเดอร์สันก็ไม่รู้แน่ชัด เพียงแค่คาดเดารายละเอียดของอีกฝ่ายเท่านั้น

เวลานี้เอง จู่ๆ การแจ้งเตือนของระบบก็ปรากฎ

(ระบบกำลังพิจารณา…

ระบบกำลังพิจารณา…

ระบบตัดสินใจจะไปตกปลาที่ดินแดนมรดก )

หลังจากฟางหนิงเห็นก็พูดไม่ออก “เทพแห่งระบบ อย่าเพิ่งกังวลเรื่องนั้น เรื่องของเขาเทียนชิงยังไม่คลี่คลาย ผลกระทบจะเกิดขึ้นอีก ไปหาผู้เฒ่าเหรินและสอบถามข้อมูลก่อน”

ระบบ “อ้อ เข้าใจแล้ว”

ผ่านไปครู่หนึ่ง ฟางหนิงก็ติดต่อเหรินรั่วเฟิงผ่านเจิ้งต้าว ทั้งสองฝ่ายนัดแนะเวลาและสถานที่พบปะกัน

วินาทีต่อมา อัศวิน A ก็กระโดดออกทางหน้าต่าง เหยียบบนกระดานโต้คลื่นกระบี่บินที่เพิ่งสร้าง และทะยานสู่ท้องฟ้า

กระดานโต้คลื่นเร็วมาก สามนาทีต่อมา อัศวิน A กับเหรินรั่วเฟิงก็พบกันบนยอดเขาใกล้กับเมืองจี้

เหรินรั่วเฟิงประสานมือคำนับ “พี่หลง ไม่ได้พบกันนานเลย”

อัศวิน A ประสานมือคำนับเช่นเดียวกัน “สหายเหริน สีหน้าท่านดูดีขึ้นเล็กน้อยนะขอรับ…”

ทั้งสองฝ่ายทักทายตามมารยาทเล็กน้อย และเข้าประเด็นทันที

เมื่อได้ยินอัศวิน A สอบถามที่มาของเขาเทียนชิง เหรินรั่วเฟิงปลื้มใจมาก และไม่ปิดบังแม้แต่นิดเดียว “ที่มาของเขาเทียนชิงไม่ลึกลับเลย เมื่อยี่สิบเอ็ดปีก่อนมีดาวเคราะห์น้อยปรากฏขึ้นในระบบสุริยะ และปราณกำเนิดของโลกก็เริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัว เสินโจวของพวกเรามีชายผู้มีพรสวรรค์คนหนึ่ง ชื่อซังชิงซาน เขาเป็นคนแรกที่สัมผัสได้ถึงการอุบัติของปราณกำเนิด…”

ฟางหนิงตั้งใจฟัง นี่เป็นเรื่องราวต้นแบบของตัวเอกอีกเรื่องหนึ่ง เพื่อนร่วมชั้นซังชิงซานผู้นี้มีภูมิหลังครอบครัวค่อนข้างไม่ธรรมดา ร่ำรวยมั่งคั่ง เขาเป็นรุ่นสองที่มีอนาคตสดใส เมื่ออายุยี่สิบสามปี เขาเป็นคนแรกที่สัมผัสได้ถึงปราณกำเนิด จากนั้นก็เสาะหาวรยุทธ์และเริ่มฝึกฝน

หนึ่งปีต่อมา สำนักงานสัจธรรมก็ก่อตั้งขึ้น อีกหนึ่งปีต่อมา อีกฝ่ายเสาะหาสมบัติวรยุทธ์ทั่วทั้งเสินโจว เขาพบทางเข้าสถานที่ลับของเขาเทียนชิงก่อนและเข้ายึดครอง อันที่จริงเขาไม่ได้ชื่อ ‘ชิงซาน’ แต่เพราะสถานที่ลับแห่งนี้จึงเปลี่ยนชื่อ…

ในมุมมองของเหรินรั่วเฟิง ชายผู้นี้ถือว่าสถานที่ลับแห่งนี้เป็นของเขานานแล้วจากก้นบึ้งของหัวใจ และไม่มีความคิดที่จะมอบให้กับทางการเลย…

ด้วยสถานที่ลับแห่งนี้ เขาเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เพิ่มระยะห่างกับผู้อื่น ใช้วิธีทางการเมืองกับการทูต สอนลูกศิษย์ ตักตวงทรัพยากร และเจรจากับสำนักงานสัจธรรมอย่างมั่นใจ เพื่อบรรลุการร่วมมือโดยไม่แตกหัก

เมื่อสิบสองปีก่อนสำนักงานสัจธรรมอาศัยพลังของปวงประชา จึงค้นพบดินแดนมรดก ซึ่งต่างกับอีกฝ่ายเก้าปีเต็ม

อ้างอิงจากความแตกต่างด้านความเข้มข้นของปราณกำเนิดระหว่างเขาเทียนชิงกับโลกภายนอก จึงรู้ว่าการฝึกฝนในเก้าปีนี้ อย่างน้อยก็เทียบเท่ากับความแตกต่างหลายร้อยปี

เหรินรั่วเฟิงกล่าวต่อ “จากการสอบสวนคนวงในมาหลายปี เขาเทียนชิงมีภูมิหลังล้ำลึกมาก ตามวิธีการประเมินพลังของขุนนาง บนเขามีผู้แข็งแกร่งระดับทะเลสาบเพียงหกคน กู่ปู้เหวยก็เป็นหนึ่งในนั้น เขาเป็นอันดับหนึ่งในบรรดาลูกศิษย์สามรุ่น ซังชิงซานน่าจะไปถึงระดับที่สูงยิ่งกว่า เพียงแค่ความเข้มข้นของปราณกำเนิดในโลกภายนอกนั้นเบาบาง และมีขีดจำกัดพลังสูงสุดอีก พวกเขาเลยใช้พลังเวทได้ไม่ถึงหนึ่งในสิบ จึงสงบเสงี่ยมอยู่ในเขาเทียนชิง ฝึกฝนไปพลาง รอโอกาสอย่างเงียบๆ ไปพลาง”

ฟางหนิงได้ยินก็แสร้งทำเป็นอวดเก่ง “เพียงแค่ระดับทะเลสาบไม่กี่คน และยังมีข้อจำกัดมากมายอีก ฉีเหมยนั่นกล้ายโสโอหังที่โลกภายนอก ช่างโง่เขลาจริงๆ…คิดไปคิดมาธรรมเนียมครอบครัวของพวกเขาคงไม่ธรรมดา”

เหรินรั่วเฟิงตกตะลึง อย่างที่คาดไว้ตระกูลมังกรเบื้องบนน่ากลัวยิ่งนัก แม้แต่ระดับทะเลสาบก็ไม่อยู่ในสายตา เพียงแค่…

คงมีเพียงแค่คนที่อยู่เหนือกว่าระดับมหาสมุทรเท่านั้นที่จะอยู่ในสายตาของพวกเขา…

แต่เขาไม่เปลี่ยนสีหน้า เพียงแค่เอ่ยต่อว่า “อย่างที่ท่านเทพพูด เขาเทียนชิงสืบทอดมาสามรุ่นแล้ว ซังชิงซานถือเป็นปรมาจารย์ผู้ก่อตั้ง เขามีลูกศิษย์สี่คน ลูกศิษย์สี่คนนี้มีลูกศิษย์ทั้งหมดเจ็ดร้อยกว่าคน ในกลุ่มนั้นมีลูกศิษย์หลักสามร้อยหกสิบห้าคน กฎเข้มงวดมากและการแข่งขันก็ดุเดือดไร้ความปราณี ทุกๆ สองปี ผู้ที่อยู่อันดับต่ำกว่าสามร้อยหกสิบห้า ไม่ว่าจะเป็นใคร ก็จะกลายเป็นศิษย์รับใช้ทันที ศิษย์รับใช้ต้องใช้เวลามากมายในแต่ละวันไปกับการกลั่นยา หลอมอาวุธ หรือสร้างเครื่องรางแท่นค่ายกลและอื่นๆ”

ฟางหนิงฟังถึงตรงนี้ก็เอ่ยปากถาม “จากวิธีการเอาตัวรอดอันโหดร้ายนี้ของพวกเขา ไม่รู้ว่ามีกฎที่ขอเพียงเลื่อนขั้นถึงระดับทะเลสาบ ศิษย์ก็สามารถเลื่อนขั้นเป็นผู้อาวุโสโดยอัตโนมัติได้หรือไม่…”

เหรินรั่วเฟิงได้ยินก็ชะงัก จากนั้นก็ตระหนักว่า ตั้งแต่ปราณกำเนิดฟื้นตัว เขาก็ได้อ่านนวนิยายฝึกตนต่างๆ บนอินเทอร์เน็ตไม่น้อย และรู้ว่าเคยมีข้อกำหนดหนึ่ง นั่นคือลูกศิษย์ระดับสร้างรากฐานต้องเรียกลูกศิษย์ระดับแก่นปราณว่าอาจารย์อา ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเคยเป็นศิษย์หลานหรือรุ่นหลานของตัวเองมาก่อนก็ตาม จากมุมมองหนึ่ง นี่เป็นเรื่องปกติ เพียงแต่ใช้คำว่า ‘เคารพผู้แข็งแกร่ง’ จนสุดโต่งเท่านั้น

เหรินรั่วเฟิงส่ายหน้า “จากบุคลากรที่ส่งเข้าไปฝึกฝน ขณะนี้บนเขายังไม่มีกฎดังกล่าว มิเช่นนั้นฉีเหมยที่อยู่ระดับบ่อน้ำควรเรียกกู่ปู้เหวยที่อยู่ระดับทะเลสาบว่า ‘อาจารย์อา’ ไม่ใช่ศิษย์พี่ แต่หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป สถานการณ์ที่ท่านเทพกล่าวไว้จะไม่เกิดขึ้นในอนาคต”

“ไม่สามารถเป็นศิษย์รับใช้ไปตลอดชีวิตได้หรือ” ฟางหนิงพยักหน้า และคิดในใจว่าเป็นไปได้จริงๆ

“ศิษย์รับใช้เป็นได้เพียงหกปีเท่านั้น หากภายในหกปียังไม่สามารถก้าวเข้าสู่ 365 อันดับแรกได้ ก็จะถูกไล่ออกจากสำนัก กลายเป็นศิษย์ที่ถูกทอดทิ้ง…หากอยากอยู่ในสำนักต่อ ก็ต้องทำหน้าที่เป็นกุลีในอุตสาหกรรมการฝึกต่างๆ และรอโอกาส หากอยากลงจากเขาก็ต้องละทิ้งทุกอย่างที่เรียนมา ลบความทรงจำด้านวรยุทธ์ ปิดผนึกตันเถียนกับเส้นลมปราณ ไม่สามารถฝึกฝนได้ตลอดกาล กลายเป็นคนธรรมดาอีกครั้งถึงจะสามารถลงจากเขาได้ ซึ่งเคร่งครัดกว่าสำนักงานสัจธรรมของเรา อย่างน้อยเราก็ปฎิบัติต่อผู้ฝึกฝนที่ล้มเลิกกลางคันหลังจากเข้าร่วมเหล่านั้น เพียงแค่ปิดผนึกตันเถียนกับเส้นลมปราณ และกลายเป็นคนธรรมดา จะไม่ลบความทรงจำด้านการฝึกฝนของพวกเขา” เหรินรั่วเฟิงตอบ

ฟางหนิงพยักหน้า “เคร่งครัดมากจริงๆ สำนักแบบนี้สร้างลูกศิษย์อย่างฉีเหมยออกมา ยโสโอหัง เดิมทีคนที่พวกเขาเชื่อก็คือราชาแห่งผู้แข็งแกร่ง กฎของปลาใหญ่กินปลาเล็ก เพียงแต่เขาเทียนชิงนั้นเป็นดั่งกบในกะลา มีอะไรให้กลัว หากพวกเขากล้าก่อเหตุโอ้อวดไปทั่วอีก ให้มาหาข้า”

ฟางหนิงคิดว่า จะรวบรวมมอนสเตอร์สองสามตัวมาให้เทพแห่งระบบกำจัด

เหรินรั่วเฟิงได้ยินก็พึงพอใจมาก เขามีสติปัญญาลึกล้ำ และมองสไตล์การทำงานของอัศวิน A ออกแต่แรกแล้ว

ด้วยท่าทางหยิ่งยโสของอีกฝ่าย เขาเกลียดชังความชั่วร้ายพอๆ กับศัตรู ไม่อาจทนคนหยิ่งผยองแห่งเขาเทียนชิงได้อย่างแน่นอน…ทั้งสองฝ่ายขัดแย้งกันโดยธรรมชาติ จึงช่วยสำนักงานสัจธรรมถ่วงดุลอีกฝ่ายได้พอดี

เหรินรั่วเฟิงประทับใจอัศวิน A มาก แต่นั่นเป็นความรู้สึกส่วนตัว นอกจากนี้ เขาเป็นคนที่มีจุดยืน ซึ่งจุดยืนก็คือสำนักงานสัจธรรมกับเสินโจว สามารถจับอัศวิน A มาอยู่แนวหน้าเพื่อกันกระสุนได้ เขาย่อมยินดีอยู่แล้ว

นี่คือเหตุผลพื้นฐานที่ทำให้คนในระบบไม่สามารถแสดงเป็นสีเขียวบนแผนที่ของระบบและกลายเป็นพันธมิตรของเทพแห่งระบบได้ ความคิดของพวกเขาไม่สามารถตัดสินใจเองได้ แต่พิจารณาจากจุดยืนขององค์กร

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เหรินรั่วเฟิงก็กล่าวอีกว่า “งานแลกเปลี่ยนสมบัติ ชื่อดูดีมาก ทว่าความจริงแล้วเป็นเวทีที่เขาเทียนชิงใช้ความได้เปรียบด้านเทคโนโลยีมาตักตวงทรัพยากรของเสินโจว ทุกครั้งที่ผ่านมา พวกเราต้องจ่ายเงินจำนวนมากถึงจะแลกน้ำยาเครื่องมือศักดิ์สิทธิ์ไร้คุณภาพได้ เช่นเดียวกับอาวุธวิเศษเก็บของ ไม่เคยเกินสามลูกบาศก์เมตร เหมือนกับช่วงพัฒนาเศรษฐกิจช่วงแรก พวกเราแลกเปลี่ยนทรัพยากรทางการตลาดและกำลังคนกับอุปกรณ์และเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ทว่าอีกฝ่ายให้แค่เทคโนโลยีกับอุปกรณ์ที่ล้าสมัย โชคดีที่ท่านเทพตกลงสร้างให้พวกเรา ภายหลังจึงไม่ต้องถูกพวกเขาเอารัดเอาเปรียบอีก”

ฟางหนิง พวกนายจะถูกเทพแห่งระบบเอารัดเอาเปรียบยิ่งกว่า…มันจะมืดมนยิ่งกว่า

ระบบ “โฮสต์ คุณนินทาข้าในความคิดอีกแล้วเหรอ ฉันรู้สึกได้ อย่าปฏิเสธเลย…”

ฟางหนิง “แอบดูความเป็นส่วนตัวคนอื่น แกยังเรียกว่าอัศวินได้อีกเหรอ”

ฟางหนิงพูดกับเหรินรั่วเฟิงต่อ “ไม่เป็นไร พวกท่านเก็บวัสดุกับเงินไว้ หลังจากงานแลกเปลี่ยนสมบัติครั้งแรก ข้าจะเปิดตลาดตระกูลมังกร สำหรับขายสมบัติของตระกูลมังกรโดยเฉพาะ จะเปิดวันที่หนึ่งของทุกเดือน โดยพ่อบ้านของข้าเป็นเจ้าภาพ”

เหรินรั่วเฟิงได้ยินก็ปีติยินดี ใบหน้ายังคงสงบนิ่ง เขาเป็นหนึ่งในหกผู้นำของสำนักงานสัจธรรมและหัวหน้ากลุ่มนักคิดค้นที่สำคัญที่สุด แต่เขากลับถูกอัศวิน A เรียกมา และบอกข้อมูลลับมากมาย ไม่ใช่เพื่อแนะนำคู่แข่งทางการตลาดให้เขาเทียนชิงหรือ

หลังจากได้รับยาเม็ดบำรุงผิว เขาก็เกิดความคิดนี้หลังกลับไป ต่อมาก็ได้ยินรายงานจากหัวหน้าทีมหวงแห่งทีมโลจิสติกส์ว่า ท่านเทพมังกรแห่งจิตวิญญาณสามารถสร้างอุปกรณ์มิติได้ เขาก็ตัดสินใจทันที

ตอนนี้สำเร็จแล้ว มันเป็นกลยุทธ์…เขาวางแผนมายอดเยี่ยมมากจริงๆ

ฟางหนิงพึงพอใจมากยิ่งขึ้น มีสำนักงานสัจธรรมร่วมด้วย เขาก็สามารถเลียนแบบเส้นทางอันสุกงอมที่เขาเทียนชิงบุกเบิกได้ ทำเงินและวัสดุได้มากมาย ลูกศิษย์ก็ช่างเถอะ เขาไม่อยากเปิดเผยวรยุทธ์ของระบบมากเกินไป ใจของคนนั้นน่ากลัว…

ในแง่เทคโนโลยี ใครจะเทียบกับเทพแห่งระบบที่อัปเกรดทักษะอย่างรวดเร็วได้

ในแง่คุณภาพสินค้า ในฐานะระบบ การกระทำทั้งหมดล้วนแม่นยำดั่งสัตว์ประหลาด สินค้าที่สร้างล้วนมีคุณภาพดีในระดับเดียวกัน แทบจะไม่มีข้อบกพร่องเลย

สินค้าระดับต้น แสดงผลลัพธ์เพียงแค่ระดับต้น แต่คุณภาพยอดเยี่ยม พูดถึงผลลัพธ์ใดก็สามารถไปถึงผลลัพธ์นั้นได้

ทั้งสองฝ่ายบรรลุการร่วมมือที่ได้ประโยชน์ร่วมกัน ต่างฝ่ายต่างจากไปด้วยความพึงพอใจ

เทพแห่งระบบขึ้นกระบี่บินกลับบ้าน และเอ่ยปากถาม “โฮสต์ วันนี้คุณพูดจาใหญ่โตมาก…เพียงแค่ระดับทะเลสาบ ฉันยังต้องปฎิบัติอย่างระมัดระวัง คุณกล้าคุยโวเช่นนี้ได้อย่างไร”

ฟางหนิงตอบอย่างไม่ใส่ใจ “แกจะรู้อะไร การคุยโวมีประโยชน์โดยธรรมชาติ เมื่อพวกเขาเห็นว่าอัศวิน A ได้รับบาดเจ็บสาหัส พวกเขาก็จะคิดว่าอัศวิน A เพียงแค่ยกหางตัวเอง วางมาดใหญ่โต นี่เป็นเวอร์ชันอัปเกรดของการหลอกลวงให้ศัตรูตายใจ วางอุบายไปเรื่อยๆ คนที่มีแรงจูงใจแอบแฝงเหล่านั้นคงจะคิดไปเองว่ามองจุดนี้ออก และมั่นใจมาก เดี๋ยวก็ถึงงานแลกเปลี่ยนสมบัติแล้ว ถึงตอนนั้นพวกเราจะได้เห็นผู้แข็งแกร่งทุกคนในเสินโจว ในไม่ช้าข่าวเรื่องท่านเทพมังกรแห่งจิตวิญญาณได้รับบาดเจ็บสาหัสก็จะแพร่กระจายไปทั่วโลก เกมจัดอันดับมืดก็อยู่ไม่ไกลแล้ว”

ระบบ “แม้ว่าจะฟังไม่เข้าใจ แต่ทำตามที่โฮสต์บอก…ก็เข้าท่าดี”

………………………………………………………….

เมื่อผมโดนระบบครองร่าง

เมื่อผมโดนระบบครองร่าง

Status: Ongoing

จู่ๆ ก็มีดาวตกพุ่งลงมาที่โลก ทำเอาพื้นดินถึงกับสั่นไหวเล็กน้อย

แต่แรงสั่นสะเทือนนั้นกลับทำให้ 'ฟางหนิง' หัวโขกกับโต๊ะคอมพิวเตอร์จนสลบไป

ตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตัวเขามีระบบ ขณะที่กำลังจะดีใจว่าในที่สุดก็มีขาทองคำมาให้เกาะ

เจ้าระบบนั่นกลับประเมินว่าเขาเป็นโรคขี้เกียจระยะสุดท้าย ปล่อยไว้ไม่มีทางเจริญก้าวหน้า

และทำการยึดครองร่างของเขาซะงั้น!?

...

จากหนุ่มโอตาคุผู้แสนจะขี้เกียจที่ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยไปวันๆ

กลับต้องลุกขึ้นมาเปลี่ยนโฉมตนเองเป็นฮีโร่คอยปราบปรามเหล่าปีศาจร้าย

ปกป้องเมืองที่ตนอยู่อาศัย และฝึกวิทยายุทธ์เพื่อก้าวสู่จุดสูงสุดนิ้วทองคำของระบบ!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท