บทที่ 200 ตายแล้วแม้แต่ท้องหมูก็ไม่ได้ไปเกิด
หลังจากอาวุธและยาบนเวทีเข้ารายการประมูลทีละอย่าง ไม่นานทุกคนก็พบว่า นอกจากอัศวิน A ที่นั่งนิ่งตลอดเวลาไม่ได้เสนอราคา ยังมีคนในที่นั่งสำคัญคนหนึ่งก็ไม่ได้ยกป้ายเลยสักครั้ง
บนโต๊ะหน้าที่นั่งนั้นมีป้ายวางอยู่ ป้ายเขียนว่า ‘เฉินเซียง รองประธานกรรมการ บริษัทเทียนฉีเอนเนอร์จี้ กำจัด’
บนที่นั่งมีชายชราหน้าตาเป็นมิตร อายุ 60 กว่านั่งอยู่ ยามนี้เขาเพียงยิ้มมองของแต่ละชิ้นที่โดนประมูลไป แต่กลับไม่มีท่าทีจะยกป้าย
คนตาดีล้วนรู้ว่าเขาคือใคร ความจริงเขาคือตัวแทนสำนักงานสัจธรรม ประธานรัฐวิสาหกิจ เป็นคนของทางการ…
สำนักงานสัจธรรมในฐานะผู้จัดงานแลกเปลี่ยนของวิเศษ ไม่สามารถจัดงานประมูลได้อย่างเปิดเผย จึงแต่งตั้งผู้แทนออกมาคนหนึ่งเช่นนี้
คนคนนี้โดยทั่วไปจะประมูลเพียงพวกของที่มีประโยชน์ต่อกลยุทธ์ อย่างเช่น วัตถุวิเศษเก็บของ ยาทลายด่านปราณ เป็นต้น
งานแลกเปลี่ยนของวิเศษในปีที่ผ่านมา ผู้อื่นแทบไม่ต้องคิดจะครอบครองของพวกนี้
วัตถุวิเศษเก็บของ ตลอดมาล้วนเป็นสรรพนามใช้เรียกสิ่งที่การทำทำยุ่งยาก มากขั้นตอน สิ้นเปลืองทรัพยากร เปอร์เซ็นประสบความสำเร็จต่ำ…
ทว่าความต้องการก็มากสุดๆ กล่าวได้ว่าผู้วิเศษทุกคนล้วนอยากมีในครอบครองสักชิ้น… แม้จะมีพื้นที่จัดเก็บเพียงหนึ่งลูกบาศก์เมตรก็ตาม สำหรับพวกเขามันเป็นสิ่งที่วาดฝันปรารถนา ความเป็นจริงเป็นอุปกรณ์ติดตัวไว้ใช้…สำหรับการฆ่าชิงทรัพย์ผู้อื่น
ยาทลายด่านปราณยิ่งไม่ต้องพูดถึง สำหรับผู้มีพลังสูงแล้วมันมีความหมายมาก ทะลุด่านไวหนึ่งวันก็จะได้เปรียบในการช่วงชิงทรัพยากรด้านต่างๆ มากมาย
ในงานแลกเปลี่ยนของวิเศษ ภายนอกทุกคนต่างแข่งขันกันอย่างยุติธรรม ทว่าหากประธานเฉินคนนี้ลงมือ คนทั่วไปก็ทำเป็นยกป้ายพอเป็นพิธี ให้ราคาสูงกว่าราคาขั้นต่ำเล็กน้อยแล้วก็รามือ
พวกเขาล้วนหากินในถิ่นสำนักงานสัจธรรม ไม่กล้าล่วงเกินเขาเทียนชิง ยิ่งไม่กล้าล่วงเกินสำนักงานสัจธรรม
เพียงแต่ของวิเศษที่มีประโยชน์ต่อกลยุทธ์เหล่านี้ของเขาเทียนชิง ราคาขั้นต่ำก็สูงลิ่ว กลุ่มอำนาจที่สู้ราคานี้ได้ นอกจากสำนักงานสัจธรรม ก็มีเพียงสองสามองค์กรเท่านั้น คนส่วนใหญ่ทำได้เพียงมองตาละห้อยเท่านั้น
สามองค์กรนี้หนึ่งคือ ‘สมาพันธ์เต๋าแห่งเสินโจว’ ผู้มีความสามารถสูงที่สุดคือเจ้าสำนักหม่าจากจื่อซานกวน เป็นยอดฝีมือระดับบ่อน้ำใหญ่ หนึ่งในสี่ยอดฝีมือของเสินโจว ได้ยินว่าช่วงนี้พลังของเขาสั่งสมหนาแน่น คล้ายมีลางจะทะลุด่าน
ทว่าเขาทุ่มเทใจให้กับคำสอนเต๋าของจื่อซานกวน ตำแหน่งภายในเป็นเพียงตำแหน่งลวง มีหน้าที่เข้าร่วมงานในยามจำเป็นเท่านั้น ผู้นำที่แท้จริงคือคนอื่น
อีกองค์กรหนึ่งคือ “สมาคมพุทธศาสนาเสินโจว” ผู้มีพลังสูงที่สุดคือพระอาจารย์เทียนจิง ผู้จุติจากภพเบื้องบน คุณธรรมสูงส่งเป็นที่นับถือ ดำรงตำแหน่งประธานสมาคมพุทธศาสนา ปกครองสำนักพุทธในเสินโจว
พวกเขาเป็นองค์กรที่รวมวัดเล็กใหญ่ไว้เพื่อคานผลประโยชน์ภายใน รวบรวมทรัพยากร อบรมศิษย์ที่มีความโดดเด่น สืบสานถ่ายทอดคำสอนของศาสนา
องค์กรที่สามชื่อว่า “สำนักไป๋ฉ่าว” มีหมอเทวดาเร้นกายนามว่า “ผู้เฒ่าไป๋ฉ่าว” เป็นประมุข รับเฉพาะศิษย์ที่มีพรสวรรค์โดดเด่นทางการแพทย์มาสั่งสอน
ได้ยินว่าเขาก็เป็นผู้จุติจากภพเบื้องบนเช่นกัน ทว่าภายในสำนักห้ามเข้าร่วมการต่อสู้ทุกชนิด มีความสัมพันธ์อันดีกับสำนักงานสัจธรรม และจัดเป็นพันธมิตรระดับ 3A เช่นเดียวกับ Anshi Capability Co., Ltd. ของฟางหนิง
ตอนนี้ผู้แทนสำนักงานสัจธรรมไม่ได้ยกป้าย ของวิเศษที่มีประโยชน์ต่อกลยุทธ์เหล่านี้ก็ตกมาให้กลุ่มอำนาจใหญ่สามองค์กรในเสินโจวเริ่มช่วงชิงกัน
ทว่าชิงไปชิงมา สามกลุ่มอำนาจนี้ก็เริ่มอิ่มตัว ต่างฝ่ายต่างชูป้ายช้าลง
เมื่อถึงการประมูลของสำคัญอย่าง “ยาทลายด่านปราณ” มีเพียงสำนักเดียวที่ชูป้าย ประธานเฉินตัวแทนจากสำนักงานสัจธรรมยังไม่มีท่าทีใดๆ
“ของวิเศษเก็บของก็ช่างแล้ว บางทีพวกสำนักงานสัจธรรมอาจจะมีเทคโนโลยีการสร้างแล้ว แต่คราวนี้ถึง “ยาทลายด่านปราณ” เจ้าสิ่งนี้เป็นของล้ำค่า ทั้งอัตราการหลอมล้มเหลวสูงมาก ล้มเหลวครั้งหนึ่งก็หมายถึงสิ้นเปลืองวัตถุดิบจำนวนมากโดยเปล่าประโยชน์ ตุนไว้มากเท่าไหร่ก็ไม่กลัวเปลืองพื้นที่ ประธานเฉินกลับยังไม่ต้องการงั้นเหรอ”
“ว่ากันว่าเฉียวจื่อซานของพวกเขากำลังจะทะลุระดับ A อ้อ ตามมาตรฐานล่าสุดของการประเมินพลังเผ่ามังกรคือจะทะลุระดับบ่อน้ำ เขาน่าจะต้องการมันมากถึงจะถูก”
“นั่นน่ะสิ ทำไมกันนะ”
คนที่นั่งอยู่ตรงนี้ไม่ใช่คนโง่เขลา กลับกันแต่ละคนล้วนฉลาดเป็นกรด
เมื่อพบว่าสำนักงานสัจธรรมไม่ร่วมประมูลของวิเศษระดับกลยุทธ์เหล่านี้จึงวิเคราะห์ออกมาเป็นข้อๆ
เมื่อถึง “ยาทลายด่านปราณ” คนของสมาพันธ์เต๋าแห่งเสินโจวก็ชิงชูป้ายฝ่ายแรกเช่นเคยก่อนพบว่าคู่แข่งของตนอย่างสมาคมพุทธศาสนาเสินโจวไม่ได้ยกป้ายด้วยซ้ำ
มีคนพบว่า พระอาจารย์เทียนจิงผู้นำพวกเขาคล้ายกำลังลอบส่งเสียงไปทางอัศวิน พลันกระจ่าง
คนของสมาพันธ์เต๋าเข้าใจในทันใด โมโหเร่าๆ ต้องรู้ว่าราคาขั้นต่ำที่เขาเทียนชิงกำหนดไว้เลวร้ายยิ่งนัก ยอมไม่ถูกประมูลก็ไม่ยอมลดราคาขาย…
พวกเขาไม่กล้าผิดสัญญา ถูกยึดเงินประกันของประมูลเป็นเรื่องเล็กน้อย ผิดใจกับเขาเทียนชิงถึงเป็นเรื่องใหญ่ หากพวกเขาบุกไปหาถึงสำนักและบอกกับศิษย์ที่พวกตนตั้งใจปลุกปั้นว่า “ถูกชะตา” …
คนของสำนักไป๋ฉ่าวแต่ไรก็ไม่ซื้อยาสำเร็จรูป อย่างมากก็ซื้ออย่างสองอย่างไปศึกษา ทำการแยกส่วนประกอบ…
“ยาทลายด่านปราณ” เป็นรายการศึกษาของพวกเขานานแล้ว ย่อมไม่ยกป้าย
อย่างที่ทุกคนได้เห็น พระอาจารย์เทียนจิงก็ไม่ได้จงใจปิดบังว่าเขากำลังสื่อสารกับอัศวิน A
“ยาที่พระอาจารย์ต้องการย่อมไม่มีปัญหา ประเดี๋ยวพระอาจารย์ให้คนมาคุยกับพ่อบ้านเจิ้ง ผมบอกกับเขาแล้วว่าให้ดูแลพระอาจารย์แบบ VIP ระดับโกลด์… ไม่ต้องห่วง ผมพูดคำไหนคำนั้น ประสิทธิภาพดีกว่าเขาเทียนขิง ราคาก็ต่ำกว่าพวกเขา ”
“เหอะๆ ท่านมีคุณธรรมสูงส่ง อาตมาเชื่อใจอยู่แล้ว จากนี้ไปยาชั้นยอดของพวกเราสมาคมพุทธศาสนาเสินโจวต้องรบกวนท่านแล้ว ”
“พูดได้ดี พูดได้ดี แค่เพียงวัตถุดิบครบ ทุกอย่างก็ไม่ใช่ปัญหา ”
หลังจากนั้น อาวุธและยาที่แสดงบนเวทีก็หลุดประมูลอย่างต่อเนื่อง
สถานการณ์เช่นนี้เกิดได้น้อยมากในปีก่อนๆ กลุ่มองค์กรเล็กๆ สู้ราคาไม่ไหว มีเพียงสำนักงานสัจธรรม สมาคมพุธ สมาพันธ์เต๋า สำนักไป๋ฉ่าวถึงมีกำลัง
ก่อนนี้สีหน้ากู่ปู้เหวยยังคงราบเรียบ ต่อให้ถูกอัศวิน A แย่งลูกค้าไปต่อหน้าธารกำนัลก็ไม่เปลี่ยนสีหน้า
ทว่าเมื่ออาวุธและยาหลุดประมูลไปทีละชิ้น เขาจึงขมวดคิ้วมุ่น
งานแลกเปลี่ยนสินค้าปีก่อนๆ ของบนเวทีล้วนถูกผู้คนแย่งชิง ตอนนี้กลับไร้คนถามไถ่ราวกับเป็นของโกโรโกโส
เมื่ออาวุธระดับสูงที่ราคาขั้นต่ำแพงลิบไม่มีคนประมูล กู่ปู้เเหวยจึงโบกมือ พนักงานเข้าใจความหมายนั้น ปิดคลุมอาวุธและยาที่หลุดประมูลอีกครั้ง
เขากวักมือ จานเคลือบเหล่านั้นพลันหายวับไป จากนั้นจึงเอ่ยเรียบๆ “ดูท่าทุกท่านคงไม่สนใจของที่เขาเทียนชิงของเราเปิดประมูลในครั้งนี้ เช่นนั้นก็ดี งานแลกเปลี่ยนของวิเศษในเดือนสองจะเป็นการแลกเปลี่ยนโดยอิสระ กู่โหม่วขอถอนตัวชั่วคราว เจอกันอีกครั้งในเดือนสาม ”
ทุกคนมองหน้ากัน พวกเขาอยากบอกมากๆ ว่า ที่จริงแล้วพวกเขาสนใจสุดๆ แต่ว่ามันแพงเกินไป ซื้อไม่ไหว…
พวกที่ซื้อไหวก็คงหาแหล่งสินค้าที่ดียิ่งกว่าได้แล้ว
ถึงตอนนี้ใครยังมองไม่ออกอีกว่า ท่านเทพมังกรแห่งจิตวิญญาณคือแหล่งสินค้าแห่งใหม่
เผ่ามังกรมีสมบัติมากมาย คำพูดนี้คงจะจริง ท่านเทพมังกรแห่งวิญญาณคงต้องการแทรกแรงเข้ามาในตลาดระดับสูงแห่งนี้
เพียงแต่นั่นก็เกี่ยวข้องกับกลุ่มอำนาจใหญ่ พวกเขาจึงคิดว่าตัวเองก็สู้ราคาไม่ไหว…
เรื่องนี้พวกเขาก็ไม่ได้เดาผิด เทพแห่งระบบไม่ทำแหล่งสินค้าชั้นต่ำ เขาทำให้แค่ผู้แข็งแกร่งระดับบ่อน้ำขึ้นไปเท่านั้น
ว่าจบแล้วกู่ปู้เหวยก็หายตัวไปจากเวทีเหมือนตอนที่เขาปรากฎตัว
ในตอนนั้นเอง พนังงานคนหนึ่งของสำนักงานสัจธรรมยกไมโครโฟนขึ้นกล่าว “ผู้มีเกียรติทุกท่าน ตอนนี้โปรดทำอย่างครั้งที่ผ่านมา ลงบัญชีรายการที่ท่านต้องการซื้อ แล้วก็นำรายการที่ท่านต้องการแลกเปลี่ยนออกมา ลงข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์บนโต๊ะตรงหน้าท่าน อีกสักครู่เราจะนำเสนอแนวทางแลกเปลี่ยนบนหน้าจอมอนิเตอร์ใหญ่ให้ท่านพิจารณา ถึงตอนนั้นทุกท่านก็สามารถแลกเปลี่ยนกันได้โดยอิสระ ”
วัตถุดิบประกอบการฝึกฝนในตอนนี้ยังไม่มีมูลค่าเป็นเงิน เพราะวัตถุดิบหายากหลายอย่างใช้เงินตรามากำหนดไม่ได้ ทุกคนเพียงต้องแลกเปลี่ยนสิ่งของกับสิ่งของตามความต้องการของตัวเอง เสียเปรียบหรือไม่ต้องยอมรับเอาเอง
อย่างเช่นแหวนเก็บสมบัติวงหนึ่ง ต้องใช้หินดาราจักรสามก้อนและวัตถุดิบเพิ่มเติมอื่นในการสร้าง ในยามประมูลราคาขั้นต่ำของของวิเศษชิ้นนี้คือสิบห้าหินดาราจักร วัตถุดิบเพิ่มเติมก็ก็มีจำนวนเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว…
ทุกคนล้วนรู้ว่าผู้ผลิตสามารถใช้ของเหล่านี้ผลิตได้อีกสองหรือสามชิ้น แต่ยังคงยอมจ่าย
หลายคนเริ่มก้มหน้าก้มตาเพิ่มข้อมูล มีเพียงฟางหนิงที่มองมอนิเตอร์ใหญ่ด้วยความสนใจ บนนั้นกำลังปรากฏข้อมูลและคำอธิบายของวัตถุดิบการฝึกฝน มีทั้งแหล่งกำเนิด สรรพคุณ ไปจนถึงประวัติการซื้อขายอย่างครบครัน
ทราบได้ว่า ข้อมูลทุกชุดล้วนเป็นสิ่งล้ำค่าที่ผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนค่อยๆ รวบรวมออกมาตลอดยี่สิบปี ผู้มีสิทธิ์ได้เห็นทั้งเสินโจวก็มีเพียงพันกว่าคนนี้เท่านั้น
ผ่านไปครู่ใหญ่ บนหน้าจอมอนิเตอร์ใหญ่ไม่ได้แสดงคำอธิบายวัตถุดิบในการฝึกฝนอีกแล้ว กลับกัน เริ่มแสดงสิ่งของที่แต่ละฝ่ายต้องการและของที่พวกเขานำมาแลกเปลี่ยน
ของวิเศษเหล่านี้ มีทั้งวัตถุดิบ และมีทั้งของสำเร็จรูป
ในตอนนี้ไม่มีใครส่งเสียงกระซฺบกระซาบ และมีน้อยคนที่เงยหน้าขึ้นมา ต่างก้มหน้ามองโต๊ะข้างหน้าตัวเอง
ตรงนั้นมีหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่กำลังแสดงเส้นทางการแลกเปลี่ยนสินค้า ต้องไปหาใครแลกเพื่อของอะไรก่อน แล้วจึงใช้ของสิ่งนั้นไปแลกของวิเศษที่ตัวเองต้องการ ประวัติการแลกเปลี่ยนในอดีตของสิ่งของเหล่านี้…
วุ่นวายแต่ช่วยไม่ได้ การเปลี่ยนมือของวัตถุดิบการฝึกฝนมีเพียงยี่สิบปี เพิ่งจะรุ่งเรืองเมื่อไม่กี่ปีมานี้ ยังไม่มีของที่ใช้เงินตราแลกเปลี่ยนสินค้าที่เป็นที่ยอมรับ
สำนักงานสัจธรรมต้องการที่จะนำ “บัตรของวิเศษ” มากำหนดราคาวัตถุดิบของปราณกำเนิดแต่ละชิ้น ทว่านอกจากบุคลากรภายในที่ใช้เป็นบัตรรับทรัพยากรในการฝึกฝน เมื่อนำไปแลกเปลี่ยนข้างนอกกลับไม่มีใครยอมรับ…
ฟางหนิงมองอยู่สักพักก็พบว่า จนถึงตอนนี้เขาเพิ่งก้าวเข้ามาในยุคการฝึกฝนอย่างแท้จริง ได้เข้ามาในยุคสมัยนี้ ขณะเดียวกันก็เกิดความรู้สึกมั่นใจแน่วแน่ แท้จริงแล้วคนส่วนมากก็ถูกตัวเขาและระบบทิ้งเอาไว้ข้างหลังไปโดยไม่รู้ตัว…
…………
เขาสูงแห่งหนึ่งทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเสินโจว คือชายแดนป่าลึกลับที่กู่ปู้เหวยและศิษย์น้องหญิงลงมา
ขณะที่งานแลกเปลี่ยนของวิเศษดำเนินการต่อนั้น กู่ปู้เหวยก็มาปรากฏที่นี่อีกครั้ง
ในตอนนั้น ชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบปี พลังกลับแข็งแกร่งถึงระดับบ่อน้ำก็รออยู่ชายป่าอยู่แล้ว
ชายหนุ่มคนนี้พอเห็นเขาก็ส่ายหน้าขำ ท่าทางอารมณ์ดีอย่างมาก
“ฮ่าๆ จอมแผนการกู่ คิดไม่ถึงเลยว่าคราวนี้ฉีล่าเหมยจะเสียหลักขนาดนี้ น่าตลกจริงๆ ก่อนลงเขาเธอยังคิดอยากท้าชิงตำแหน่งผมหลังกลับมาอยู่เลย ตอนนี้กลับงามหน้า เหลือแค่วิญญาณซะแล้ว ภายในยี่สิบปีเธออย่าได้คิดเรื่องนี้อีกเลย ”
กู่ปู้เหวยตีหน้านิ่ง ว่าเรียบๆ “หยุดขำได้แล้ว เฉินเทียนเซี่ยว ถ้าอาจารย์กับอาจารย์แม่ฉันรู้ว่านายหัวเราะเยาะศิษย์น้องฉีลับหลัง เกรงว่าอาจารย์ของนายก็ช่วยนายไม่ได้ ”
เฉินเทียนเซี่ยวจึงหุบปาก “ก็ได้ๆ ผมรู้ว่าศิษย์พี่กู่หวังดี ผมจะเอาวิญญาณฉีเหมยกลับไปเดี๋ยวนี้แหละ ถ้าให้เขาไปเกิดในท้องหมูก็ยิ่งน่าสนุก… ปีศาจหมูสวรรค์ตัวนั้นบนเขาเพิ่งตั้งครรภ์ คุณสมบัติไม่ธรรมดา รูปร่างก็ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์อย่างเราจะเทียบได้ ถ้าเธอเริ่มฝึกตั้งแต่ในท้อง เกรงว่าอีกสามปีคงมาท้าผมได้อีก…”
กู่ปู้เหวยยื่นกล่องผ้าใบหนึ่งให้ กล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ศิษย์สายตรงทั่วไปยังไม่มีวาสนาเช่นนั้น ”
เฉินเทียนเซี่ยวรับมา ฉีกยิ้มบอก “ใช่น่ะสิ พวกที่ได้แต่พึ่งตัวเองอย่างเรา ตายไปแม้แต่ท้องหมูก็ไม่ได้ไปเกิด… ใช่แล้ว ศิษย์พี่พึ่งส่งข่าวมาว่า ‘ตัวแปรปรากฏแล้วจริงๆ’ จะให้ผมรายงานอาจารย์ปู่ บอกได้ไหมว่าตัวแปรอะไร คงไม่ใช่เทพมังกรแห่งจิตวิญญาณที่ฆ่าฉีเหมยหรอกนะ ”
กู่ปู้เหวยกวาดตามองเขารอบหนึ่ง เอ่ย “นายเดาได้แล้วจะถามฉันทำไม ฉันนั่งสมาธิอยู่ตรงนี้ นายรายงานเสร็จแล้วก็รีบกลับเขาไปเอาของวิเศษชุดที่สองมา ”
เฉินเทียนเซี่ยวบ่นอุบ “วุ่นวาย ถ้าศิษย์สายตรงลงเขาพร้อมกันได้ทีละหลายคนผมคงไม่ต้องวิ่งไปวิ่งมา… แต่ปีก่อนๆ อย่างน้อยต้องงานแลกเปลี่ยนเดือนที่สามถึงจะขายหมด คราวนี้ก็จะเอาชุดที่สองแล้วเหรอ ”
กู่ปู้เหวย “ของชุดนี้ไม่ผ่านเกณฑ์ กลุ่มอำนาจใหญ่พวกนั้นไม่สนใจแล้ว ”
เฉินเทียนเซี่ยวเข้าใจทันใด ยิ้มเย็นว่า “ดูท่าท่านเทพมังกรแห่งจิตวิญญาณนั่นเป็นเหตุสินะ งั้นเรากำจัดเขาดีไหม กล้าดียังไงมาขัดเส้นทางทำเงินพวกเรา…”
ดูจากท่าทางยิ้มแย้มอารมณ์ดีของคนคนนี้ ไม่มีใครคิดว่าสำหรับเขาการฆ่าคนง่ายดายประหนึ่งกินข้าว…
กู่ปู้เหวยเอ่ยอย่างราบเรียบ “เราตัดสินใจไม่ได้ พวกอาจารย์และอาจารย์อาก็ทำไม่ได้ ต้องดูว่าอาจารย์ปู่จะเอายังไง ”
เฉินเทียนเซี่ยวได้ยินแล้วก็บอกหน้าบาน “อื้อ จนถึงตอนนี้ ดวงวิญญาณที่เกิดในเสินโจวยังไม่มีใครรอดพ้นจาก ‘พญากรณ์เทพโดยกำเนิด’ ของอาจารย์ปู่ เทพมังกรนี้ก็ไม่เว้น เขาได้ใจได้แค่ชั่วคราวเท่านั้นแหละ ฮ่าๆ…”
กู่ปู้เหวยไม่มองเขาอีก แต่มองก้อนเมฆบนขอบฟ้า คิดอะไรในใจ
……………………………………………….