บทที่ 76 พลังวิเศษคบเพลิง หัตถ์ยักษ์จับปักษา
อาจารย์ลุงบัวมรกต
ทันทีที่จางอวิ๋นซีเอ่ยนามนี้ หมอกดำทั้งหมดเกิดคลื่นกระเพื่อมอย่างรุนแรง เห็นได้ชัดมากว่าผู้สูงศักดิ์ที่ซ่อนอยู่ในหมอกดำพวกนั้นต่างว้าวุ่นใจกันเป็นอย่างยิ่ง
“เป็นสายพันธุ์ปรับแก้จากบัวครามธรรมชาติระดับเจ็ด บัวเขียวนภากาศ”
“หรือว่าจะเป็นฉู่หรงเหอ ผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวมรกต ถอยเร็ว!”
หมอกดำแต่ละกลุ่มพลันสลายหายไป ผู้สูงศักดิ์จำนวนมากกลายเป็นร่างเงาหนีกันไปทุกสารทิศ เพราะพวกเขารู้ดีว่าบัวสีมรกตดอกนี้หมายถึงอะไร
นั่นถูกขนานนามว่าเป็นหนึ่งในเจ้าปกครองที่ล่วงเกินไม่ได้ทั้งแดนบูรพา!
ผู้แข็งแกร่งระดับดวงจิตดรุณรวดเร็วยิ่ง พริบตาเดียวก็หนีไปไกลหมื่นจั้ง
ทว่าตอนนี้เองมีเสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นจากมวลอากาศ
“กล้าแตะต้องบุตรสาวของศิษย์น้องข้า พวกเจ้ายังคิดจะหนีอีกรึ?”
เพิ่งกล่าวจบ ดอกบัวมรกตนั้นก็ยิงเปลวเพลิงออกไปสิบกว่าสายทันที เปลวเพลิงพวกนั้นออกเป็นสีราวกับมรกต ใสแวววาวสวยงาม
พวกมันลากผ่านท้องนภาไปในทันใด พุ่งใส่หมอกดำกลุ่มก้อนพวกนั้น เพียงไม่กี่ลมหายใจก็ตามหมอกดำทั้งหมดทัน
……
เปลวเพลิงสีมรกตระเบิดออกโดยพลัน เป็นกรงขังแผดเผากลุ่มหมอกดำพวกนั้น ก่อนจะมีเสียงร้องโหยหวนแหลมเล็กดังมาจากกลางหมอกดำ
ชั่วประเดี๋ยวเดียวราคาต้องจ่ายที่หมอกดำแผดเผาทั้งหมดคือผู้สูงศักดิ์กลางหมอกถูกเผากลายเป็นเถ้าถ่าน จากนั้นเปลวเพลิงสีมรกตเหล่านั้นม้วนแหวนเก็บของแต่ละวงลอยกลับมา
เปลวเพลิงทั้งหมดรวมเข้าด้วยกัน ค่อยๆ กลายเป็นร่างคนหนึ่ง คนนั้นรวมกายปรากฏต่อหน้าทุกคนเป็นนักพรตชราท่านหนึ่ง
เขาดูเป็นคนชราสุขภาพดี สวมชุดคลุมเซียนยันต์แปดทิศ ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มอบอุ่น ราวกับเซียนเต๋าแท้จริง แน่นอนถ้าสองมือเขาไม่ได้สวมแหวนเก็บของอยู่เต็มละก็ ฐานะผู้สูงส่งแก่กล้านี้ก็ยังบรรยายออกมาได้สมจริงยิ่งกว่านี้อีกหน่อย
เมื่อเห็นนักพรตชราท่านนี้แล้ว จางอวิ๋นซีโล่งอก
แม้อาจารย์ลุงท่านนี้จะมีชื่อเสียงเรื่องทำอะไรไม่ได้มาตรฐานก็ตาม แต่ต้องยอมรับว่าศักยภาพเขาอยู่ในระดับชั้นสูงสุดของแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวงจริงๆ
มีเขาอยู่ จี้หยกมังกรพยัคฆ์เทพสวรรค์ถือว่าปลอดภัยแล้ว
นักพรตชราขยับวูบไหวร่างมาอยู่ข้างกายจางอวิ๋นซีทันที
เขาเตะขาออกไปทีแล้วว่า “ซีเอ๋อร์อย่ากลัว ไอ้นกนี่ทำร้ายเจ้าไม่ได้หรอก”
…..
เปรี้ยง!
นักพรตชราเตะออกไปทีดูเหมือนไม่มีความลึกล้ำอะไรเลย ทว่ากลับแข็งแกร่งจนน่ากลัว
เขาเตะใส่ปีกอินทรียักษ์ปีกทองทีหนึ่งจนมันกระเด็นลอยไปไกลร้อยจั้ง ขนนกสีทองอาบโลหิตสีทองอมแดงร่วงโรยลงมาจากฟ้าทีละหย่อม
นัยน์ตาอินทรียักษ์ปีกทองเต็มไปด้วยความตกตะลึงและหวาดกลัว “นี่เป็นไปได้อย่างไร!”
ต้องรู้ว่าเผ่าอินทรียักษ์ปีกทองมียอดอาวุธสังหารทรงพลังสามชิ้น
หนึ่งคือกรงเล็บคมกริบของพวกมัน สามารถฉีกมวลอากาศได้
สองคือจะงอยปากคม ทะลวงได้ทุกสิ่ง
และสามคือสองปีกของพวกมัน มีความรวดเร็วยิ่งในใต้หล้า อีกทั้งสองปีกของอินทรียักษ์ปีกทองยังมีพลังโจมตีแข็งแกร่ง
บนสองปีกพวกมันคลุมด้วยขนปักษาที่แข็งทนทานเสียยิ่งกว่าเหล็กทมิฬ ราวกับดาบเทพเลิศล้ำ
ในยามต่อสู้ สองปีกของอินทรียักษ์ปีกทองสามารถใช้เป็นดาบนักรบได้อย่างสมบูรณ์แบบ กระทั่งในมรดกของเผ่าพญาปักษายังมีวิชาดาบที่สำแดงด้วยปีก…ปักษาสวรรค์เก้าตัดสังหาร
นี่คือคู่ยอดอาวุธสังหารไร้เทียมทาน
แต่ยามนี้สองปีกของมันกลับถูกผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์คนหนึ่งเตะทีเดียวแตก สำหรับเผ่าพญาอินทรีปีกทองผู้สูงศักดิ์แล้ว นี่คือความอัปยศอันใหญ่หลวง!
…….
“เจ้ามนุษย์ เจ้ายั่วโมโหข้าแล้ว! เจ้าจะเป็นผู้แข็งแกร่งระดับหลอมรวมเทพคนแรกที่ข้าสังหารตั้งแต่ลงมาเยือนแดนบูรพา!
ดูตัดสังหารแรกของเก้าตัดสังหารปักษาสวรรค์ข้า…ตัดสังหารแดนดิน!”
อินทรียักษ์ปีกทองบินขึ้นด้วยความเกรี้ยวกราด ร่างมหึมาเปล่งแสงสว่างทรงอำนาจหมื่นจั้ง คมดาบเทพยักษ์ยาวร้อยจั้งปรากฏกลางมวลอากาศก่อนฟันใส่นักพรตชรา
ดาบนี้ลากผ่านที่ใด แม้แต่มวลอากาศยังพังทลายลง เหมือนกับนามเรียกขานของดาบนี้ ตัดสังหารแดนดิน
ถ้าฝึกกระบวนท่านี้ถึงจุดสูงสุด การทำลายแดนดินด้วยดาบเดียวมิใช่คำเกินจริงไปเลย!
นักพรตชรามองอินทรียักษ์ปีกทองมหึมากลางอากาศด้วยสีหน้าจริงจัง
“ไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นอินทรียักษ์ปีกทอง เผ่าราชันของเผ่าพญาปักษาเขตแดนใต้ วัตถุดิบดีเช่นนี้ ควรจะทำอะไรดีนะ! ทำให้ข้าปวดสมองจริงๆ เลย!
ช่างเถอะ จับมาก่อนแล้วกัน!”
…………
นักพรตชราสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนถูฝ่ามือรูดแขนเสื้อขึ้น
เขาจ้องอินทรียักษ์ปีกทองตรงหน้าก่อนจะยื่นมือขวาออกไปกลางฟ้าอย่างฉับพลัน
“ดูพลังวิเศษหลอมกายคบเพลิงของข้า…หัตถ์ยักษ์จับปักษา!”
พอเอ่ยจบก็เห็นว่ามวลอากาศเหนือชั้นเมฆเริ่มบิดรูป อินทรียักษ์ปีกทองยาวหลายสิบจั้งร่างหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว
“ไม่ ไม่มีทาง นักพรตเจ้าใช้พลังวิเศษมิติหัตถ์ยักษ์ยกสวรรค์ได้!”
แววตาอินทรียักษ์ปีกทองเต็มไปด้วยความตกตะลึงและตื่นกลัว มันรู้สึกว่าตนเจอกับตอแข็งเข้าแล้ว
นักพรตชราเลียริมฝีปาก มือขวายังคงยื่นไปข้างหน้าช้าๆ
เขาเบะปากว่า “หัตถ์ยักษ์ยกสวรรค์อะไร กระบวนท่านี่เขาเรียกว่าหัตถ์ยักษ์จับปักษา”
“ไอ้ลูกนกปีกทอง เจ้ามาหาข้าเถอะ!”
ทันทีที่เอ่ยจบ เขาประกบห้านิ้วมือขวาทันที พริบตานั้นมวลอากาศบริเวณนั้นหดตัวอย่างฉับไว อินทรียักษ์ปีกทองถูกบีบหดตัวเหลือราวหนึ่งฉื่อ
ดูแล้วมีขนาดประมาณไก่บ้านตัวผู้ธรรมดาจริงๆ
อินทรียักษ์ปีกทองที่ถูกผนึกอยู่กลางอากาศยังคงดิ้นรนไม่หยุด
มันร้องเสียงแหลมยิ่ง “ไร้สาระ นี่มันหัตถ์ยักษ์ยกสวรรค์ชัดๆ”
นักพรตชราเบะปาก “เจ้ามันไอ้นกจะตายอยู่แล้ว จะเถียงอะไรให้มากความ?”
……..
เอ่ยจบ นักพรตก็ปลดไม้กระบองเหล็กสีทองทุกส่วนออกมาจากด้านหลัง
เขาพิจารณาอินทรียักษ์ปีกทอง ทำสีหน้าเคร่งขรึม กำลังคิดอยู่ว่าจะใช้วัตถุดิบทำอะไรดี
อินทรียักษ์ปีกทองลนลานขึ้นมาทันที “เจ้ากล้าฆ่าข้ารึ ข้าคือบุตรของสามผู้อาวุโสเผ่าพญาปักษา หากเจ้าสังหารข้าแล้ว บิดาข้าจะไม่ปล่อยเจ้าแน่!”
นักพรตเต๋าอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดด้วยสีหน้ากังวลใจ “บิดาเจ้าตัวใหญ่เท่าไรกัน?”
อินทรียักษ์ปีกทองแค่นเสียงขึ้นจมูก “บิดาข้าอายุห้าพันปี อีกครึ่งก้าวก็จะก้าวสู่ขอบเขตผู้อริยะแล้ว เจ้ากล้าทำร้ายข้า ไม่กลัวก่อมหาสงครามระหว่างเผ่าพญาปักษากับแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์รึ”
นักพรตชราเหมือนมีความคิดบางอย่าง “นกแก่อายุห้าพันปี เกรงว่าเนื้อคงไม่นุ่มแล้วกระมัง! เฮ้อ ดูท่าบิดาเจ้ามาแล้วคงได้แต่เอาไปตุ๋นทำน้ำแกง”
อินทรียักษ์ปีกทองตะลึงงันไปก่อนจะตั้งปีกสีทองขึ้น โมโหจนแทบคลั่ง
ไอ้ชาติชั่ว ไอ้คนบ้า ไม่อยากเชื่อว่าคิดจะจับบิดาข้าไปตุ๋นทำน้ำแกงด้วย!
มันยังไม่ทันฟ้องร้องอะไรก็กลายเป็นความตื่นกลัวลึกๆ เพราะนักพรตชราแบกไม้กระบองเดินเข้ามาแล้ว
เขาจับอินทรียักษ์ปีกทองพลิกตัวมา จากนั้นกระทุ้งไม้กระบองยาวสีทองใส่ตัวอินทรียักษ์ปีกทอง
นักพรตเต๋าชราพูด “เจ้านุ่มมากนะ ทนเจ็บหน่อยแล้วกัน”
อินทรียักษ์ปีกทองร้อง “อย่า ไม่เอา อ๊าก!”
……..
แว๊ก!
เสียงนกใหญ่ร้องน่าสังเวชใจดังขึ้นกลางฟ้าดินก่อนจะเงียบหายไป
นักพรตชราพลิกไม้ปิ้งย่างไปพลาง ใช้เปลวไฟสีมรกตย่างนกใหญ่ไปพลาง
เขาชำเลืองตามองมวลอากาศรอบๆ แวบหนึ่ง ก่อนพูดด้วยรอยยิ้ม “เห็นแก่ที่พวกเจ้ายังไม่ลงมือนะ ทุกคนทิ้งศิลาวิญญาณไว้คนละหนึ่งล้านก้อน ข้าจะไม่ถือสาปล่อยพวกเจ้าไป ไม่อย่างนั้นข้าจะแหวกมวลอากาศไปหาพวกเจ้าเอง”
เพิ่งพูดจบก็พบว่ามวลอากาศรอบๆ แตกออก ก่อนจะเริ่มมีฝนตก
ฝนศิลาวิญญาณแวววาวมันขลับนั้นดูสวยงามหรูหราไม่มีใครเปรียบได้!
…………………..