บทที่ 133 ศิษย์เทพสวรรค์ออกแสดง!
หน้ากากสีแดงนั้นบดบังใบหน้าเสิ่นเทียนไว้ทั้งหมด มองไม่เห็นใบหน้าเขาเลย ประกอบกับตัวหน้ากากขนหงส์เองก็มีความสามารถซ่อนกลิ่นอายพลังและอำพรางสัมผัส สามารถกันการสอดแนมได้
ด้วยเหตุนี้หลังเสิ่นเทียนสวมหน้ากากขนหงส์ ทั้งตัวเขาจึงเหมือนอยู่กลางหมอกลับแล ใครก็อ่านไม่ออก
ต้องบอกว่าหน้ากากนี่คืออุปกรณ์ระดับสูงสุดในการเสแสร้งแกล้งทำจริงๆ!
ต่อให้เสิ่นเทียนล่วงเกินคนใหญ่คนโตเก่งกาจ อย่างมากก็แค่หนี
ถอดหน้ากากแล้วใครจะรู้ว่าข้าเป็นใคร
เสิ่นเทียนกอดความคิดนี้มุ่งหน้ามาที่เมืองเล็กหมอกลับแล ก่อนจะตั้งแผงลอยแบบเดิม
เขายืนอยู่บนถนนเมืองเล็กหลอกลับแลอย่างองอาจ ตรงหน้าตั้งผ้าใบสองผืน เขียนอักษรมีพลังแยกกันคนละฝั่ง ทางซ้ายเขียนว่า ‘ผู้มีวาสนาไม่รับแม้แต่แดงเดียว’ ทางขวาเขียนว่า ‘ผู้ไร้วาสนามีหมื่นตำลึงทองก็ไม่รับ’ คล้องจองกันค่อนข้างเรียบร้อย
ส่วนบนผ้าปูโต๊ะตรงหน้าเสิ่นเทียนเขียนอักษรตัวใหญ่ ‘สั่งสมบุญกุศลทำความดี ขอปฏิเสธนักพรตด้วยกัน’
เสิ่นเทียนมองคำกลอนคู่กับแผ่นภาพวาดข้างๆ พลางอดถอนหายใจอยู่ในใจมิได้ ‘ไม่ได้ลืมปณิธานแรกสุดเลย!’
ท่าทางลับๆ ล่อๆ และการแต่งตัวแปลกๆ หายากของเสิ่นเทียนเรียกคนบางส่วนเข้ามามุงดูกันอย่างรวดเร็ว
“ผู้มีวาสนาไม่รับแม้แต่แดงเดียว ผู้ไร้วาสนามีหมื่นตำลึงทองก็ไม่รับ น่าสนใจนะ ที่นี่มีพวกลวงโลกแบบชาวบ้านด้วยหรือ”
“สหาย ถ้าจะทำนายชะตาให้คนอื่น ดีเลวอย่างไรก็ถอดหน้ากากออกเถอะ ไม่อย่างนั้นเกิดหลอกเอาเงินหนีไปเราจะทำอย่างไร”
“นักพรตท่านนี้มีเอกลักษณ์เหนือธรรมดา แม้จะปิดบังใบหน้า แต่คนที่มีจิตใจเช่นนี้ จะต้องเป็นบุรุษรูปงามเป็นเอกแห่งยุคแน่นอน”
“พี่นักพรต ท่านดูหน่อยได้หรือไม่ว่าข้ามีวาสนากับท่านหรือไม่ ถอดหน้ากากขอดูหน้าหน่อยได้หรือไม่”
ผู้ฝึกบำเพ็ญในเมืองเล็กหมอกลับแลแบ่งออกเป็นสองฝ่ายสุดขั้วอย่างชัดเจน เหมือนกับตอนสวนหมื่นวิญญาณทุกอย่าง
ผู้ฝึกบำเพ็ญชายต่างคิดว่าเสิ่นเทียนสวมหน้ากากดูไม่น่าเชื่อถือ ทางด้านผู้บำเพ็ญหญิงคิดว่าเสิ่นเทียนมีจิตใจไม่ธรรมดา แต่ละคนโวยวายกันหวังจะให้เสิ่นเทียนเปิดหน้า กระทั่งมีผู้ฝึกบำเพ็ญหญิงบางคนสัญญาว่าถ้าเสิ่นเทียนถอดหน้ากาก ตนยินดีจะให้ศิลาวิญญาณเป็นรางวัล
ตอนนี้จางอวิ๋นซีด้านข้างแสดงท่าทีของผู้คุ้มกัน นางเดินมาข้างเสิ่นเทียนอย่างเฉยชา แรงดันสายฟ้าทั้งหมดในกายปล่อยออกมา
ทันใดนั้นพื้นดินที่เสิ่นเทียนอยู่ตรงกลางก็เกิดแรงดันสายฟ้าสูงขึ้นมา ผู้ฝึกบำเพ็ญที่เข้าใกล้เสิ่นเทียนในสามฉื่อจะถูกไฟฟ้าดูด
“บ้า เจ้าหน้าตาก็งดงาม เหตุใดถึงไร้…ไร้เหตุผล!”
“ชาแล้วๆ ชาไปทั้งตัวแล้ว แม่นางข้าไม่มีความแค้นกับเจ้า ไฉนเจ้าต้องเอาสายฟ้าดูดข้าด้วย”
“น้องสาว พี่สาวแค่อยากดูหน้าน้องนักพรตเท่านั้นเอง ไฉนเจ้าต้องโมโหเช่นนี้!”
……….
จางอวิ๋นซียืนอยู่ข้างๆ อย่างเย็นชา ก่อนพูดนิ่งๆ ว่า “จะทำนายชะตาก็ทำนายไป จะเสียงดังก็เสียงดังไป แต่ห้ามพวกเจ้าแตะต้องเขา”
เอ่ยจบ ดวงตาจางอวิ๋นซีเย็นเยียบนิดๆ ภาพปรากฏการณ์พยัคฆ์ขาวยักษ์ลอยขึ้นมาข้างหลัง ส่งเสียงคำรามสะเทือนฟ้า
โฮก!
ปรากฏการณ์พยัคฆ์ขาวสะเทือนฟ้าบีบให้ผู้ฝึกบำเพ็ญหญิงที่มาเกาะแกะรอบๆ เสิ่นเทียนถอยไป ทั้งยังดึงดูดความสนใจจากคนอื่นมากขึ้น
“เป็นปรากฏการณ์พยัคฆ์ขาวที่แข็งแกร่งมาก อำนาจคุกคามน่าสะพรึงเช่นนี้ หรือว่าจะเป็นพยัคฆ์ขาวคำรามนภาแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์”
“พยัคฆ์ขาวคำรามนภาคือปรากฏการณ์ในเคล็ดฟ้าอัสนีฟ้าเที่ยงธรรมเทพสวรรค์ หากมิใช่แดนศักดิ์สิทธิ์จะถ่ายทอดให้ฝึกฝนไม่ได้”
“ซี้ด หรือว่าผู้หญิงคนนี้จะเป็นศิษย์สายตรง อัจฉริยะของแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์กัน”
“ยังสาวขนาดนี้ก็แกร่งเช่นนี้แล้ว สมกับเป็นธิดาสวรรค์ที่มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์!”
………
การมุงดูก็คือความชอบที่มีอยู่ในนิสัยคนอยู่แล้ว เมื่อจางอวิ๋นซีระเบิดปรากฏการณ์ออกมา ก็ยิ่งมีผู้บำเพ็ญมารวมกันทางนี้มากขึ้น และเมื่อเห็นแผงลอยทำนายชะตาของเสิ่นเทียนแล้วก็เริ่มมีคนสนใจเข้ามาสอบถาม
ตรงนี้ เสิ่นเทียนยังเลือกตอบผู้มีวาสนาเหมือนกับตอนสวนหมื่นวิญญาณ
หลังจากผีดวงซวยไร้วาสนาหลายสิบคนติดกำแพงผ่านมาไม่ได้แล้ว ในที่สุดเสิ่นเทียนก็พบผู้โชคดีคนแรก
แต่หลังจากเห็นหน้าผู้โชคดีคนนั้น เสิ่นเทียนถึงกับตะลึงงันไปเลย “หลิวไท่อี่ เป็นเจ้าได้อย่างไร”
ใช่ บังเอิญแล้ว
เสิ่นเทียนประเดิมพบผู้มีวาสนาคนแรกก็คือหลิวไท่อี่ที่คารวะเข้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์พร้อมกับเสิ่นเทียน และที่บังเอิญกว่านั้นคือข้างๆ หลิวไท่อี่ยังมีเถ้าแก่ซ่ง เจินจื้อเจี่ยและสยงเหมิ่งตามมาด้วย
หลิวไท่อี่กลอกตาไปมา “เป็นท่านจริงๆ ด้วย ท่านเซียนเอ้าเทียน! ท่านมาทำนายชะตาให้ผู้มีวาสนาโดยไม่คิดค่าตอบแทนอีกแล้วรึ”
เถ้าแก่ซ่งเองก็สมกับเป็นศัตรูตัวฉกาจของหลิวไท่อี่ ตอนนี้เดินมาด้วยความตื่นเต้นเช่นกัน
เขาพูดด้วยกระบอกตาร้อนผ่าวว่า “ท่านเซียน ตั้งแต่แยกกันที่สวนหมื่นวิญญาณ ข้าก็คิดถึงท่านตลอดไม่เคยลืมเลือน ถ้าไม่ได้ท่านชี้แนะ ข้าก็คงไม่มีทางได้โชควาสนายิ่งใหญ่ ได้คารวะเข้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ ตอนนี้ท่านเงียบหายไปเลย หรือว่าจะเลือกผู้มีวาสนากับท่านคนใหม่กัน จะมอบโชควาสนายิ่งใหญ่ให้พวกเขารึ”
เจินจื้อเจี่ยสูดลมหายใจเข้าลึก คิดว่าตนจะถ่วงขาหลังตลอดไม่ได้ “ข้าไม่มีวันลืมบุญคุณยิ่งใหญ่ของท่านเซียนไปชั่วชีวิต วันนี้เราพี่น้องมาหาประสบการณ์ที่ที่ราบหมอกลับแล แต่ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะมีโชคได้พบกับท่านเซียนเอ้าเทียนอีกครั้ง ขอให้ท่านเซียนอนุญาตให้พวกเราปรนนิบัติอยู่ข้างกายท่านด้วยเถอะ เราจะทำตามทุกอย่างที่ท่านสั่ง”
สยงเหมิ่งอึ้งไปก่อนจะเกาหัวแล้วพูด “ท่านเซียน ข้าคิดถึงท่านมากเลย! ข้าก็อยากปรนนิบัติอยู่ข้างกายท่านเช่นกัน ท่านอยากให้ข้าทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น!”
ใช่ พวกหลิวไท่อี่มาฝึกฝนหาสมบัติในที่ราบหมอกลับแล
นี่ก็เป็นเรื่องปกติ ถึงอย่างไรที่ราบหมอกลับแลก็ห่างจากแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์แค่สามพันลี้
หลังจากเสิ่นเทียนปิดด่านฝึกบำเพ็ญแล้ว พวกหลิวไท่อี่ไม่มีใครให้ประจบ เลยรู้สึกเบื่อหน่ายและเหงา สี่คนจึงหารือกันก่อนตัดสินใจเดินทางมาฝึกฝนในที่ราบหมอกลับแลด้วยกันและจะได้ถือโอกาสหาโชควาสนาด้วย
ความจริงแล้วพวกเขาก็แอบมีความคิดที่จะแข่งขันกันอยู่ อยากดูว่าใครจะหาสมบัติไปให้ท่านเซียนได้ล้ำค่ากว่ากัน แต่พวกเขาไม่นึกเลยว่าตอนตั้งใจปลูกดอกไม้มันไม่บาน พอไม่ตั้งใจแค่ปักต้นหลิ่วกลับกลายเป็นร่มไม้ ไม่อยากจะเชื่อว่าจะเจอกับท่านเซียนที่นี่
ตอนที่เห็นปรากฏการณ์พยัคฆ์ขาวคำรามนภา พวกเถ้าแก่ซ่งกับหลิวไท่อี่ก็ถูกดึงดูดเข้ามาเช่นกัน แต่หลังจากเห็นเสิ่นเทียนสวมหน้ากาก สี่คนก็ตัดสินใจว่าจะทำอะไรแบบสะเพร่ามิได้
ในเมื่อศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์สวมหน้ากาก จะต้องไม่อยากเผยใบหน้าแน่นอน
สิ่งที่ควรทำที่สุดในตอนนี้ไม่ใช่การเข้าไปทักทาย แต่คือเป็นหน้าม้าให้ท่านเซียน
ถึงอย่างไรท่านเซียนก็สวมหน้ากาก การจะได้รับความเชื่อใจจากคนรอบข้างไม่ใช่ง่ายๆ ตอนนี้จึงต้องให้ความร่วมมือที่สุด
ไม่ใช่ว่าเถ้าแก่ซ่งกับหลิวไท่อี่คุยโม้ ถ้าวัดที่การต่อสู้ ตนไม่ใช่คู่มือของสตรีศักดิ์สิทธิ์อยู่แล้ว แต่ถ้าปกป้องท่านเซียน ขยายเส้นสายให้ท่านเซียน จะล้างแค้น…
เหอะๆ ศิษย์พี่หญิงสตรีศักดิ์สิทธิ์สิบคนก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้พวกเขา
ดังนั้นหลังจากตัดสินใจแล้ว สี่คนจึงเปลี่ยนเป็นชุดศิษย์ฝ่ายในของแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ออกแสดง และผลการแสดงของพวกเขาสี่คนก็ค่อนข้างเห็นผลในทันทีจริงๆ ดังพลุแตกขึ้นมาโดยพลัน
น่าตลก แดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์คือผู้ปกครองสูงสุดในอาณาเขตไร้ที่สิ้นสุดแห่งนี้ เป็นศิษย์ฝ่ายในของแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ได้ พวกหลิวไท่อี่ก็ถือว่าเป็นชนชั้นสูงแล้ว
ทว่าชนชั้นสูงทั้งสี่ท่านนี้กลับเคารพนบนอบเสิ่นเทียนราวกับสุนัขรับใช้ แต่ละคนยังพูดอีกว่าจะยินดีปรนนิบัติรับใช้ ยอมทำทุกอย่าง ไม่มีความหยิ่งในศักดิ์ศรีเลย
ไม่กลัวขายหน้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์กันเลย!
และที่สำคัญกว่านั้นคือผู้หญิงข้างๆ ก็ไม่ได้ใส่ใจตรงนี้เลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าการประจบสอพลอของสี่คนนี้เป็นเรื่องปกติสุด
ทำให้คนอื่นโดยรอบเกิดความคิดเชื่อมโยงไปต่างๆ นานา นักพรตท่านนี้มีที่มาน่าตกใจเพียงใดกันแน่
หรือว่านักพรตท่านนี้จะเป็นผู้สูงส่งแห่งยุคที่มีพลังบำเพ็ญเหนือชั้นกัน!
แม้แต่แดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ยังต้องเคารพเขาเช่นนี้หรือ
……………………