บทที่ 44 ท่านเซียน พวกเราคิดถึงท่านมาก!
หมัดนี้แลดูไม่มีอะไรซับซ้อน ความเร็วก็ไม่ได้ถือว่าเร็ว
ทว่าตอนที่เสิ่นเทียนชกหมัดนี้ออกไป กุ้ยกงกงรู้สึกเหมือนตนเองโดนดูดจนหยุดชะงัก
กำปั้นของเสิ่นเทียนกำลังปลดปล่อยพลังดึงดูดที่แข็งแกร่งสายหนึ่ง
พลังดึงดูดสายนี้ดึงกุ้ยกงกงเข้าใกล้อย่างต่อเนื่อง จำกัดความเร็วในการหลบหลีกของเขา
สีหน้าของกุ้ยกงกงเปลี่ยนไปเล็กน้อย เย็นวูบในใจ
สมกับที่เป็นสมบัติชั้นสูงในรายนามน้ำแท้ ไม่นึกเลยว่ายังมีความลึกลับเช่นนี้แฝงอยู่
อาศัยจังหวะของการจู่โจม ยังสามารถทำให้เกิดพลังจำกัดและดึงดูดคู่ต่อสู้!
หมัดนี้ของเสิ่นเทียนยากที่จะหลบหลีก!
แน่นอน ยากที่จะหลบหลีกไม่ได้แปลว่าไม่สามารถป้องกัน
กุ้ยกงกงสามารถสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งและความน่ากลัวจากหมัดนี้ของเสิ่นเทียน
หากโดนหมัดนี้ชกเข้าใส่จริงๆ โดยพื้นฐานแล้วเขาสามารถไปพบพระสนมหลานได้ในทันใด
“หยุดเดี๋ยวนี้!”
พลังวิญญาณในร่างกายของกุ้ยกงกงถาโถมเข้าไปหาดอกทานตะวันมารสู่สุริยันตรงหน้าอย่างบ้าคลั่ง
หลังจากดอกทานตะวันสีเลือดได้รับพลังวิญญาณที่เพียงพอ มันดูเบ่งบานและงดงามยิ่งขึ้น
มันบานออกอย่างเชื่องช้า ราวกับกำลังอ้าปากเตรียมกลืนกินทุกสิ่ง
ทว่าหลังจากสัมผัสโดนหมัดของเสิ่นเทียนที่มีน้ำมวลหนักปฐมกาลปกคลุม
ตรงกลีบดอกไม้ของดอกทานตะวันสีเลือด มีรอยแตกร้าวปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว
จากนั้นกลีบดอกไม้ล่องลอยแตกสลายกลายเป็นความว่างเปล่า
……
กุ้ยกงกงใช้มารทานตะวันพิทักษ์ร่างอย่างเต็มกำลัง แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเสิ่นเทียนกลับไม่สามารถต้านทานกระบวนท่านี้
กลีบดอกไม้สีแดงกลายเป็นผุยผงล่องลอยไปท่ามกลางพายุลมหมัด กำปั้นของเสิ่นเทียนหยุดห่างจากตรงหน้าของกุ้ยกงกงสามนิ้ว
เห็นได้ชัด การประลองครั้งนี้เสิ่นเทียนเป็นฝ่ายชนะ
หลอมกายขั้นสี่เอาชนะหลอมปราณขั้นแปดด้วยกระบวนท่าเดียว!
ของเหลวสีเงินขาวไหลกลับเข้าไปในร่างกายอย่างเชื่องช้า รัศมีกดดันที่อยู่ในอากาศก็หายไปทันที
เสิ่นเทียนเกาศีรษะของตนเองอย่างยิ้มแย้ม “เมื่อกี้รู้สึกว่าร่างกายเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง รู้สึกอึดอัดถ้าไม่ได้ปลดปล่อยมันออกมา”
“ลุงกุ้ย ท่านไม่ได้รับบาดเจ็บใช่หรือไม่!”
กุ้ยกงกงส่ายศีรษะ ถอนหายใจแล้วกล่าว “องค์ชายดึงพลังกลับได้ทันเวลา บ่าวไม่เป็นอะไร”
“แต่ว่าหมัดนี้ขององค์ชายแข็งแกร่งยิ่งนัก เกรงว่าเพียงพอที่จะเป็นภัยคุกคามของผู้แข็งแกร่งระดับสร้างฐานแล้ว!”
“หากพระสนมหลานรู้ว่าปัจจุบันองค์ชายแข็งแกร่งเช่นนี้ จะต้องยิ้มร่าทั่วทั้งแดนปรโลกอย่างแน่นอน”
คำพูดของกุ้ยกงกงไม่ได้พูดสรรเสริญเยินยอ
เขาฝึกบำเพ็ญ ‘คัมภีร์มารสู่สุริยัน’ บรรลุถึงระดับหลอมปราณขั้นแปด
อันที่จริงพลังของเขาไม่ธรรมดา สู้อย่างเต็มกำลังถึงขั้นสามารถปะทะกับผู้บําเพ็ญหลอมกายเทพมารในระดับเดียวกัน
ด้วยความสามารถของเขา ถึงเผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานที่อ่อนแอก็เป็นฝ่ายที่เหนือกว่า
แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเสิ่นเทียน กลับไม่สามารถต้านทานแม้แต่กระบวนท่าเดียว
เสิ่นเทียนที่อยู่ในสภาวะเช่นนั้น หมัดเดียวไร้เทียมทานยิ่งนัก!
……
“น้ำมวลหนักปฐมกาลเป็นอันดับสิบสองของของรายนามน้ำแท้ อนุภาพย่อมไม่ธรรมดา”
เสิ่นเทียนยิ้มแล้วกล่าว “หมัดของข้าเมื่อกี้มีน้ำมวลหนักปฐมกาลแฝงอยู่”
บนใบหน้าของกุ้ยกงกงเผยให้เห็นความดีใจ “องค์ชายท่านสามารถควบคุมน้ำมวลหนักปฐมกาลแล้วหรือ”
เสิ่นเทียนพยักหน้า “ข้าก็ไม่รู้เพราะเหตุใด มันเหมือนมีความเชื่อมโยงกับคัมภีร์คบเพลิง”
“เมื่อไหร่ที่ข้าโคจรทักษะหลอมกายคบเพลิง น้ำมวลหนักปฐมกาลแฝงเข้าไปในพลังของข้าด้วย”
“หลังจากนั้นไหลเวียนไปทั่วร่างตามพลังของข้า ช่วยขัดเกลาร่างกาย”
“มีมันคอยช่วยเหลือ พลังวิญญาณที่ใช้ในการขัดเกลาร่างเนื้อของข้าถูกเผาผลาญเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว แต่ผลลัพธ์ของการขัดเกลาก็เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวเช่นกัน”
“และเมื่อกี้ข้าลองควบแน่นน้ำมวลหนักปฐมกาลไปที่กำปั้น พบว่ามันทำได้จริง”
เสิ่นเทียนก็คิดไม่ถึงเช่นกัน ทักษะหลอมกายคบเพลิงที่ซื้อมาในราคาห้าตำลึงเงินจะมีผลลัพธ์ที่น่าทึ่งเช่นนี้
หรือเมื่อก่อนไม่เคยมีคนลองใช้ทักษะหลอมกายคบเพลิงไปดูดซับน้ำมวลหนักปฐมกาลเลยหรือ
หรือในนั้นมีความลับอะไรที่เขาไม่รู้แฝงอยู่
เสิ่นเทียนขมวดคิ้ว รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดา
……
“ช่างเถอะ ไม่อยากคิดแล้ว ต่อไปเมื่อมีโอกาสก็จะเข้าใจเอง”
เสิ่นเทียนปัดความสงสัยทั้งหมดทิ้งไป เริ่มครุ่นคิดตั้งชื่อที่น่าฟังให้กับท่าไม้ตายของตนเอง
‘คัมภีร์คบเพลิง’ ที่แพร่หลายในโลกบำเพ็ญเซียน ไม่มีกระบวนท่าที่สอดคล้องกัน
ในตอนนี้หลังจากคัมภีร์คบเพลิงของเสิ่นเทียนดูดซับน้ำมวลหนักปฐมกาลจึงเกิดการเปลี่ยนแปลง
และยังทำให้เสิ่นเทียนสามารถคิดค้นวิชาหมัดที่น่าทึ่ง
เสิ่นเทียนย่อมต้องตั้งชื่อที่ฟังดูสุดยอดและน่าเกรงขามให้กับวิชาหมัดของตนเอง
ชื่ออะไรดีนะ!
หมัดเทพวารีคบเพลิง?
หมัดคบเพลิงไร้เทียมทาน?
หมัดเทพวารีไร้เทียมทาน?
หมัดวารีหยก?
หมัดคืนข้าล่องลอย?
……
นึกอยู่หลายสิบชื่อ สุดท้ายเสิ่นเทียนต้องยอมรับว่าตนเองเป็นพวกมีปัญหากับการตั้งชื่อ
ช่างเถอะ เรียกหมัดเทพปฐมกาลก็แล้วกัน!
ไว้เมื่อไหร่ที่สามารถโคจรน้ำมวลหนักปฐมกาลไปที่เท้า ก็เรียกว่าเท้าเทพปฐมกาล
ใช้ฝ่ามือตบคนอื่นก็เรียกฝ่ามือเทพปฐมกาล
หากสามารถไหลเวียนไปทั่วร่างก็เรียกวิชาเทพไม่บุบสลายปฐมกาล
หรือสร้างเป็นชุดเกราะเซาะกราว ก้าวสู่จอมยุทธ์แรดทมิฬ!
อืม เป็นความคิดที่ไม่เลว
อย่างไรก็ดี ขอเพียงแข็งแกร่งก็สามารถผงาดขึ้นอย่างรวดเร็วได้ ทุกสรรพสิ่งไม่มีคำว่าเกินจริง
ช่างเจ้าวิชาที่ลึกลับซับซ้อนกระไร ซัดให้ระเบิดก็สิ้นเรื่อง!
ใช่แล้ว ไม่รู้ว่าเจ้าของสิ่งนี้มันพุ่งออกไปเหมือนปืนฉีดน้ำหรือไม่
ถ้าหากทำได้ เจ้าของสิ่งนี้พุ่งใส่หน้า น่าจะสะใจยิ่งกว่ากระสุนเจาะเกราะต้านรถถังอีกกระมัง!
อืม ถ้าอย่างนั้นก็ตั้งชื่อว่าปืนเทพปฐมกาล!
ถ้าหากการเคลื่อนไหวของมันเร็วพอ ก็สามารถพัฒนาไปทางเครื่องวอเตอร์เจ็ท
ถ้าอย่างนั้นก็ตั้งชื่อว่าดาบเทพปฐมกาล!
เสิ่นเทียนคิดว่านี่เป็นแนวทางที่สามารถลองศึกษาบนเส้นทางบำเพ็ญเซียนของเขาในวันข้างหน้า
ทั้งน่าสนใจและทั้งสนุก ยิ่งไปกว่านั้นยังรู้สึกว่าอานุภาพของมันต้องรุนแรงมาก
เจ้าน้ำมวลหนักปฐมกาลนี่มันยาหม่องครอบจักรวาลชัดๆ!
ข้านี่มันอัจฉริยะจริงๆ
……
เสิ่นเทียนดึงสติของตนเองกลับมา เห็นกุ้ยกงกงและคนอื่นล้วนแต่กำลังจ้องตนเอง
เขากระแอมด้วยสีหน้าที่นิ่งสงบ “อะแฮ่ม เออ พวกเราควรจะกลับกันได้แล้ว”
กุ้ยกงกงพยักหน้า “องค์ชายโปรดวางใจ พวกเราเก็บดอกบัวขาวบริสุทธิ์ในหุบเขาเรียบร้อยหมดแล้ว”
ในระหว่างสามวันที่เสิ่นเทียนหมดสติ คนทั้งสามก็ไม่ได้อยู่เฉย
สมุนไพรและดอกบัวขาวบริสุทธิ์ในหุบเขาเหล่านั้นถูกเก็บจนหมดแล้ว
ตามวิธีแบ่งผลประโยชน์ที่คุยกันไว้ก่อนหน้านี้ เสิ่นเทียนและเสี่ยวหลิงเซียนคนละครึ่ง
สิ่งที่คู่ควรแก่การกล่าวถึงคือแหวนเก็บของของเสี่ยวหลิงเซียนไม่ได้ใหญ่มาก มีเพียงพื้นที่หนึ่งตารางเมตร
เพื่อที่จะใส่สมุนไพรและดอกบัวขาวบริสุทธิ์เหล่านี้ให้เต็ม ก็นับว่าเสียพลังไปไม่น้อย
……
“ใช่แล้วลุงกุ้ย นำกระจกมาให้ข้าหน่อย”
เสิ่นเทียนนึกขึ้นได้อย่างกะทันหัน เตรียมตัวตรวจดูวงรัศมีของตนเอง
กุ้ยกงกงจะยิ้มก็ไม่ได้ร้องไห้ก็ไม่เชิง นำกระจกยื่นให้เสิ่นเทียน
เมื่อก่อนไม่เคยพบองค์ชายรักสวยรักงามเช่นนี้
หรือเป็นเพราะแม่นางเสี่ยวหลิงเซียนอยู่ด้านข้าง ก็เลยใส่ใจภาพลักษณ์เป็นพิเศษ?
อืม ต้องเช่นนี้สิถึงจะถูก!
รีบไปสู่ขอแม่นางหลิงเอ๋อร์เข้าบ้าน เช่นนี้พระสนมหลานที่อยู่ในแดนปรโลกรู้ก็จะยิ้มร่าไปทั่วแดนปรโลก
เปิดกระจก เสิ่นเทียนมองตนเองที่อยู่ในกระจกด้วยความคาดหวัง
อืม แม้จะสกปรกมอมแมมไปบ้าง
แต่ยังคงไม่สามารถบดบังความหล่อที่ทำให้ผู้คนคลั่งไคล้
สิ่งที่ทำให้เสิ่นเทียนดีใจคือวงรัศมีเหนือศีรษะของเขาใกล้จะถูกชำระล้างกลายเป็นสีขาวแล้ว
เหลือเพียงพื้นที่บางส่วนที่ยังมีจุดสีดำปะปน แลดูคล้ายคลึงลายเสือดาวเล็กน้อย
และแสงที่รายล้อมวงรัศมี ส่วนใหญ่ก็กลายเป็นสีขาวหมดแล้ว
มีเพียงกลิ่นอายสีดำเล็กน้อยที่ยังคงพยายามต่อต้าน
ชำระล้างจนขาวบริสุทธิ์ อยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อม!
……
เก็บกระจก เสิ่นเทียนและคนอื่นๆ ปีนเชือกที่ทิ้งไว้ตอนลงมากลับขึ้นหน้าผา
จัดแต่งชุดของตนเองสักพัก หยิบหนวดสองเส้นที่ตกไปแล้วขึ้นมาติดใหม่
เสิ่นเทียนกลับมาเป็นท่านเซียนเสิ่นเอ้าสี่คิ้วอีกครั้ง
เต็มเปี่ยมไปด้วยสง่าราศี ทำให้เด็กสาวนับหมื่นพันคลั่งไคล้
คนทั้งกลุ่มเดินทางกลับสวนหมื่นวิญญาณ
สิ่งที่ทำให้เสิ่นเทียนคาดคิดไม่ถึงคือ ทันทีที่เท้าข้างหนึ่งของเขาก้าวเข้าสู่สวนหมื่นวิญญาณ
มีคนหลายสิบคนวิ่งเข้ามาทางเขาทันที
“ทุกคนรีบมาดูเร็ว! ท่านเซียนเสิ่นเอ้ากลับมาแล้ว!”
“ท่านเซียน ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว พวกเรารอท่านมาสามวันแล้ว”
“สามวันแล้วนะ ท่านเซียน ท่านรู้หรือเปล่าว่าสามวันมานี้พวกเราอยู่กันอย่างไร”
……
คนทั้งกลุ่มพากันวิ่งเสิ่นเทียน กลัวว่าตนเองจะอยู่หลังเพื่อน
คนที่อยู่ด้านหน้าสุดคือผู้มีวาสนาคนแรกและคนที่สอง
พวกเขาพุ่งเข้ามากอดขาของเสิ่นเทียนคนละข้าง ปล่อยโฮร้องไห้ออกมาทันที
“ท่านเซียน ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว พวกเรา…คิดถึงท่านมาก!”
………………………………………………